Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Hi-Story
•
ติดตาม
28 ก.ค. เวลา 16:50 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
The Front Line กับคำถามที่ว่า “เราสู้กันไปทำไม”
เราต้องการการรวมชาติบนเส้นขนานที่ 38 ๆ
ประโยคแรกของภาพยนตร์ The Front Line ปี 2011 ลอยขึ้นหลังฉากเปิดเรื่อง ในช่วงเดือนมกราคม ค.ศ.1953 พร้อมกับบรรยากาศการเดินขบวนของเหล่านักเรียนหญิงเกาหลีใต้ในกรุงโซล ช่วยดึงความสนใจของผมจากข่าวการรบตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ที่กำลังดุเดือด และกำลังจะจบลงด้วยการที่ผู้นำรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ได้เจรจาหยุดยิงกัน ภายในเวลา 00.00 น. ของในวันนี้ ให้กลับมาคิดทบทวนถึงผลพวงของเหตุการณ์ครั้งนี้ในอีกมุมมองหนึ่ง
ฉากเปิดภาพยนตร์เป็นการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องการรวมเกาหลีของเหล่านักเรียนหญิงเกาหลีใต้ในกรุงโซล ใน เดือน มกราคม ค.ศ.1953
ใช่แล้วครับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งถือเป็นสงครามใหญ่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นหลังการยุติลงของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีชนวนเหตุมาจากการได้รับเอกราชจากญี่ปุ่นของเกาหลีหลังสงครามโลกยุติลง พร้อมกับการแบ่งเกาหลีออกเป็นสองส่วน ที่เส้นขนานที่ 38 เพื่อใช้เป็นเขตควบคุมกองทหารญี่ปุ่นของสหรัฐและสหภาพโซเวียต
อันส่งผลโดยตรงต่อสภาพการเมืองภายในคาบสมุทรเกาหลี ที่ชาติมหาอำนาจแต่ละฝ่ายต่างสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากฝ่ายของตัวเองเท่านั้น แม้จะมีความพยายามจัดการเลือกตั้งเพื่อหารัฐบาลกลางมาปกครองเกาหลีทั้งสองส่วนแต่ก็มีการลงคะแนนเสียงเฉพาะในเขตฝ่ายใต้เท่านั้น
ในที่สุดก็นำไปสู่การแบ่งประเทศเกาหลีเป็นสองประเทศ ในช่วง ค.ศ.1948 โดยสหภาพโซเวียตจัดตั้งเขตยึดครองของตนเหนือเส้นขนานที่ 38 เป็นประเทศเกาหลีเหนือ มี คิม อิล-ซ็อง เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ส่วน สหรัฐและสหประชาชาติจัดตั้งเขตยึดครองใต้เส้นขนานที่ 38 เป็นประเทศเกาหลีใต้ โดยให้ อี ซึง-มัน เป็นประธานาธิบดีคนแรก
นับจากนั้นพื้นที่คาบสมุทรเกาหลีก็เข้าสู่ภาวะตรึงเครียดจากการแข่งขันทางอุดมการณ์การเมืองภายใต้สภาวะสงครามเย็น จนกระทั้งในวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ.1950 กองทัพเกาหลีเหนือได้บุกข้ามเส้นขนานที่ 38 ลงมาทางใต้ อันเป็นการเปิดฉากสงครามเกาหลีที่ทั้งสองฝ่ายต่างพลัดกันรุกพลัดกันรับเพื่อแย่งชิงดินแดนและมีเป้าหมายสำคัญคือการรวมชาติเกาหลีให้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้รูปแบบการเมืองการปกครองที่แต่ละฝ่ายยึดมั่น
ขณะที่การรบยังดำเนินอยู่นั้นก็ได้มีความพยายามเจรจาพักรบที่ปันมุนจอม เป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1951 เพื่อกำหนดแนวเขตแดนหลังหยุดการเผชิญหน้าของกองกำลังทหารทั้งสองฝ่าย ซึ่งความพยายามดังกล่าวได้ดำเนินไปพร้อมกับการรบตามแนวตรึงกำลังในเขตแนวหน้าที่ เรียกว่า “ Front Line”
แผนที่ Front Line หรือ แนวหน้าที่สองฝ่าย ต่างวางกำลังประจันหน้ากันบนเส้นขนานที่ 38
ภาพเหตุการณ์จริงการเจรจากำหนดแนวพรมแดน หรือ แนว Front Line ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายที่เขตปลอดทหารปันมุมจอม (Panmunjom)
ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้ายุทธศาสตร์การรบจากสงครามเคลื่อนที่ด้วยการเข้าตีของทหารราบอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการตีโฉบฉวยทิ้งระเบิดทางอากาศในช่วงต้นสงคราม มาเป็นสงครามสนามเพลาะที่ต่างฝ่ายต่างพลับกันเข้ายึดครองที่มั่นทางทหารบนเขตแนวหน้ากันไปมาเพื่อชิงความได้เปรียบในการเจรจากำหนดเขตแดนพักรบบนแผนที่ของทั้งสองฝ่าย ตลอดช่วง 2 ปี หลังของสงคราม
ฉากการเจรจากำหนด Front Line ระหว่างผู้นำทหารทั้งสองฝ่ายในภาพยนตร์
ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้หยิบยกเอาฉากการเจรจาดังกล่าวมาเป็นตัวเปิดเรื่อง โดย ร้อยโทคัง อึนเพียว ซึ่งเป็นนายทหารในกองบัญชาการกลางเกาหลีใต้เป็นตัวเดินเรื่องให้เห็นภาพความล้มเหลวบนโต๊ะเจรจาของนายทหารระดับสูงของทั้งสองฝ่าย ที่ยังไม่สามารถตกลงเรื่องพิกัดในการกำหนดเส้นเขตแดนพักรบ บนแผนที่ร่วมกันได้
เนื่องจากแนวปฏิบัติการของทหารภาคพื้นดินทั้งสองฝ่ายยังคงมีการสู้รบพลัดกันยึดครองเนินที่มั่นกันไปมา และฝ่ายเกาหลีใต้เองก็กำลังเสียเปรียบจากการเสียฐานที่มั่น บนเนิน Aero.K
ภาพแผนที่ในภาพยนตร์ที่ระบุที่ตั้ง เนิน Aero.k ที่มีผลการกำหนดเส้นพรมแดนในการเจรจาพักรบที่ปันมุนจอม
ภาพยนตร์ได้ดำเนินไปเมื่อ คัง อึนเพียว ปฎิเสธคำสั่งของหัวหน้าที่จะให้เขาย้ายไปช่วยงานหน่วยสอบสวนผู้แปรพรรคที่เข้าข้างฝ่ายคอมมิวนิสต์ พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ว่าที่คนส่วนใหญ่ถูกกล่าวหาและไม่มีทางเลือกต่างหาก แต่คำพูดของเขาได้ยินถึงนายทหารระดับสูงทำให้เขาถูกย้ายไปยังแนวหน้าแทน
โดยหัวหน้าของเขามอบหมายให้เขาไปสืบสวนเหตุการณ์ที่มีการจดหมายของทหารฝ่ายเหนือส่งมาหาญาติที่อยู่ฝ่ายใต้โดยบริการของกองทัพเกาหลีใต้เองรวมถึงการเสียชีวิตของผู้บังคับหน่วยจระเข้ใหญ่ที่ถูกยิงด้วยอาวุธของฝ่ายเดียวกัน ซึ่งหัวหน้าของเขาคาดว่าจะมีเกลือเป็นหนอนในหน่วยจระเข้ใหญ่ แต่เมื่อเขาไปถึงหน่วยจระเข้ใหญ่พร้อมกับผู้บังคับหน่วยคนใหม่กลับพบกับเพื่อนเก่าของเขาคือ ร้อยโทคิม ซูฮยอค ซึ่งเคยรวมรบกับเขาในช่วงต้นของสงคราม
หัวหน้ามอบหมายให้ ร้อยโทคัง อึนเพียว ไปสืบสวน เรื่องการส่งจดหมายของทหารเกาหลีเหนือที่หน่วยจระเข้ใหญ่
จดหมายของทหารฝ่ายเหนือที่ส่งมาจากทหารในหน่วยจระเข้ใหญ่
ร้อยโทคัง อึนเพียว ทักทาย ร้อยโทคิม ซูฮยอค เมื่อย้ายมาประจำหน่วยเดียวกันอีกครั้ง
ภารกิจหลักของหน่วยจระเข้ใหญ่ซึ่งเป็นหน่วยระดับกองร้อยนั้นคือรับผิดชอบการเข้ายึดและป้องกันเนิน Aero.K จากกองทัพเกาหลีเหนือ ที่ต่างฝ่ายต่างพลัดกันยึดและเปลี่ยนมือมาแล้วไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง ทำให้เกิดความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายตามมาอย่างมาก
ฉากทหารฝ่ายใต้เข้ายึดเนิน Aero.K จากฝ่ายเหนือ
จนเมื่อยึดเนิน Aero.K ได้แล้วคัง อึนเพียวก็พบว่าแท้จริงแล้วคนที่ส่งจดหมายของทหารเกาหลีเหนือนั้น คือ คิม ซูฮยอค และพวกลูกน้องของเขา ที่เริ่มมาจากการที่พวกเขาฝั่งสิ่งของจำพวกอาหารกระป๋อง บุหรี ช็อคโกแล็ต ที่ไม่อยากขนออกไปลงในกล่องใต้บังเกอร์เมื่อจะถอนตัวออกจากเนิน Aero.K ในระหว่างการล่าถอยครั้งหนึ่ง
จนเมื่อพวกเขากลับมายึดที่มั่นนี้แห่งนี้คืนอีกครั้ง พวกเขาก็ได้มาเปิดกล่องที่ซ่อนไว้และกลับพบจดหมายจากทหารเกาหลีเหนือที่เขียนเยาะเย้ยว่า ของที่ซ่อนไว้อร่อยและใช่ดีมาก หลังจากนั้นเมื่อจะถอนตัวอีกครั้งพวกเขาก็เขียนจดหมายโต้ตอบทิ้งไว้เช่นกัน
หลังจากฝ่ายใต้ยึดเนิน Aero.K ก็เปิดกล่องที่ซ่อนไว้และกลับพบจดหมายจากทหารเกาหลี
และหลังจากทหารฝ่ายเหนือเปิดกล่องที่ซ่อนไว้ก็ทิ้งจดหมายโต้ตอบกับฝ่ายใต้เช่นกัน
การสื่อสารโต้ตอบของทหารทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างนี้ต่อมาหลายครั้ง จนครั้งหนึ่งเมื่อกลับมาเปิดกล่องพวกเขาก็ประหาดใจเมื่อพบว่ามีเหล้าขาวทิ้งไว้เพื่อเป็นสินน้ำใจให้เขาส่งจดหมายให้กับญาติของทหารเกาหลีเหนือที่อยู่ในฝ่ายใต้
ซึ่ง คิม ซูฮยอค ตัดสินใจส่งจดหมายฉบับนั้นให้ โดยเขาให้เหตุผลกับคัง อึนเพียว ว่าทหารเกาหลีเหนือบางคนถูกดึงมาจากทางใต้และบางคนก็ถูกทิ้งไว้ฝั่งเหนือก่อนถูกเกณฑ์มาเป็นทหาร โดยเขาได้พูดว่า “ศัตรูของเราไม่ใช้พวกคอมมิวนิสต์ แต่คือตัวสงครามเอง” ซึ่งตรงนี้ภาพยนตร์ได้สื่อถึงความรู้สึกเจ็บปวดลึกๆของตัวละครที่คนชาติเดียวกันแต่ต้องกลับกลายมาเป็นศัตรูกัน
หลังจากนั้นภาพยนตร์ก็ดำเนินไปโดยเป็นฉากการต่อสู้พลัดกันยึดเนิน Aero.K ของทั้งสองฝ่าย ขณะที่ฝ่ายเกาหลีเหนือมีกองทัพจีนแดง เข้ามาสนับสนุนการเข้าตียึดเนิน Aero.K คืนจากหน่วยจระเข้ใหญ่ โดยใช้ยุทธวิธีการเข้าตีแบบคลื่นมนุษย์ด้วยกำลังที่มีมากกว่าหลายเท่า
ฝ่ายเกาหลีเหนือมีกองทัพจีนแดง พยายามเข้าตียึดเนิน Aero.K โดยใช้ยุทธวิธีการเข้าตีแบบคลื่นมนุษย์
แต่ผู้บังคับหน่วยคนใหม่ของหน่วยจระเข้ใหญ่แม้จะมีรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่าไม่อาจต้านการบุกครั้งนี้ได้แต่กลับยึดคำสั่งจากเบื้องบนให้รักษาเนิน Aero.K ไว้จนตัวตาย ทำให้คิม ซูฮยอค ยิงผู้บังคับหน่วยตายต่อหน้าคัง อึนเพียว และขึ้นบังคับบัญชาหน่วยในการล่าถอยเพื่อรักษาชีวิตทหารในหน่วยให้มากที่สุด โดยเข้ากล่าวกับคัง อึนเพียว ว่า “การชนะสงครามคือการมีชีวิตรอดกลับไป”
ซึ่งท้ายที่สุดตัว คิม ซูฮยอค เองก็ถูกยิงโดยพลซุ่มยิงหญิงคนหนึ่งของฝ่ายเกาหลีเหนือ ขณะช่วยให้ทหารของเขาถอดตัวออกจากแนวซุ่มยิง ซึ่งพลซุ่มยิงผู้หญิงคนดังกล่าวเป็นคนเดียวกับเด็กผู้หญิงในรูปถ่ายในจดหมายที่คิม ซูฮยอค เองส่งกลับบ้านในเขตเกาหลีใต้นั้นเอง
ฉาก คิม ซูฮยอค เองก็ถูกยิงโดยพลซุ่มยิงหญิงคนหนึ่ง ขณะพาลูกน้องล่าถอยจากการเข้าตีของฝ่ายเหนือ
มาถึงจุดนี้ของเรื่องดูเหมือนสถานการณ์การรบจะคลี่คลายจากผลการลงนามสงบศึกที่ฝ่ายเกาหลีเหนือและใต้ลงนามร่วมกันในวันที่ 27 กรกฎาคม 1953 พร้อมกับความดีใจของทหารในหน่วยจระเข้ใหญ่ที่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดกลับบ้านได้ เช่นเดียวกับหน่วยทหารของเกาหลีเหนือที่ดีใจที่สงครามได้ยุติลง
โดยฉากหหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่หน่วยทหารทั้งสองฝ่ายมาเจอกันที่ลำธาร แต่ไม่มีการยิงกัน โดยหัวหน้าหน่วยทหารเกาหลีเหนือโยนแก้วน้ำที่เคยใส่ไว้ในกล่องใต้บังเกอร์คืนให้ทหารเกาหลีใต้ และคัง อึนเพียว คืนรูปถ่ายของพลซุ่มยิงหญิงคืนให้เจ้าตัว และเหตุการณ์นั้นทำให้พวกเขาได้เห็นหน้าผู้ที่เขาเขียนจดหมายและให้ของแลกเปลี่ยนกันครั้งแรก
ฉากการพบน่วยทหารทั้งสองฝ่ายที่ลำธาร หลังการลงนามสงบศึก โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ทำอะไรกัน
คัง อึนเพียว คืนรูปถ่ายของพลซุ่มยิงหญิงฝ่ายเหนือ
แต่สงครามยังไม่จบอย่างที่คิดเพราะได้มีคำสั่งให้หน่วยจระเข้ใหญ่เตรียมพร้อมในการบุกครั้งสุดท้ายเพื่อการเขายึดเนิน Aero.K คืนจากฝ่ายเกาหลีเหนือ ขณะที่ฝ่ายเกาหลีเหนือก็ได้รับคำสั่งให้เตรียมตอบโต้กลับโดยมีการสนับสนุนจากกองทัพจีนแดง ภายในเวลา 12 ชั่วโมงก่อนผลการลงนามจะมีผลบังคับใช้ เพื่อให้ฝ่ายของตนสามารถยึดแนวที่มั่นบนเส้น“ Front Line” ได้มากที่สุดก่อนการหยุดยิงของแต่ละฝ่าย จะเกิดขึ้น
ผู้บัญชาการสั่งการให้หน่วยจระเข้ใหญ่เตรียมพร้อมในการบุกครั้งสุดท้ายเพื่อการเขายึดเนิน Aero.K คืนจากฝ่ายเกาหลีเหนือ ภายใน 12 ชั่วโมง ก่อนผลการลงนามจะมีผลบังคับใช้
แต่ในความรู้สึกของทหารทั้งสองฝ่ายกลับรู้สึกไม่อยากต่อสู้อีกแล้ว เพราะต้องสูญเสียเพื่อนไปมากและอยากจะมีชีวิตรอดกลับบ้าน ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้คือการต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอดผ่านเวลา 12 ชั่วโมงนี้ไปทุกคนจะได้กลับบ้าน
ในฉากสุดท้ายของภาพยนตร์เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุดเพื่อแย่งชิงการยึดครองเนิน Aero.K ของทหารทั้งสองฝ่ายที่ต่างเคยเจอกันที่ลำธาร ซึ่งท้ายที่สุดทุกคนก็ต้องทำหน้าที่ของตนและจบชีวิตลงบนเนินแห่งนี้
ฉากการรบเพื่อยึดครองเนิน Aero.K ของทั้งสองฝ่าย
และในตอนจบ คัง อึนเพียว ที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บได้เข้าไปยังบังเกอร์ที่เป็นที่ซ่อนกล่องของพวกเขาและพบกับหัวหน้าหน่วยทหารเกาหลีเหนือที่บาดเจ็บหนักเช่นกัน โดยในมือของนายทหารผู้นั้นถือขวดเหล้าที่เคยซ่อนไว้ในกล่องขึ้นมาดื่มและยืนให้เขา พร้อมกับถามเขาว่า
ฉากสนทนาระหว่าง คัง อึนเพียว และ นายทหาร ฝ่ายเหนือ ในบังเกอร์บนเนิน Aero.K
“รู้ไหมทำไม พวกนายถึงแพ้ เพราะว่าพวกนายไม่รู้ว่าสู้ไปทำไม”
“นั้นซิ เราสู้กันไปทำไม...” คัง อึนเพียว ตอบ
“ฉันรู้ว่าสู้ไปทำไม แต่ว่ามันนานเกินไป จนลืมมันไปแล้ว” หัวหน้าหน่วยทหารเกาหลีเหนือตอบพร้อมรอยยิ้มเสียงหัวเราะในลำคอ
ไม่นานหลังจากนั้นเสียงประกาศทางวิทยุสนามให้ทุกฝ่ายหยุดยิงเมื่อถึงเวลาครบกำหนดที่ผลการลงนามมีผลบังคับใช้ ทำให้ทั้งคู่หัวเราะพร้อมๆกัน และเสียงหัวเราะของนายทหารเกาหลีเหนือค่อยๆเงียบลงพร้อมลงหายใจของเขา และคัง อึนเพียว ก็เดินออกจากบังเกอร์นั้นพร้อมฉายภาพมุมสูงให้เห็นสภาพซากศพของทหารทั้งสองฝ่ายบนเนิน Aero.K
ฉากจบ ที่ คัง อึนเพียว เดินออกจากบังเกอร์นั้นพร้อมฉายภาพมุมสูงให้เห็นสภาพซากศพของทหารทั้งสอง
สุดท้ายแล้ว “เราสู้กันไปทำไม”
ภาพยนตร์ The Front Line แม้จะมีโครงเรื่องคล้ายกับภาพยนตร์เรื่อง Taegukgi และซีรีย์ เรื่อง Comrades ของเกาหลีที่นำเสนอภาพความโหดร้ายของสงครามอันเกิดจากคนชาติเดียวกัน และพยายามกล่าวถึงมุมมองของทหารทั้งสองฝ่ายในฐานะมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ จิตใจ
ซึ่งล้วนมีพื้นฐานมาจากคนเชื่อชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน เป็นเพื่อน เป็นญาติพี่น้อง ที่ต้องพลัดพรากจากกัน และต้องหันปากกระบอกปืนมาต่อสู้กัน เพียงเพราะอุดมการณ์ทางการเมืองของแต่ละฝ่ายที่ครอบงำและบีบบังคับให้พวกเขาต้องทำหน้าที่เป็นเบี้ยบนหมากกระดานของสงคราม ที่พลัดกันรุกกันรับเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดตลอดระยะเวลา 3 ปี ของสงคราม
จนเกิดคำถามสำคัญขึ้นในในใจของพวกเขาลึกๆว่า “เราสู้กันไปทำไม” เพราะท้ายที่สุดสงครามที่พวกเขาต้องเผชิญอยู่นั้น ล้วนแต่นำมาสู่ความสูญเสีย ไม่เฉพาะการเสียเลือดเนื้อและชีวิตของเพื่อนร่วมรบเท่านั้น แต่ความสูญเสียยังได้เกิดขึ้นกับสภาพจิตใจและฝั่งรากลึกเป็นบาดแผลสงครามที่สร้างความเจ็บปวดตลอดไปแม้หลังสงครามจะยุติลง
สงครามเกาหลีเริ่มที่ เส้นขนานที่ 38 และจบลงที่เส้นขนานที่ 38 นับเป็นความเจ็บปวดที่คนชาติเดียวกันต้องมาจับอาวุธเข้าเขนฆ่ากันเอง เพียงเพราะอุดมการณ์การเมืองที่ไม่เหมือนกัน จนญาติพี่น้อง คนรัก ต้องพลัดพรากจากกันและหันเข้ามาเป็นศัตรูกันในสงครามกลางเมือง จนนำไปสู่ความสูญเสียชีวิตทหารและพลเรือนของทั้งสองฝ่ายตลอดระยะเวลา 3 ปีนับจาก 25 มิถุนายน ค.ศ.1950 - 27 กรกฎาคม 1953 ไปอย่างเปล่าประโยชน์ถึงกว่า 3 ล้านคน
แม้หลังการสงบศึกทั้งสองประเทศจะสถาปนาเขตปลอดทหารซึ่งเป็น แนวกันชนที่มีการป้องกันกว้างถึง 4 กิโลเมตร บนใกล้กับเส้นขนานที่ 38 ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างสองชาติเกาหลี แต่ความขัดแย้งความตรึงเครียดของสงครามที่ยังไม่ยุติอย่างเป็นทางการนั้นก็ยังดำเนินอยู่ตราบจนถึงปัจจุบัน
ภาพ "เขตปลอดทหารเกาหลี" หรือ "DMZ" ซึ่งเป็นจุดเผชิญหน้าระหว่างทหารเกาหลีเหนือและทหารเกาหลีใต้ ในปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์
ภาพยนตร์
1 บันทึก
1
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย