26 ก.ย. เวลา 14:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
สหรัฐอเมริกา

Apple factory in china closed สรุปเนื้อหา Apple in China ที่เขียนโดย McGee มาให้อ่านกัน....แบบจุกๆ.

ขนาดที่จีนยังเจ๊ง.... แมคกี (Patrick McGee) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยธุรกิจชาวแคนาดาจาก Financial Times
เขาเพิ่งเขียนหนังสือเล่มใหม่ชื่อ Apple in China
ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2568 โดยเล่าถึงการลงทุนในจีนของ Apple ซึ่งในหนังสือกล่าวว่า....
หาก Apple เป็นประเทศ
GDP ของ Apple จะเทียบเท่ากับประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 7 ของโลก หลังจากที่ Steve Jobs กลับมาดำรงตำแหน่ง
1
เขาได้จ้าง Tim Cook ซีอีโอของ Apple ในอนาคต (และปัจจุบัน)
ซึ่งเริ่มย้ายฐานการผลิตของ Apple ไปยังจีนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
2
ซึ่งเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญที่ช่วยให้ Apple กลายเป็นผู้นำในการสร้างชาติ
ด้วยตัวอย่างที่น่าสนใจนี้ มันเริ่มตั้งแต่ปี 2557 โน้นนนนนน...
Apple ได้ส่งวิศวกรจำนวนมากไปยังหางโจวและเฉิงตูเพื่อฝึกอบรมโรงงานผลิตตามสัญญาของ Apple ในท้องถิ่น
ด้วยเหตุนี้ Apple จึงขอให้ United Airlines เพิ่มเที่ยวบินตรงสามเที่ยวบินต่อสัปดาห์จาก Bay Area ไปยังหางโจวและเฉิงตู
Apple แจ้งกับ United Airlines ว่าพวกเขาจะรับประกันที่นั่งชั้นหนึ่งเต็มที่นั่งในทุกเที่ยวบิน
เพื่อให้พวกเขาได้รับผลกำไรอย่างมหาศาล
ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ Apple เคยออกแบบ iPhone ให้มีหน้าจอแบบพลาสติก
1
แต่พบว่ามันเป็นรอยขีดข่วนง่ายจนเกินไป..
หลังจากการเปิดตัว iPhone ครั้งแรก พวกเขาตัดสินใจในนาทีสุดท้ายที่จะเปลี่ยนไปใช้หน้าจอกระจกแบบสัมผัสแบบใหม่
แต่ก่อนที่ iPhone รุ่นแรกจะเปิดตัวนั้น Apple ได้ติดต่อ Shenzhen Lens Technology ผู้ผลิตหน้าจอสัมผัสอย่างเร่งด่วน
และรีบส่งวิศวกรชาวอเมริกันเข้าไปควบคุมดูแลกระบวนการผลิต
โดยเขานอนพักอยู่ในสำนักงานของบริษัท Lens Technology เองซะด้วยเลย
ยิ่งไปกว่านั้น Apple ยังมีมนุษยธรรมอย่างมาก
พวกเขากังวลว่าบริษัทจีนหลายแห่งจะเอาแต่พึ่งพา Apple มากเกินไป และอาจล้มละลายหาก Apple ถอนการลงทุน
ดังนั้น พวกเขาจึงกำหนดให้ผู้จัดจำหน่ายชิ้นส่วนของ Apple ต้องมีธุรกิจอย่างน้อยครึ่งหนึ่งกระจายอยู่นอก Apple
1
ซึ่งทำให้หลายบริษัทในจีน เริ่มการผลิตสินค้าสำหรับคู่แข่ง(ในจีน) โดยที่ Apple ไม่ได้สร้างอุปสรรคใดๆ ตามมาเลย
ส่งผลให้มีชาวจีนประมาณ 3 ล้านคนผลิตชิ้นส่วนให้กับ Apple
ในแต่ละปี แอปเปิลได้ฝึกอบรมพนักงานชาวจีนไปแล้ว 28 ล้านคน
และลงทุน 55,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีในจีน จีนใช้จ่ายเงินเกือบ 70,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีไปกับผลิตภัณฑ์ของแอปเปิล ซึ่งคิดเป็น 20% ของรายได้ทั้งหมดของแอปเปิล
แมคกีกล่าวว่าสำหรับจีนแล้ว แอปเปิลได้สร้างศักยภาพทางอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คล้ายกับที่เขาได้พูดคุยในรายการ NPR On Point เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพของจีน
ด้วยการให้บริการ CRO/CMO ด้านเทคโนโลยีชีวภาพระดับโลก (บทความนี้เพื่อนๆสามารถหาอ่านได้ทั่วไปนะครับ อย่าให้ผมเจาะ...เด๋วจะหนาวววว)
ที่น่าสนใจคือ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากโลกาภิวัตน์และการยกระดับอุตสาหกรรม
ซึ่งเป็นกระบวนการที่นำไปสู่การกระจุกตัวของอุตสาหกรรมที่มีรายได้สูงทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตาม แมคกีตั้งข้อสังเกตว่า การที่เอาท์ซอร์สการดำเนินงานด้านการผลิตทั้งหมด
ยังช่วยให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการยกระดับในต่างประเทศ
เนื่องจากความก้าวหน้าและการอัพเกรดผลิตภัณฑ์เหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสายการผลิต (แมคกียกตัวอย่างการปฏิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ(Industrial Revolution))
สุดท้าย เมื่อถูกถามว่าเหตุใดแอปเปิลจึงไม่สนใจคำขอของทรัมป์ที่จะกลับไปสร้างโรงงานที่สหรัฐอเมริกา
แมคกีบรรยายว่า นี่เป็นการตัดสินใจทางธุรกิจทั้งหมด
1
แอปเปิลคำนวณต้นทุน-ผลประโยชน์ที่มากเกินไป โดยแอปเปิลเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
ในเรื่องการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์และการดำเนินงาน
และผลตอบแทนจากการลงทุนหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจีนนั้นสูงกว่าในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกาอยู่มากโข
จีนมีระบบความร่วมมือทางอุตสาหกรรม การดำเนินงาน โลจิสติกส์ และการขนส่งที่แข็งแกร่ง
พวกเขาจึงสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้มากกว่า
นอกจากนี้ แรงงานที่มีทักษะสูงซึ่งตรงตามข้อกำหนดความเข้มข้นของแรงงานสูง (ค่าจ้างรายชั่วโมงค่อนข้างต่ำ)
ยังหาได้ยากในที่อื่นใดในโลก ใบนี้....
มีเพียงจีนเกือบทั้งหมดเท่านั้นที่มีเงื่อนไขข้างต้น
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลกต้องพึ่งพาจีน
โฆษณา