7 ส.ค. เวลา 13:18 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

“The Fantastic Four: First Steps: สิ่งที่อยู่เหนือพลังกายสิทธิ์"

ภายใต้คอนเซปต์หนังฟีลครอบครัว
ที่ดูอบอุ่น น่ารัก เฮฮาเคล้าดราม่า
กลับพบว่า “The Fantastic Four: First Steps”
ได้สอดแทรกแก่นอะไรไว้อีกมากมายทีเดียว
ซึ่งตามธรรมเนียมหลังดูจบแล้วยังอิน
ผมเลยเขียนบทความสรุปแง่มุมต่างๆ
มาฝากกัน สำหรับคนที่ดูจบแล้ว
ชวนอ่านเพลินๆ ครับ
เอาล่ะนะ “Flame on!” 🔥🔥
.
.
.
.
1. ไม่มีใครเป็น "อัจฉริยะ" อย่างแท้จริง
- แม้แต่ “Reed Richards (Mr.Fantastoc)” ที่เป็นยอดนักวิทยาศาสตร์แห่งยุค ก็ยังไม่เก่งเรื่องทำกับข้าว ไม่อาจสอบใบขับขี่ได้สำเร็จแบบที่ “Ben Grimm (The Thing)” เพื่อนซี้ที่แกล้งถาม เพราะแม้แต่เปลของลูกชายคนแรก Reed ก็ไม่สะดวกจะประกอบมันขึ้นมาด้วยตัวเอง จน “Susan Storm (Invisible Woman)” ภรรยาสุดที่รักยังถึงกับถามว่าทำไมคุณไม่ทำเอง นั่นลูกเรานะ?
หรือในบทบาทนักสื่อสารสังคม เขาก็เจรจาได้ไม่เก่ง ไม่นุ่มละมุน ละเอียดถึงใจผู้คนได้แบบเธอ จาก ฮีโร่ก็กลายเป็นซีโร่ได้ในพริบตา หากสื่อสารผิดพลาด ทำผู้คนที่คอยเชื่อเกิดผิดหวัง จากรักมากก็เกลียดมาก และเช่นกัน จากเกลียดมากก็กลับมารักได้ด้วยการสื่อสารที่ตรงจุด เข้าอกเข้าใจ และพร้อมจะหาทางออกไปด้วยกันแบบที่ซูป่าวร้องออกมา
ดังนั้นครอบครัว F4 จึงเป็นอัจฉริยะที่คอยเติมเต็มส่วนที่ขาดซึ่งกันและกัน ขาดใครไปก็คงไม่พอดี
2. “หินผา” ที่อ่อนโยนและ “เปลวไฟ” ที่นุ่มลึก
- หัวใจรักอันอ่อนโยนของ “Ben” ที่เห็นคุณค่าในผู้คน พร้อมใส่ใจรายละเอียดเสมอมา ไม่ว่าเรื่องเล็กใหญ่ยังไง หากช่วยให้คนยิ้มมีความสุขได้อย่างการยกรถโชว์ เขาก็ยินดีจะทำมัน รวมทั้ง “Johnny Storm (Human Torch)” มีเหนือพลังคอสมิคใน DNA คือพลังสำคัญที่ขาดไม่ได้และช่วยให้บ้านสมบูรณ์ โดยเฉพาะ Johnny ในเวอร์ชันนี้ที่แม้จะยังไว้ลายหนุ่มเจ้าสำราญคารมดี แต่กลับให้ความเป็นผู้ใหญ่ที่ต่างออกไป ต่อให้ภายนอกจะดูหัวร้อนอยู่ สื่อสารอะไรไม่ค่อยเก่ง ดูเงอะงะไม่มั่นใจอยู่ลึกๆ เวลาที่ต้องโน้มน้าวพี่ๆ ในทีม
แต่จุดที่ทำให้คนดูหลงรักมากกว่าเดิม หาใช่พลังเปลวไฟอันโชคช่วงร้อนแรงของเขาซะทีเดียว หากแต่เป็นความร้อนรุ่มที่คุกรุ่นจากข้างใน ทั้งกระหายใคร่รู้ที่จะศึกษาเบื้องลึกเบื้องหลังจิตใจศัตรูอย่าง “Shala-Bal (Silver Surfer)” เมื่อเขาเป็นคนเดียวที่มีโอกาสได้บินเข้าใกล้และได้ฟังภาษาท้องถิ่นอีกฝ่าย ก็จดจำ นำมาศึกษาต่อยอดอย่างลึกซึ้ง
ปะติดปะต่อทุกความเป็นไปได้เพื่อหาโอกาสหยุดวิกฤตการณ์กลืนกินดาวและป้องกันการดับสูญของมวลมนุษยชาติให้จงได้ แอบศึกษาภาษาและความเจ็บปวดในใจอีกฝ่าย เป็นไฟที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ยังคงมุ่งมั่นและคิดอ่านแบบนุ่มลึกขึ้น มองเห็นสิ่งที่พี่ๆ ในทีมไม่ทันมอง และลองหาทางแก้อย่างสุดหัวใจ
ก่อนจะอาศัยภาษาใจ ภาษากาย และการเงี่ยหูฟังความเจ็บปวดอีกฝ่ายด้วยความใส่ใจ พร้อมการวางจังหวะ Timing อันเหมาะเจาะในการดึงสติ Silver Surfer กลับมา ว่าภารกิจที่ป่าวร้องมาโดยตลอดนี้ มันต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง และควรค่าแก่การเสียสละจริงหรือไม่ อย่างไร ในห้วงเวลาสำคัญเขาจึงเป็นคนที่หยุดเธอลงได้อย่างแท้จริง ใครจะไปคิดว่าหนุ่มหล่อ คารมดี ที่ดูภายนอกยังไม่เป็นโล้เป็นพาย จะใช้ทักษะคาสโนว่าอันแพรวพราวช่วยกู้โลกและจักรวาล Earth-828 ไปได้อย่างงดงาม Johnny Storm นายโคตรเท่เลย!
3. สาวล่องหน ที่ทุกคนมองเห็น
- หากวัดความโดดเด่นจากขุมพลังและบทบาทในทีม เมื่อเทียบกับความอัจฉริยะของ Reed, พลังอันกล้าแกร่งของ Ben และลีลาบู๊อันโดดเด่นของ Johnny มองเผินๆ อาจพูดได้ว่า Sue ที่ใช้พลังล่องหนและสนามพลังที่แข็งแกร่งทั้งป้องกันและจู่โจม แต่มันก็เป็นพลังที่ไม่อาจมองเห็นได้ชัดตรงๆ จนเหมือนดูจืดจางกว่าใคร ทั้งที่จริงหากมองลึกลงในรายละเอียดดีๆ จะพบว่า “Sue” นั้นเปรียบได้กับกระดูกสันหลังที่ทีมขาดไม่ได้เลย
ด้วยความเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งแต่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน โอบอ้อมอารี มีความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) คนในทีมและเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจากข้างใน ไม่ว่าทีมจะออกปฏิบัติการอะไร เธอมักเป็นผู้ขับเคลื่อนเก็บกวาดงานเบื้องหลังที่สามหนุ่มมักไม่ถนัดทำ ทั้งการใช้วาทศิลป์ในการพูดคุย โน้มน้าวผู้คนให้คล้อยตาม
ทั้งการพูดสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม เธอเป็นได้ทั้งนักพูด นักการทูต และผู้สร้างความเคลื่อนไหวทางสังคม ผสมผสานทั้ง Hard และ Soft Skills ได้เป็นอย่างดี ถ้าไม่มีเธอคอยเจรจาสักคน “Mole Man” ก็คงไม่ยอมปรับท่าทีจนอ่อนลงและยอมร่วมมืออพยพคนลงใต้ดิน ประชากรโลกจึงผ่านวิกฤตระดับจักรวาลไปได้อย่างปลอดภัย ไม่มีใครต้องสังเวย
ที่สำคัญคือพลังรักแท้จากมนุษย์แม่ที่ยิ่งใหญ่เกินบรรยาย แม้ในห้วงเวลาที่ทุกคนมืดหม่นหมดกำลังใจว่าจะมีทางกู้โลกได้ Sue ก็ยังคงเชื่อมั่นว่าฉันจะไม่ยอมสูญเสียลูกเพื่อแลกกับโลก และจะไม่ยอมเสียโลกเพื่อแลกกับลูก ต่อให้ต้องย้ายโลกย้ายสรวงสรรค์ไปอีกจักรวาล ก็จะทำให้ได้ กลายเป็นการคำพูดจุดประกายให้ Reed ฉุกคิดหา “คานงัด” มาพิชิต Galactus ได้ในเบื้องต้น จนโลกนี้มีความหวังที่จะยืนหยัดสู้
กระทั่งในช่วงวิกฤตที่สุด พยายามต่อต้านแค่ไหนก็ยากจะหยุดผู้กลืนกินดวงดาวได้ ทั้งทีมต่างเพลี่ยงพล้ำเต็มที่ ซ้ำร้าย “Franklin” ลูกชายสุดที่รักก็กำลังจะถูกพรากไปต่อหน้า ในฐานะผู้สืบทอดชะตากรรมอันโหดร้ายไม่มีสิ้นสุดง่ายๆ แต่แล้วด้วยความรักจากแม่ ก็ทำให้ Sue ระเบิดพลังออกมาอย่างไม่คิดชีวิต ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกและโลกปลอดภัยตามสัญญา แม้นว่ามันจะทำให้เธอฝืนขีดจำกัดก็จะกัดฟันสาดพลังใส่ยักษ์ผู้หิวโหยจนถอยร่นเสียท่า ล้มเข้ามิติวาร์ปไปทีแรก
ในความเป็นสาวล่องหน ต้องยอมรับจริงๆ ว่า Sue คือคนที่คอยซัพพอร์ต ปิดทองหลังความสำเร็จต่างๆ ให้ทีมอยู่เสมอ
4. ความเจ็บปวดของตัวร้าย
- “ตอนเด็กๆ เราต่างชอบฮีโร่ โตมากลับเข้าใจหัวอกตัวร้ายมากขึ้น” ประโยคนี้ใช้ได้เสมอถึงปัจจุบัน เพราะหากมองในมุมทั่วไป Galactus ย่อมดูไม่ต่างอะไรกับวายร้ายผู้หิวกระหายตลอดเวลา ถึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับคอสมิกบีอิ้งที่อยู่มาก่อนกาล มีหน้าที่กลืนกินดวงดาวไปวันๆ ส่วน Silver Surfer ก็เป็นเพียงบ่าวผู้รับใช้ คอยชี้เป้าป่าวร้องดาวที่ต้องดับสูญให้นายพอใจ
แต่ลึกลงไป พวกเขาคือคนที่ไม่มีและไม่เคยมีสิทธิ์เลือกชะตาชีวิตที่ต้องการได้เลย เริ่มจาก Galactus ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่และลึกซึ้งที่สุดในจักรวาลมาร์เวล โดยประวัติของเขาเป็นการผสานกันระหว่างวิทยาศาสตร์ จักรวาลวิทยา และตำนานระดับจักรวาล เขาไม่ได้ถือกำเนิดจากจักรวาลปัจจุบันของมนุษย์ทั่วไป แต่เกิดจาก จักรวาลก่อนหน้าที่ล่มสลายไปก่อน Big Bang ที่ทำให้เกิดจักรวาลหลักของมาร์เวล (MCU) ขึ้นมา
โดยมีชื่อเดิมคือ "Galan" มนุษย์จากดาว “Taa” ซึ่งเป็นดาวที่เจริญรุ่งเรืองทางวิทยาศาสตร์ถึงขีดสุด แต่ในช่วงสุดท้ายของจักรวาลนั้น พลังแห่งเอนโทรปี (Entropy) ทำให้จักรวาลค่อยๆ ตาEลง ทำให้ Galan ที่เห็นจุดจบของทุกสิ่ง เลยพยายามเดินทางไปพร้อมยานอวกาศเพื่อพบความตาEอย่างสงบ
แต่แล้วเขากลับเผชิญหน้ากับ Cosmic Egg หรือ The Sentience of the Universe ซึ่งเป็นจิตวิญญาณแห่งจักรวาล และจิตที่ว่าก็ได้เลือกร่าง Galan เป็นผู้สืบทอดของมัน และผสานกับเป็นหนึ่งเดียว เกิดเป็นสิ่งมีชีวิตผู้ทรงพลัง พร้อมคำสาปแห่งความสมดุลที่ทำให้หิวโหยไม่สิ้นสุด ลองนึกภาพหากเราต้องมีชีวิตแบบหิววนไป ต้องกินดาวที่เต็มไปด้วยพลังงานชีวิตอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้นจะอ่อนแอและตาEลง
เหตุที่เอาแต่กิน หาใช่ “สัญชาตญาณ” หรือความชั่วร้ายใดๆ แต่คือ หน้าที่และชะตากรรม ทำให้เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง "การสิ้นสุด" และ "การเริ่มต้นใหม่" เปรียบได้กับระบบภูมิคุ้มกันของจักรวาล ที่กลืนกินดาวบางดวง เพื่อปกป้องกลไกแห่งสมดุลจักรวาลโดยรวม
เพราะหากปล่อยให้พลังงานชีวิต (Life Energy) เติบโตไม่หยุด จักรวาลจะเข้าสู่ความไม่สมดุลนั่นเอง คล้ายกับ Celestials ต้องอุบัติให้ดาวหนึ่งแตกดับ เพื่อจะเป็นผู้สร้างดาวและกาแล็กซี่ใหม่ๆ ต่อ ต่างแค่ Celestials มักวางตัวเป็นพระเจ้าแนวเผด็จการ ส่วน Galactus ทำไปแบบไม่เลือกปฏิบัติใดๆ
จุดนี้ทำให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนร้ายเสียทีเดียว แต่คือ “ผู้สันโดษ” ที่แบกภาระ ทั้งประวัติศาสตร์ ความสมดุล หายนะแห่งจักรวาลไว้บนบ่าตนเอง เคยกระทั่งเสียใจที่ต้องกลืนดาวที่มีชีวิต จึงสร้าง “Heralds” เช่น Silver Surfer เพื่อเลือกดาวที่เหมาะสมให้ตนเองได้เขมือบกิน แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับคอสมิกบีอิ้งเหนือจักรวาลผู้หิวโหยตลอดเวลา ข้างในกลับเหนื่อยล้าเกินบรรยาย
ขณะที่ Silver Surfer ผู้ป่าวร้องหายนะแห่งดวงดาว ในใจกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความเงียบงัน เปลี่ยวเหงา เศร้าและย้อนแย้งกับภารกิจที่ทำเสมอมาเพราะแรกเริ่มเดิมทีที่ยอมตกเป็นทาส โดยทิ้งชีวิตและความทรงจำเดิมเมื่อครั้งเป็นมนุษย์มีครอบครัว ก็เพียงเพื่อจะปกป้องดาวบ้านเกิดและลูกสาวผู้เป็นที่รักดั่งดวงใจ ทำให้ตอนที่ Galactus เล็งกระชาก Franklin จากอ้อมอกครอบครัว จิตใต้สำนึกของแม่คนหนึ่งก็ทำให้ Silver Surfer แอบเห็นต่างและแย้งกลับไปว่านั่นคือทารกนะท่าน
แค่ลองจินตนาการว่าดาวบ้านเกิดเรากำลังจะถูกกลืนกิน ไม่มีฮีโร่อย่างพวก F4 หรือ The Avengers คอยดูแล ซึ่งการเปลี่ยนตัวเองเป็นบ่าวรับใช้ Galactus ก็เป็นวิธีเดียวที่จะรักษาไว้ทั้งดาวและผู้คน ไฉนเลยจะไม่ยอมจำนน แลกแค่ตัวเองคนเดียว ก็ปกป้องชีวิตบนดาวได้มากมาย
ยิ่งเมื่อ Johnny มาสะกิดเตือนว่าภารกิจของเธอต้องแลกมาด้วยสรรพชีวิตมากมายในพหุจักรวาล ก็ยิ่งทำให้เกิดความละอาย สับสนเกินพรรณนา จนยอมหักหลังผู้เป็นนาย พุ่งชน Galactus ให้จมหายไปในอีกจักรวาล คนหนึ่งก็อดได้ผู้สืบทอดมาปลดปล่อยตัวเองออกจะชะตาอันเหนื่อยล้าและยาวนาน ส่วนอีกคนก็ต้องสละชีวิตใหม่ ไม่มีโอกาสจะกลับมาไม่ว่าบทบาทใด
ถ้าหากข้อพรได้สักข้อจริงๆ ก็อยากขอให้พวกเขาค้นพบความสุขและความหมายชีวิตที่ต้องการในปลายทาง น่าเสียดายที่ชีวิตจริงไม่ได้นิยามง่ายดายตามต้องการ
5. วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ทางออกเสมอไป
- มิใช่คำตอบของทุกสมการในโจทย์ หรือทุกความหมายในปัญหาชีวิตที่กำลังเผชิญอยู่ บางทียิ่งคิดยิ่งพยายามเจาะลึกในเชิงเหตุผลตรรกะยิ่งไม่ออกแบบที่อัจฉริยะอย่าง Reed กำลังมืดบอด กลับกันพอใช้ใจช่วยมองแบบ Sue กลับได้ลองพบเจอ "คานงัด" สร้างทฎษฎีและแนวทางในมุมใหม่ๆ ก็อาจได้อะไรที่มาก
กว่า
คานงัดในที่นี้จึงไม่ใช่แค่อำนาจต่อรอง แต่มันคือ Soft Skills ที่สื่อถึงพลังครอบครัว ที่ต้องอาศัยการสื่อสารกันให้มาก ต้องมีความเข้าใจกันแม้ในวันที่ไม่เข้าใจเลย พร้อมหาทางแก้ที่ดีกว่าไปด้วยกัน ช่วยงัดโลกที่กำลังเปราะบางให้กลับมายืนหยัดดังเดิม พร้อมเสริมสายสัมพันธ์ครอบครัวให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม
อย่างตอนที่ Reed ยอมถอดหมวกยอดนักวิทยาศาสตร์ลง แล้วใช้ใจฟัง Sue แบบไม่ตัดสินใดๆ หรือตอนที่พักความยุ่งวุ่นวายมากมาย แล้วหาเวลาสร้างชุดอวกาศของทีมใหม่ตามที่ Johnny เคยขอมา ลองคิดอ่านในมุมของสามี พี่เขยที่เปรียบดั่งพี่ชาย เพื่อนสนิท และพ่อของลูกชายที่กำลังจะสร้างปรากฏการณ์เหนือพหุจักรวาล
“Fantastic Four: First Step” จึงไม่ใช่หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยิงแสงใส่กันให้หมดฟ้า แต่คือการพาเราย้อนกลับมามองบ้าน มองเพื่อน มองคนในชีวิต และตั้งคำถามใหม่ว่าเราดูแลคนใกล้ตัวได้ดีมากพอหรือยัง? ซึ่งหนังได้พาเราไปสำรวจ “First Step” หรือ “ก้าวแรก” ของสิ่งต่างๆ มากมาย
“First Step” ของชายอัจฉริยะที่ยอมปล่อยวาง และหันมาสร้างทักษะอื่นๆ เรียนรู้จากครอบครัวเพื่อเป็นผู้นำที่ดีและรอบด้านกว่าเดิม
“First Step” ของสาวล่องหน ที่ทำให้ผู้คนมองเห็นอะไรที่มากกว่าตัวเอง และการเติบโตจากฮีโร่ของโลก สู่ฮีโร่ของลูก
“First Step” ของมนุษย์จอมพลังผู้แข็งกร้าวแต่เขินอาย มาเป็นชายที่กล้ายอมเปิดใจกับคนใหม่ๆ อีกครา พร้อมเดินหน้าพุ่งชนเพื่อโลกและครอบครัวไม่ว่ายังไง
“First Step” จากน้องเล็กของทีมผู้มีหัวใจยิ่งใหญ่ ใช้เปลวไฟและใช้ใจเป็นเครื่องพิสูจน์จนพิชิตใจศัตรูสู่มิตรที่ดลบันดาลสันติสุขสู่จักรวาล
“First Step” แห่งตัวร้ายที่ยังคงหัวใจรัก ควบเซิร์ฟบอร์ดพุ่งทะยานทำตามหัวใจ กล้าต่อกรกับผู้เป็นนาย คืนความทรงจำและความเป็นมนุษย์ เสียสละทำสิ่งดีๆ สักที
“First Step” ของเด็กชายผู้ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของพหุจักรวาล สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ให้มาร์เวลต่อไป
เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นยอดนักวิทยาศาสตร์ แม่พระของลูกและของโลก เพื่อนซี้แสนอบอุ่น หรือน้องเล็กที่ใครก็ไม่คาดหวังแต่ก็สร้างจุดเปลี่ยนได้ในที่สุด ทำให้เห็นว่าทุกคนต่างมี “First Step” ของตัวเอง ก้าวที่อาจสั่นคลอนในตอนเริ่ม แต่สำคัญต่ออนาคตทั้งจักรวาล
และเมื่อทุกก้าวเล็กๆ ถูกก้าวไปพร้อมกัน นั่นแหละคือนิยามมใหม่ของคำว่า “Fantastic” อย่างแท้จริง,,,
โฆษณา