Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
รายการ ต้นรู้ โลกรู้ BY : Anurak News
•
ติดตาม
29 ก.ค. เวลา 10:08 • ข่าว
กรณีศึกษาเหตุปะทะไทยกัมพูชา กับการใช้อนุสัญญาเจนีวาในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
รายละเอียดของอนุสัญญาเจนีวา เเละวิกฤตการในการยิงของกัมพูชา
วิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียด หลังมีรายงานว่า กัมพูชาใช้จรวด BM‑21 ยิงข้ามมายังฝั่งไทย กระสุนส่วนหนึ่งพุ่งตกใกล้โรงพยาบาลพนมดงรัก อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ โรงพยาบาลแห่งนี้คือสถานพยาบาลของพลเรือน ไม่ใช่เขตยุทธศาสตร์ ไม่ใช่เป้าหมายทางทหาร แต่กลับต้องอพยพ ท่ามกลางความโกลาหล
เหตุการณ์นี้อาจไม่ใช่แค่ “เรื่องชายแดน” อีกต่อไป หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจตนา จะเข้าข่าย “การละเมิดอนุสัญญาเจนีวา” ฉบับที่ 4 อย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกฎหมายมนุษยธรรมสากลที่ใช้ปกป้องพลเรือนในภาวะสงคราม
อนุสัญญาเจนีวาฉบับนี้ถูกจัดทำขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1949 ข้อ 18 ระบุไว้ชัดเจนว่า “โรงพยาบาลพลเรือนต้องได้รับความคุ้มครอง และห้ามมิให้ตกเป็นเป้าโจมตี ไม่ว่าในสถานการณ์ใด ๆ”
การโจมตีโรงพยาบาลพลเรือนโดยเจตนาถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรง (Grave Breach) และอาจถูกพิจารณาให้เป็น อาชญากรรมสงคราม (War Crime)
ข้อกำหนดบางส่วนในอนุสัญญาเจนีวา
อกำหนดบางส่วนในอนุสัญญาเจนีวา - การรักษาพยาบาล แก่เพื่อนและศัตรู โดยเท่าเทียมกัน
- เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เกียรติของมนุษย์ สิทธิในครอบครัว
- ห้ามการกระทำที่ไม่มีมนุษยธรรม
ประเทศไทยเป็นภาคีในสนธิสัญญาเจนีวา พ.ศ. 2498
ข้อตกลงการใช้อนุสัญญาเพื่อสงครามในอุดมคติ
ผลการประชุมทางการทูตระหว่างประเทศ เมื่อ พ.ศ. 2492 รับรองลงนาม อนุสัญญาเจนีวา 4 ฉบับ ไว้ดังนี้
ฉบับที่ 1 คุ้มครองและช่วยเหลือทหารบาดเจ็บ เจ็บป่วยในสนามรบ
รายละเอียดฉบับที่ 1 1949
ฉบับที่ 2 คุ้มครองและช่วยเหลือทหารบาดเจ็บ เจ็บป่วยในสงครามทางทะเล
รายละเอียดฉบับที่ 2 1949
ฉบับที่ 3 กำหนดสถานภาพและการปฏิบัติต่อเชลย
รายละเอียดฉบับที่ 3 1949
ฉบับที่ 4 คุ้มครองและช่วยเหลือพลเรือนในเขตพื้นที่ที่มีการขัดแย้งกันทางอาวุธ
ทั้งนี้ในสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่กำลังตึงเครียดอยุ่ในขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างได้มีการละเมิด อนุสัญญาเจนีวา นี้เช่นกัน
รายละเอียดฉบับที่ 4 1949
บทบาทของไทยในอนุสัญญาเจนีวา
ในฐานะที่ไทยเป็นหนึ่งในภาคีของอนุสัญญาทั้ง 4 ฉบับและพิธีสารเพิ่มเติม ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามหลักการเหล่านี้อย่างเคร่งครัด ทั้งในแง่ของการคุ้มครองประชาชนภายในประเทศ และการแสดงจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศต่อการกระทำที่อาจเข้าข่ายละเมิด
รายละเอียดการชี้เเจงต่อ UNSC
ภายใต้ มาตรา 85 (3) การโจมตีโรงพยาบาลพลเรือนโดยเจตนาถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรง (Grave Breach) และอาจถูกพิจารณาให้เป็น "อาชญากรรมสงคราม (War Crime)" หากมีหลักฐานชี้ชัดว่าการโจมตีโรงพยาบาลเป็นการกระทำโดยเจตนา ไม่ใช่ความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ
ต้องยอมรับว่า ‘สงคราม’ และ ‘ความรุนแรง’ นั้นอยู่คู่กับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมาโดยตลอด และทุกวันนี้ก็ดูเหมือนว่าเราจะยังไม่สามารถทำให้มันหมดไปได้ แต่ก็ใช่ว่าที่ผ่านมามนุษย์จะยอมให้ความรุนแรงเป็นฝ่ายชนะอยู่ฝ่ายเดียว เพราะครั้งหนึ่ง นานาอารยประเทศเคยร่วมมือกันแสดงออกถึงการต่อต้านการใช้ความรุนแรง ผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘อนุสัญญาเจนีวา’
‘อนุสัญญาเจนีวา’ (Geneva Convention) ประกอบไปด้วยอนุสัญญา 4 ฉบับ และพิธีสาร 3 ฉบับ เป็นการลงนามร่วมกันของรัฐบาลจากหลายประเทศ ที่มีเป้าหมายในการสร้างรากฐานของกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับการพิทักษ์ผู้เป็นเหยื่อสงคราม ซึ่งผู้ที่ริเริ่มการลงนามในสัญญาเหล่านี้คือ Henry Dunant (8 พฤษภาคม 1828 – 30 ตุลาคม 1910)
นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชาวสวิสเซอร์แลนด์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งองค์กรกาชาด (Red Cross) จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1859 หลังจากที่ Dunant ได้เห็นสภาพของเหล่าทหารและชาวบ้านที่บาดเจ็บล้มตายจากการสมรภูมิการรบในเมือง Solferino ประเทศอิตาลี (24 มิถุนายน 1859)
ซึ่งผู้คนเหล่านั้นแทบไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ ทำให้ Dunant รู้สึกว่าตนเองควรทำอะไรสักอย่างกับสิ่งที่เกิดขึ้น จึงได้ใช้ทุนทรัพย์ของตนเอง สร้างโรงพยาบาลสนามขึ้นมาเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและทหารในสนามรบ โดยไม่สนว่าจะมาจากฝ่ายใด หลังจากเหตุการณ์นั้น Dunant ได้พยายามเดินทางไปทั่วยุโรปเพื่อเผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามของเขา
ซึ่งมีหลักการสำคัญ 2 ประการ คือ
1. ในยามสงบให้ทุกประเทศจัดตั้งองค์กรของผู้มีจิตอาสาที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี เพื่อให้การช่วยเหลือดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บในภาวะสงคราม โดยไม่คำนึงว่าจะอยู่ฝ่ายใด
2. ให้มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศเพื่อเป็นหลักประกันการได้รับการรักษาพยาบาลอย่างมีมนุษยธรรมของผู้ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม
ซึ่งหลักการดังกล่าวได้กลายมาเป็นรากฐานของอนุสัญญาเจนีวา และหลักการทำงานของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (the International Committee of the Red Cross) ในปัจจุบัน
การเกิดอนุสัญญา เจนีวา
อนุสัญญาเจนีวาฉบับแรกถูกลงนามในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ.1864 ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และกลายเป็นที่มาของชื่ออนุสัญญาดังกล่าว โดยมีตัวแทนจาก 12 รัฐและอาณาจักรในยุโรปร่วมลงนามในครั้งนั้น ซึ่งเนื้อหาสำคัญของอนุสัญญาและพิธีสารแต่ละฉบับ มีดังนี้
- อนุสัญญาฉบับที่ 1 ว่าด้วยการคุ้มครองและช่วยเหลือทหารบาดเจ็บ เจ็บป่วยในสนามรบ
- อนุสัญญาฉบับที่ 2 ว่าด้วยการคุ้มครองและช่วยเหลือทหารบาดเจ็บ เจ็บป่วยในสงครามทางทะเล
- อนุสัญญาฉบับที่ 3 ว่าด้วยการกำหนดสถานภาพและการปฏิบัติต่อเชลย
- อนุสัญญาฉบับที่ 4 ว่าด้วยการคุ้มครองและช่วยเหลือพลเรือนในเขตพื้นที่ที่มีการขัดแย้งกันด้วยอาวุธ
จะเห็นได้ว่าอนุสัญญาทั้ง 4 ฉบับนั้นมุ่งไปที่การปกป้องทหารและเชลยสงครามเป็นหลัก เนื่องจากในยุคนั้นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นความขัดแย้งระหว่างอาณาจักร แต่ต่อมาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นช่วงที่มีประชากรพลเรือนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบจากสงครามมากขึ้น เนื่องจากวิทยาการด้านอาวุธสงครามที่ถูกพัฒนาให้มีอานุภาพการทำลายล้างในวงกว้าง ประชาคมระหว่างประเทศจึงได้มีการกำหนดกฎเกณฑ์เพิ่มขึ้นมาใหม่ เพื่อให้การคุ้มครองครอบคลุมถึงพลเรือนด้วย เกิดเป็นพิธีสารเพิ่มเติมขึ้นมาอีก 3 ฉบับ
- พิธีสารฉบับที่ 1 การคุ้มครองพลเรือน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศ ครอบคลุมถึงทรัพย์สินของพลเรือน อุปกรณ์รักษาพยาบาล แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ และกำหนดวิธีการใช้อาวุธในการทำสงคราม
- พิธีสารฉบับที่ 2 การคุ้มครองพลเรือนซึ่งได้รับผลกระทบจากการขัดแย้งที่มิใช่ระหว่างประเทศ เช่น สงครามกลางเมือง
- พิธีสารฉบับที่ 3 การประกาศยอมรับเครื่องหมายเพิ่มเติมในการแสดงสถานะความเป็นกลางของหน่วยแพทย์ แพทย์ทหาร หรืออาสาสมัคร ที่นอกเหนือจากเครื่องหมายกาชาดและเสี้ยวพระจันทร์
สำหรับประเทศไทย ได้มีการลงนามเข้าร่วมเป็นภาคีร่วมในอนุสัญญาเจนีวาทั้ง 4 ฉบับ เมื่อปี พ.ศ.2498
อนุสัญญาเจนีวานั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยอยู่มากมาย แต่เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ เราสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
- การให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต้องมาเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใด
- โรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์จะต้องไม่ถูกคุกคาม พาหนะเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ หีบห่อยาและเวชภัณฑ์ต้องมีเส้นทางลำเลียงที่ปลอดภัย
- ห้ามทำร้ายผู้ที่วางอาวุธ เชลยสงครามต้องได้รับการปลดปล่อยและส่งกลับโดยไม่ชักช้า
- ต้องจำกัดวิธีการและพื้นที่ในการทำสงคราม แยกแยะพลเรือนออกจากผู้ทำการสู้รบ และห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าร่วมในการสู้รบ
หลายคนอาจเริ่มเกิดคำถามขึ้นในใจว่า
“คนที่ละเมิดอนุสัญญา จะโดนบทลงโทษอะไรบ้าง?”
คำตอบที่ได้ อาจจะฟังดูน่าผิดหวังเล็กน้อย เพราะมันแทบจะ “ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เพราะสุดท้ายแล้วความผิดและบทลงโทษต่าง ๆ ก็ต้องพิจารณาตามกฎหมายของแต่ละประเทศรวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศอีกที
ไทยสามารถใช้เครื่องมือใดได้บ้าง
ส่วนอนุสัญญาเหล่านี้ก็เป็นเหมือน ‘คำมั่นสัญญา’ ของนานาอารยประเทศว่าพวกเขาจะใช้อนุสัญญาเหล่านี้เป็นพื้นฐานในการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวการปกป้องพลเรือนจากความรุนแรงของสงคราม และจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากประเทศใดฝ่าฝืนสัญญานี้ ก็อาจถูกประณามหรือคว่ำบาตรทางการเมืองจากประเทศอื่น ๆ เพียงเท่านั้น
อนุสัญญาเจนีวา จึงเป็นเหมือนบททดสอบสุดหินของมวลมนุษยชาติ เพราะถ้าหากเรามองว่าการลงนามในอนุสัญญาเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็น เราอาจจะต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองกันอีกครั้งว่า ‘ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์’ ของพวกเรานั้นชี้วัดด้วยอะไรกันแน่?
ความรัก ความเห็นใจ ความศรัทธา ความเมตตา หรือ ความรุนแรง
#เรียบเรียงโดย อาจารย์ต้นสัก สนิทนาม
#ไทยกัมพูชา #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพอากาศ #กองทัพบก #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #อนุสัญญาเจนีวา
กัมพูชา
ไทย
ชาติ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย