2 ส.ค. เวลา 11:05 • ประวัติศาสตร์

ความฝันในหอแดง 13 บุญคุณเหนือญาติมิตร

พอมาถึงโถงตรงข้ามเรือนใหญ่ ภรรยาโจวยุ่ยบอกให้หลิวเหล่าเลารอด้านหน้าสักครู่ แล้วนางก็เดินอ้อมฉากลอยเข้าประตูลานไป พี่เฟิ่งยังไม่เห็นออกมา จึงไปหาผิงเอ๋อ 平儿 สาวใช้คนสนิทของพี่เฟิ่ง เล่าเรื่องของหลิวเหล่าเลาให้ฟังตั้งแต่ต้น แล้วเสริมว่า
“วันนี้ก็สู้อุตส่าห์เดินทางไกลมาอวยพร เมื่อก่อนเหล่าไท่ไท่ก็เคยพบ ข้าจึงพามาพบคุณนาย คิดว่าคุณนายคงไม่ว่าข้าทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
ผิงเอ๋อฟังจบก็ตัดสินใจเองเลยว่า “ให้พวกเขาเข้ามานั่งรอข้างในนี่ก็แล้วกัน”
ภรรยาโจวยุ่ยออกมานำพวกเขาเข้าไป พอย่างเท้าขึ้นบันไดเรือนใหญ่ สาวใช้ก็แหวกผ้าม่านแดงขึ้น เพียงก้าวเข้าไปในห้องโถง กลิ่นหอมประหลาดพลันปะทะหน้า ไม่รู้ที่มาจากไหน กายเหมือนจะล่องลอย สิ่งของในห้องทอประกายเจิดจ้าแยงตา ทำให้ตาลายหัวหมุน หลิวเหล่าเลาก้มหน้าขมุบขมิบปากสวดพระพุทธมนตร์ แล้วเดินมาทางตะวันออก จนถึงห้องนอนของบุตรีเจี่ยเหลียน ผิงเอ๋อยืนอยู่ข้างเตียงผิง มองประเมินหลิวเหล่าเลาแล้วกล่าวทักทายและเชิญนั่ง
หลิวเหล่าเลาเห็นผิงเอ๋อแต่งกายด้วยผ้าแพร ประดับศีรษะด้วยเครื่องเงินและทอง หน้าตางดงาม คิดว่าเป็นพี่เฟิ่ง กำลังจะเอ่ยปากเรียกว่า นายหญิงอา แต่ภรรยาโจวยุ่ยชิงแนะนำก่อนว่า “นี่คือแม่นางผิง”
ผิงเอ๋อก็เรียกภรรยาโจวยุ่ยว่า “แม่ใหญ่โจว”
จึงรู้ว่านางเป็นเพียงสาวใช้ที่ดูภูมิฐาน
หลิวเหล่าเลากับปั่นเอ๋อนั่งลงบนเตียงผิง ผิงเอ๋อกับภรรยาโจวยุ่ยนั่งลงตรงขอบเตียงตรงข้าม แล้วบอกให้สาวใช้รินน้ำชา
หลิวเหล่าเลาได้ยินเสียงดังตึงตัง เหมือนเคาะตะแกรงร่อน จึงเหลียวซ้ายแลขวา พลันเห็นว่าต้นเสียงเป็นหีบใบหนึ่งแขวนอยู่กับเสากลางห้อง ด้านล่างหีบมีลูกตุ้มห้อยอยู่แกว่งไปมา หลิวเหล่าเลาคิดว่า
“นี่คืออะไร ใช้ทำอะไร”
ยังงุนงงอยู่ พลันได้ยินเสียงเหมือนตีฉาบเคาะระฆังดังมาจนต้องสะดุ้ง เสียงดังต่อกันแปดเก้าครั้ง
(สิ่งที่หลิวเหล่าเลาเห็นคือ นาฬิกามีลูกตุ้มแบบตะวันตกแขวนผนังกำลังตีบอกเวลา)
พอจะอ้าปากถามก็เห็นพวกสาวใช้วิ่งกันวุ่นบอกว่า
“คุณนายมาแล้ว”
ผิงเอ๋อกับภรรยาโจวยุ่ยรีบลุกขึ้นว่า
“เหล่าเลาท่านนั่งรอก่อน ได้เวลาพวกเราจะมาเชิญท่าน”
กล่าวจบก็รีบออกไป
หลิวเหล่าเลาสงบคำเงี่ยหูฟังและสังเกต ได้ยินเสียงหัวเราะแต่ไกล เห็นแม่บ้านสิบกว่ายี่สิบคนมีสองคนถือกล่องลงรักสีแดงสองใบใหญ่ มีเสียงจากด้านข้างกำกับว่า “จัดอาหาร”
คนกลุ่มนั้นกระจายกันไปยกอาหารเข้ามา เสียงจ้อกแจ้กจอแจเงียบหายไปครึ่งค่อนวัน สองคนยกโต๊ะผิงเข้ามาตั้ง บนโต๊ะผิงวางจานอาหารประเภทเนื้อและปลาเอาไว้เต็ม ปั่นเอ๋อมองเห็นของกินก็เอะอะขึ้นมา หลิวเหล่าเลาจึงตบปากให้เงียบ
พลันเห็นภรรยาโจวยุ่ยยิ้มยิงฟันเข้ามา ทำมือเรียก หลิวเหล่าเลารีบพาปั่นเอ๋อลงจากเตียงผิง เดินตามมาถึงกลางห้องโถง ภรรยาโจวยุ่ยกระซิบกระซาบกับนางครู่หนึ่ง ก็มาถึงห้องด้านใน หน้าประตูมีตะขอทองเหลืองแขวนผ้าม่านลายดอกไม้สีแดง เตียงผิงตั้งอยู่ใต้หน้าต่างทางทิศใต้ ปูด้วยพรมแดงผืนใหญ่ มีหมอนหนุนแพรปักลายห่วงโซ่วางอยู่ติดกำแพงข้างตะวันออก มีเบาะนั่งลายเงินทองกระจาย ด้านข้างตั้งกระโถนเงินปากแตรสำหรับบ้วนน้ำลาย
พี่เฟิ่งนั่งบนเบาะ แต่งตัวแบบอยู่กับบ้าน สวมคลุมหมวกแบบเจาจวินจากหนังเตียว 紫貂昭君套 ล้อมด้วยไข่มุก สวมเสื้อคลุมสีแดงดอกท้อลายดอกไม้ ผ้าคลุมสีกรมท่าขลิบขนกระรอก ชุดกระโปรงแดงจับจีบแบบต่างด้าวหนังกระรอกเงิน 银鼠 ประแป้งแต่งหน้า มือถือปากคีบทองเหลืองเขี่ยถ่านในเตามือถือ ผิงเอ๋อยืนอยู่ข้างเตียง ถือถาดลงรักวางถ้วยชามีฝาปิด
พี่เฟิ่งไม่ดื่มชา ไม่เงยหน้า เอาแต่เขี่ยถ่าน ถามว่า
“ทำไมไม่ตามพวกเขาเข้ามา”
พอเงยหน้าจะหยิบถ้วยชา ก็มองเห็นภรรยาโจวยุ่ยพาคนทั้งสองมายืนอยู่ตรงหน้า จึงทำท่าเหมือนจะลุกขึ้นยืน ยิ้มเต็มหน้ากล่าวทักทายหลิวเหล่าเลา แล้วตำหนิภรรยาโจวยุ่ยว่า “ทำไมไม่บอกก่อน”
หลิวเหล่าเลาคุกเข่ากราบคารวะและกล่าวอวยพร
พี่เฟิ่งรีบบอกว่า “พี่โจว ช่วยบอกว่าไม่ต้องกราบ ข้าอายุยังน้อย จำนางไม่ได้ เรียกขานไม่ถูกไม่รู้ว่าเป็นอาวุโสรุ่นใด”
ภรรยาโจวยุ่ยรีบตอบว่า “นี่คือเหล่าเลาที่ข้าเพิ่งพูดถึง”
พี่เฟิ่งผงกศีรษะ หลิวเหล่าเลานั่งลงบนเตียงผิง ปั่นเอ๋อหลบอยู่ด้านหลัง เป็นตายก็ไม่ยอมโผล่หน้ามา
พี่เฟิ่งหัวเราะว่า “เครือญาติไม่ไปมาหาสู่กันนานย่อมห่างเหิน คนที่รู้ความก็จะบอกว่าพวกท่านหมางเมินพวกเราจึงไม่มาหา ส่วนพวกคิดเล็กคิดน้อยไม่รู้ความ ก็จะบอกว่าพวกเราไม่เห็นพวกท่านอยู่ในสายตา”
หลิวเหล่าเลารีบเอ่ยนามพระพุทธแล้วว่า
“ฐานะทางบ้านพวกเรายากลำบาก ไม่สะดวกเดินทางนัก มาหาทีเหมือนมาฉีกหน้าท่านอาหญิง แม้แต่พวกพ่อบ้านยังเห็นพวกเราซอมซ่อ”
พี่เฟิ่งหัวเราะว่า “คำพูดนี้ฟังแล้วอดลำบากใจไม่ได้ พวกเราเพียงอาศัยชื่อเสียงบรรพบุรุษ มีตำแหน่งหน้าที่ราชการเล็กๆ เท่านั้น มีอะไรเพียงไหนกัน ก็เพียงชั้นวางของว่างเปล่า ภาษิตว่า ราชสำนักยังมีสามพระญาติซอมซ่อ 朝廷还有三门子穷亲 อย่าว่าแต่ท่านกับข้าเลย”
กล่าวจบ ก็หันไปถามภรรยาโจวยุ่ยว่า
“ได้เรียนไท่ไท่ท่านหรือยัง”
ภรรยาโจวยุ่ยว่า “รอคำสั่งของคุณนายอยู่”
พี่เฟิ่งว่า “ท่านไปดูที หากมีคนรายงานแล้วก็แล้วไป หากไม่มี ท่านก็รายงานเสีย ดูว่าไท่ไท่จะว่าอย่างไร”
ภรรยาโจวยุ่ยรับคำแล้วรีบออกไป
พี่เฟิ่งบอกให้คนนำผลไม้มาให้ปั่นเอ๋อกิน พลันมีพวกแม่บ้านนำความมารายงาน ผิงเอ๋อออกมาพบแล้วกลับเข้ามาแจ้งให้ทราบ พี่เฟิ่งว่า
“ข้ามีแขกอยู่ เย็นนี้ค่อยว่ากัน หากมีเรื่องเร่งด่วน เจ้าจึงพาเข้ามา”
ผิงเอ๋อออกไปสักพักแล้วกลับมาแจ้งว่า
“ข้าถามแล้ว ไม่มีเรื่องด่วนอันใด ข้าจึงบอกให้แยกย้ายกันไปก่อน”
พี่เฟิ่งผงกหัวรับทราบ
ภรรยาโจวยุ่ยกลับมาแจ้งพี่เฟิ่งว่า
“ไท่ไท่ว่า : วันนี้ข้าไม่ว่าง คุณนายรองรับรองก็เหมือนกัน ขอบคุณมากที่อุตส่าห์คิดถึงกัน หากว่ามาเยี่ยมเฉยๆ ก็แล้วไป หากมีกิจธุระอันใด ให้บอกกับคุณนายรอง”
หลิวเหล่าเลาว่า “ก็ไม่มีกิจธุระอันใด เพียงมาเยี่ยมไท่ไท่กับคุณนาย ในฐานะญาติ”
ภรรยาโจวยุ่ยว่า “หากไม่มีอะไรก็แล้วไป หากมีธุระ บอกกับคุณนายรองก็เหมือนบอกกับไท่ไท่”
แล้วส่งสายตาให้
หลิวเหล่าเลาเข้าใจความหมาย ไม่ทันเอ่ยอะไรก็หน้าแดงเสียก่อน ครั้นจะไม่พูดแล้ววันนี้มาทำไมกัน จึงจำต้องบอกว่า
“อันที่จริงเพิ่งมาเป็นครั้งแรกก็ไม่ควรพูดถึง แต่ระยะทางไกลมากกว่าจะมาได้ จึงจำต้องบอก…”
พูดไม่ทันจบ บ่าวหน้าประตูสองคนเข้ามาแจ้งว่า
“นายน้อยหยง 小蓉大爷 จวนตะวันออกมาถึงแล้ว”
พี่เฟิ่งรีบโบกมือตัดบทหลิวเหล่าเลาว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว”
แล้วหันมาถามบ่าวว่า “นายท่านหยงมาถึงไหนแล้ว”
พลันได้ยินเสียงรองเท้าดังมาตลอดทาง ชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีก้าวเข้าห้องมา ใบหน้าหล่อเหลา รูปร่างสะโอดสะอง สวมมงกุฏและชุดสวยงาม สวมเสื้อคลุมขนสัตว์คาดเข็มขัดหยก
หลิวเหล่าเลาเก้เก้กังกัง ไม่รู้จะนั่งหรือยืน จะหลบข้างไหน จะซ่อนข้างใด พี่เฟิ่งหัวเราะว่า
“ท่านนั่งลงเถิด นี่หลานข้าเอง”
หลิวเหล่าเลากระมิดกระเมี้ยนนั่งลงตรงขอบเตียงข้างหนึ่ง
เจี่ยหยง 贾蓉 กล่าวคำทักทาย หัวเราะว่า
“ท่านพ่อให้ข้ามาหาอาหญิง ขอยืมฉากเตียงผิงแก้วที่ไท่ไท่น้าผู้เฒ่าให้อาหญิงไว้ก่อนหน้านี้ พรุ่งนี้ท่านพ่อมีแขกสำคัญ จึงอยากนำไปประดับ ใช้งานเสร็จจะส่งคืนมา”
พี่เฟิ่งว่า “เจ้ามาสายไป เมื่อวานข้าเพิ่งให้คนอื่นยืมไป”
เจี่ยหยงหัวเราะคิกคัก โค้งต่ำคำนับอยู่ข้างเตียงว่า
“หากท่านอาไม่ให้ยืม ท่านพ่อคงว่าข้าพูดจาไม่รู้เรื่อง แล้วคงถูกตี ท่านอาโปรดเห็นใจข้าด้วย”
พี่เฟิ่งหัวเราะว่า “ไม่เคยรู้ว่าของสกุลหวางของข้าล้วนเป็นของดี แล้วของดีของพวกเจ้าเอาไปไว้ไหน ไม่ควรให้พวกเจ้าเห็นของดีของข้า เห็นแล้วก็คิดหาทางมาเอาไป”
เจี่ยหยงหัวเราะว่า “ท่านอาหญิง โปรดให้ความกรุณาด้วย”
พี่เฟิ่งว่า “ทำแตกขี้นมา ระวังบาดผิวเจ้าด้วย”
แล้วบอกให้ผิงเอ๋อนำกุญแจชั้นบนมาพาคนไปยกลงมา
เจี่ยหยงดีใจจนหน้าบาน รีบบอกว่า “ข้าให้คนขึ้นไปยกเอง จะบอกพวกเขาว่าระวังอย่าทำแตก”
กล่าวจบรีบลุกขึ้นเดินออกไป
พี่เฟิ่งดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ชะโงกหน้าต่างตะโกนเรียกว่า “หยงเอ๋อ กลับมาก่อน”
ได้ยินเสียงคนข้างนอกขานรับว่า “เชิญนายท่านหยงกลับมาก่อน”
เจี่ยหยงรีบกลับมา หน้ายังระรื่น รอฟังพี่เฟิ่งอยู่ พี่เฟิ่งทำเฉยค่อยๆ จิบชา วางมาดอยู่ครึ่งวัน พลันหน้าแดงหัวเราะว่า
“เอาละ เจ้าไปก่อนก็แล้วกัน หลังอาหารเย็นกลับมาหาข้าใหม่แล้วค่อยบอก ตอนนี้ข้ามีแขก ไม่มีอารมณ์จะพูด”
เจี่ยหยงรับคำ เม้มปากหัวเราะ ค่อยค่อยถอยออกไป
หลิวเหล่าเลาหายประหม่าแล้ว เห็นสบช่องจึงกล่าวว่า
“ข้าพาหลานมาวันนี้ ก็เพราะว่าพ่อแม่เขาแม้จะกินยังไม่มี อากาศก็หนาวแล้ว จึงจำต้องพาหลานมารบกวนท่าน”
แล้วผลักปั่นเอ๋อว่า
“อยู่บ้าน พ่อเจ้าสอนว่าอย่างไร ให้พวกเรามาทำอะไร อย่าเอาแต่กินผลไม้”
พี่เฟิ่งเข้าใจความหมายอยู่แล้ว เห็นเด็กไม่ยอมพูด จึงหัวเราะว่า
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจ”
หันมาถามภรรยาโจวยุ่ยว่า
“เหล่าเลานี่กินข้าวเช้ากันหรือยัง”
หลิวเหล่าเลารีบตอบว่า “รีบมากันแต่เช้า ยังไม่มีเวลากินข้าวเลย”
พี่เฟิ่งสั่งให้รีบนำข้าวมา
สักพักภรรยาโจวยุ่ยก็ให้คนจัดโต๊ะอาหารรับแขกไว้ที่ห้องตะวันออกแล้วมาพาหลิวเหล่าเลากับปั่นเอ๋อไปกินข้าว
พี่เฟิ่งว่า “พี่โจวช่วยดูแลตามที่เขาต้องการด้วย ข้าไม่อาจไปร่วมโต๊ะ”
แล้วเรียกภรรยาโจวยุ่ยมาถามว่า
“เมื่อครู่ไปเรียนไท่ไท่แล้ว ไท่ไท่ท่านว่าอย่างไร”
ภรรยาโจวยุ่ยว่า “ไท่ไท่ท่านว่า พวกเขาเดิมทีก็ไม่ใช่คนบ้านเรา ปีนั้นปู่ของพวกเขากับท่านปู่ของพวกเรารับราชการอยู่ด้วยกัน จึงนับญาติกัน หลายปีมานี้ไม่ได้ไปมาหาสู่ แต่เมื่อก่อนนี้ เวลาพวกเขามาหา ก็ไม่เคยให้กลับไปมือเปล่า ที่มาเยี่ยมพวกเราเที่ยวนี้ ก็นับว่ามีเจตนาดี อย่าได้ตัดรอนพวกเขา มีเรื่องอันใด ก็ให้คุณนายรองตัดสินใจเอาเถิด”
พี่เฟิ่งรำพึงว่า “แปลกจริง คนบ้านเดียวกัน ทำไมข้านึกอะไรไม่ออกเลย”
ระหว่างนั้น หลิวเหล่าเลากินข้าวเสร็จลากตัวปั่นเอ๋อกลับเข้าห้องมา เลียริมฝีปากกล่าวขอบคุณ
พี่เฟิ่งยิ้มว่า “เชิญนั่งก่อนแล้วฟังข้า ความหมายของท่านเมื่อครู่ ข้าเข้าใจแล้ว ในฐานะญาติ พวกเราไม่ควรต้องรอจนท่านมาถึงเรือนจึงค่อยช่วยเหลือ แต่กิจการบ้านทุกวันนี้มีมากนัก ไท่ไท่ท่านก็สูงอายุแล้ว จึงอาจหลงลืมคิดไปไม่ถึงบ้าง ข้าเองมารับช่วงดูแลบ้าน เรื่องเครือญาติก็รู้ไม่ตลอดนัก ดูภายนอกพวกเราอาจดูใหญ่โตภูมิฐาน แต่ถึงใหญ่โตก็มีปัญหาของตนเองที่บอกไปคงไม่มีใครเชื่อ
พวกท่านเดินทางไกลมาเอ่ยปากกับข้าเป็นครั้งแรก จะให้กลับมือเปล่าได้อย่างไร พอดีว่าเมื่อวานนี้ไท่ไท่เพิ่งมอบเงินให้ข้ายี่สิบตำลึงสำหรับตัดชุดให้พวกสาวใช้ ยังไม่ได้จ่ายออกไป หากท่านไม่เกี่ยงว่าน้อยไป ก็เอาไปใช้ก่อน”
หลิวเหล่าเลาฟังตอนต้นถึงความลำบากใจ ก็นึกท้อว่าคงหมดหวัง แต่พอฟังว่าจะมอบเงินให้ยี่สิบตำลึงก็ยิ้มแป้นว่า
“พวกเราก็เข้าใจความลำบากของท่าน แต่ภาษิตว่า อูฐผอมโซอดตายยังตัวใหญ่กว่าม้า 瘦死的骆驼比马还大 ท่านเพียงถอนขนหน้าแข้งให้ยังหนากว่าเอวพวกเรา”
ภรรยาโจวยุ่ยยืนฟังอยู่รู้สึกแสลงหู จึงส่งสายตาปราม แต่พี่เฟิ่งกลับหัวเราะไม่สนใจ บอกให้ผิงเอ๋อนำถุงเงินเมื่อวานมาบวกกับเงินอีกหนึ่งพวง มอบทั้งหมดให้หลิวเหล่าเลา
พี่เฟิ่งว่า “นี่เงินยี่สิบตำลึง ให้พวกเด็กๆ ไปตัดชุดฤดูหนาว วันหน้ามีเวลาก็หมั่นมาเยี่ยมเยียน นี่ก็เย็นแล้ว ไม่รั้งพวกท่านให้เสียเวลา กลับไปถึงก็ฝากความระลึกถึงให้พวกท่านที่ไม่ได้มาด้วย”
หลิวเหล่าเลากล่าวขอบคุณมากมาย เก็บเงิน แล้วตามภรรยาโจวยุ่ยกลับออกมา
ภรรยาโจวยุ่ยว่า “ท่านแม่ ทำไมอยู่ต่อหน้านางถึงพูดอะไรไม่ออก อ้าปากก็อ้างหลานของท่าน ข้าขอพูดแบบไม่เกรงใจ หลานของท่านแท้ๆ ก็มีนายท่านหยงผู้เดียว ท่านไปหาหลานจากไหนมานับญาติเพิ่ม”
หลิวเหล่าเลาหัวเราะว่า “อาซ้อ พอเห็นนางอยู่ตรงหน้า ข้าก็คิดแต่ว่ารักหรือไม่รักนาง อย่างอื่นกลับพูดไม่ออก”
ทั้งสองเดินมาถึงบ้านโจวยุ่ย จึงนั่งพักสักครู่ หลิวเหล่าเลานำเงินที่ได้มาแบ่งให้ภรรยาโจวยุ่ยจำนวนหนึ่งสำหรับเป็นค่าขนมให้พวกเด็กๆ แต่ภรรยาโจวยุ่ยไม่ยอมรับ
หลิวเหล่าเลากล่าวขอบคุณมิขาดปาก แล้วกลับออกมาทางประตูหลัง
得意浓时易接济,受恩深处胜亲朋。
ถูกใจมากหลายง่ายจุนเจือ
บุญคุณมากเหลือเหนือญาติมิตร
(จบบทที่หก)
ตอนก่อนหน้า : หลิวเหล่าเลามาเยี่ยมครั้งที่หนึ่ง
ตอนถัดไป : ยาเม็ดหอมเย็น

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา