7 ส.ค. เวลา 02:43 • การเมือง

แนวคิด ประชานิยม (Populism): ความหมาย ลักษณะ และผลกระทบ

ประชานิยม (Populism) คือ แนวคิดและยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่มุ่งเน้นการสร้างความสนับสนุนจากประชาชนโดยตรง โดยอ้างว่าตนเป็นตัวแทนของ "ประชาชนคนธรรมดา" (the common people) ในการต่อสู้กับ "ชนชั้นนำ" (the elite) ที่ถูกมองว่าฉ้อฉล ไม่ใส่ใจ และเอาเปรียบประชาชนส่วนใหญ่
หัวใจสำคัญของประชานิยมไม่ใช่แค่นโยบายที่ให้ผลประโยชน์แก่ประชาชนในระยะสั้น (เช่น การลด แลก แจก แถม) แต่คือ การแบ่งแยกสังคมออกเป็นสองขั้วที่ขัดแย้งกันอย่างชัดเจน ได้แก่:
  • "ประชาชนผู้บริสุทธิ์" (The Pure People): คือกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ถูกมองว่าเป็นผู้รักชาติ ทำงานหนัก มีคุณธรรม แต่กลับถูกกดขี่และถูกละเลยจากผู้มีอำนาจ
  • "ชนชั้นนำผู้ฉ้อฉล" (The Corrupt Elite): คือกลุ่มคนส่วนน้อยที่กุมอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเห็นแก่ตัว ไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชน และมักจะรวมถึงนักการเมืองกระแสหลัก สื่อมวลชน นายทุนใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญและปัญญาชน
🎤 ลักษณะสำคัญของประชานิยม
นักรัฐศาสตร์ได้สรุปกลไกและลักษณะเด่นของประชานิยมไว้หลายประการ ดังนี้
  • การเชิดชู "เจตจำนงของปวงชน" (Will of the People): ผู้นำประชานิยมมักอ้างว่าตนเองเข้าใจและเป็นตัวแทนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรมสูงสุด และไม่ควรถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ สถาบัน หรือกระบวนการตรวจสอบใดๆ ของระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน
  • การมีผู้นำที่มีเสน่ห์ดึงดูด (Charismatic Leader): การเคลื่อนไหวแบบประชานิยมมักมีผู้นำที่โดดเด่น มีความสามารถในการพูดโน้มน้าวใจ สามารถสร้างสายสัมพันธ์โดยตรงกับมวลชน และนำเสนอภาพลักษณ์ว่าเป็น "คนนอก" ที่เข้ามาเพื่อต่อสู้กับระบบเดิมๆ
  • การต่อต้านสถาบันทางการเมืองเดิม (Anti-establishment): ประชานิยมมักโจมตีและสร้างความไม่ไว้วางใจต่อสถาบันทางการเมืองที่มีอยู่ เช่น รัฐสภา ระบบราชการ ศาล และสื่อมวลชน โดยมองว่าสถาบันเหล่านี้เป็นเครื่องมือของชนชั้นนำ
  • การใช้วาทกรรมแบ่งแยกและสร้างศัตรู: มีการสร้าง "คนอื่น" (The Other) ที่เป็นศัตรูร่วมกันของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ, นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม, ผู้อพยพ, หรือแม้แต่ประเทศมหาอำนาจ เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นในหมู่ผู้สนับสนุน
  • การเสนอนโยบายที่เข้าใจง่ายและให้ผลทันที: นโยบายประชานิยมมักจะเป็นนโยบายที่เรียบง่าย แก้ปัญหาแบบตรงไปตรงมา และให้ประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมในระยะสั้น ซึ่งอาจไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวอย่างรอบด้าน เช่น การอุดหนุนราคาพลังงาน, โครงการพักหนี้, การแจกเงินสด
👬 ประชานิยมในมิติต่างๆ
ประชานิยมสามารถปรากฏได้ทั้งในฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาของสเปกตรัมทางการเมือง
  • ประชานิยมฝ่ายซ้าย (Left-wing Populism): มักจะเน้นการต่อสู้กับชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ (เช่น นายทุน, บรรษัทข้ามชาติ) และเรียกร้องนโยบายที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เช่น การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ, การเก็บภาษีคนรวยในอัตราก้าวหน้า, การสร้างรัฐสวัสดิการที่ครอบคลุม
  • ประชานิยมฝ่ายขวา (Right-wing Populism): มักจะเน้นการต่อสู้กับภัยคุกคามทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาติ โดยมีเป้าหมายเป็นผู้อพยพ ชนกลุ่มน้อย หรืออิทธิพลจากต่างชาติ มักเชื่อมโยงกับแนวคิดชาตินิยม (Nationalism) และการอนุรักษ์ทางสังคม
👓 มุมมองและผลกระทบ
ในเชิงบวก 👍
  • กระตุ้นการมีส่วนร่วมทางการเมือง: ประชานิยมสามารถปลุกให้ประชาชนที่เคยรู้สึกว่าตนเองไม่มีเสียงในทางการเมือง (the voiceless) กลับมาสนใจและมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตยมากขึ้น
  • ท้าทายอำนาจที่ไม่เป็นธรรม: สามารถเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับกลุ่มอำนาจเดิมที่ผูกขาดและไม่ตอบสนองต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ได้
  • นำเสนอปัญหาที่ถูกละเลย: ผู้นำประชานิยมอาจหยิบยกประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่นักการเมืองกระแสหลักมองข้ามขึ้นมาเป็นวาระสำคัญ
ในเชิงลบ 👎
  • บ่อนทำลายประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน: การอ้าง "เจตจำนงของปวงชน" ที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ อาจนำไปสู่การละเลยหรือทำลายกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ (checks and balances) เช่น ศาล, องค์กรอิสระ, และสื่อมวลชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเสรีประชาธิปไตย
  • สร้างความแตกแยกในสังคม: การแบ่งประชาชนกับชนชั้นนำ และการสร้างศัตรูร่วมกัน ทำให้สังคมเกิดความแบ่งขั้วและเป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างรุนแรง
  • นำไปสู่นโยบายที่ไม่ยั่งยืน (Fiscal Irresponsibility): นโยบายที่มุ่งเน้นความพึงพอใจในระยะสั้น อาจสร้างภาระทางการคลังมหาศาลให้กับประเทศในระยะยาว และละเลยการปฏิรูปโครงสร้างที่จำเป็น
  • อาจนำไปสู่ระบอบอำนาจนิยม (Authoritarianism): เมื่อผู้นำประชานิยมที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมองว่าตนเองคือเสียงของประชาชน อาจนำไปสู่การรวบอำนาจ กดขี่ผู้เห็นต่าง และไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งหากพ่ายแพ้
ประชานิยมเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ซับซ้อน มันคือ "ดาบสองคม" ที่สามารถเป็นได้ทั้งเสียงสะท้อนของประชาธิปไตยที่ทำให้เสียงของคนธรรมดาดังขึ้น และในขณะเดียวกันก็อาจเป็นภัยคุกคามต่อสถาบันและคุณค่าของประชาธิปไตยได้เช่นกัน การพิจารณาจึงต้องมองให้ลึกกว่าแค่ตัวนโยบาย แต่ต้องวิเคราะห์ถึงวาทกรรม กลยุทธ์ และผลกระทบต่อโครงสร้างทางการเมืองและสังคมในระยะยาวด้วย
⛓️‍💥 ตัวอย่างประเทศที่ถูกมองว่า "ล้มเหลว" จากประชานิยม
กรณีที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของความล้มเหลว มักเป็นประเทศที่นโยบายประชานิยมนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจขั้นรุนแรง การบ่อนทำลายสถาบันประชาธิปไตย และความแตกแยกทางสังคม
🇻🇪 เวเนซุเอลา (ยุคอูโก ชาเบซ และ นิโกลัส มาดูโร)
ผู้นำและแนวทาง
  • อูโก ชาเบซ (ประชานิยมฝ่ายซ้าย) ขึ้นสู่อำนาจในปี 1999 ด้วยวาทกรรมต่อต้าน "ชนชั้นนำ" ที่ฉ้อฉล และสัญญาว่าจะนำรายได้จากน้ำมันมหาศาลมาแจกจ่ายให้คนจนผ่าน "การปฏิวัติโบลิบาร์"
นโยบายประชานิยม
  • โครงการสวัสดิการสังคมขนาดใหญ่ (Misiones): จัดตั้งโครงการให้การศึกษาฟรี, บริการสุขภาพฟรี, และให้เงินอุดหนุนอาหารและที่อยู่อาศัยแก่คนยากจน ซึ่งช่วยลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำได้ในระยะแรกที่ราคาน้ำมันสูง
  • การยึดกิจการเป็นของรัฐ (Nationalization): ยึดครองบริษัทเอกชนในอุตสาหกรรมสำคัญๆ เช่น น้ำมัน, พลังงาน, สื่อสาร และธนาคาร มาเป็นของรัฐ
  • การควบคุมราคาและค่าเงิน: กำหนดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเข้มงวด
ผลลัพธ์ของความล้มเหลว
  • วิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง (Economic Collapse): เมื่อราคาน้ำมันตกต่ำ รัฐบาลขาดรายได้มหาศาลเพื่ออุ้มนโยบายประชานิยม การผลิตในประเทศล่มสลายจากการยึดกิจการและการควบคุมราคา นำไปสู่ภาวะ เงินเฟ้อมหาศาล (Hyperinflation) ขาดแคลนสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างรุนแรง (อาหาร, ยา) และเศรษฐกิจถดถอยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในยามสงบ
  • การทำลายประชาธิปไตย: ชาเบซและมาดูโรแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรวบอำนาจไว้ที่ฝ่ายบริหาร ควบคุมศาล กองทัพ และองค์กรอิสระ ปราบปรามสื่อและฝ่ายค้านอย่างหนัก
  • วิกฤตผู้อพยพ: ประชาชนกว่า 7.7 ล้านคน (ข้อมูลปี 2024) ต้องอพยพออกนอกประเทศเพื่อหนีจากความยากจนและความรุนแรง
🇦🇷 อาร์เจนตินา (ยุคเปรอนิสต์ และ คริสตินา เคิร์ชเนอร์)
ผู้นำและแนวทาง
  • อาร์เจนตินามีประวัติศาสตร์ประชานิยมที่ยาวนาน โดยเฉพาะลัทธิเปรอนิสต์ (Peronism) ที่ก่อตั้งโดย ฮวน เปรอน ในช่วงทศวรรษ 1940 และถูกนำมาใช้โดยผู้นำยุคหลังอย่าง เนสตอร์และคริสตินา เคิร์ชเนอร์ (ประชานิยมฝ่ายซ้าย)
นโยบายประชานิยม
  • นโยบายอุดหนุนและควบคุมราคา: ให้เงินอุดหนุนค่าพลังงาน (ไฟฟ้า, ก๊าซ), ค่าเดินทาง และควบคุมราคาสินค้าหลายชนิด
  • เพิ่มค่าจ้างและสวัสดิการ: เพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำและผลประโยชน์ให้แก่แรงงานผ่านสหภาพแรงงานที่แข็งแกร่ง
  • ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ: กีดกันการนำเข้าและยึดกองทุนบำนาญเอกชนมาเป็นของรัฐ
ผลลัพธ์ของความล้มเหลว
  • วัฏจักรวิกฤตเศรษฐกิจ: นโยบายเหล่านี้สร้างภาระทางการคลังมหาศาล เมื่อรัฐบาลพิมพ์เงินเพื่อนำมาใช้จ่ายจึงนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อเรื้อรังและสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก, การผิดนัดชำระหนี้, และค่าเงินเปโซที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
  • การขาดดุลงบประมาณอย่างหนัก: การใช้จ่ายเกินตัวทำให้ประเทศขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่องและต้องกู้ยืมเงินจำนวนมากจาก IMF
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ: นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นเนื่องจากนโยบายที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ทำให้การลงทุนจากต่างชาติลดลง
🔅ตัวอย่างประเทศที่ถูกมองว่า "ประสบความสำเร็จ" (ในบางมิติ)
การหาตัวอย่างความสำเร็จที่ "สมบูรณ์แบบ" นั้นทำได้ยาก เพราะมักมีผลกระทบด้านลบอื่นๆ ตามมาเสมอ อย่างไรก็ตาม บางประเทศถูกมองว่าประสบความสำเร็จในแง่ของการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง หรือการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ แม้จะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ก็ตาม
🇵🇱โปแลนด์ (พรรค Law and Justice - PiS)
ผู้นำและแนวทางพรรค
  • Law and Justice (PiS) เป็นพรรคประชานิยมฝ่ายขวา ชาตินิยม และอนุรักษ์นิยมทางสังคม ซึ่งครองอำนาจเป็นส่วนใหญ่ในช่วงปี 2015-2023
นโยบายประชานิยม
  • โครงการ "Family 500+": ให้เงินสนับสนุนรายเดือนแก่ครอบครัวสำหรับบุตรคนที่สองเป็นต้นไป (ต่อมาขยายครอบคลุมบุตรทุกคน) เพื่อแก้ปัญหาอัตราการเกิดต่ำและช่วยเหลือครอบครัวที่มีรายได้น้อย
  • ลดอายุเกษียณ: สวนกระแสโลกด้วยการลดอายุเกษียณลง
  • วาทกรรมชาตินิยม: ต่อต้านผู้อพยพ โดยเฉพาะชาวมุสลิม และวิพากษ์วิจารณ์สหภาพยุโรป (EU) ว่าเข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน
ผลลัพธ์ที่มองว่า "สำเร็จ" (ในมุมของผู้สนับสนุน)
  • ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย: นโยบายเหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชนในพื้นที่ชนบทและเมืองเล็ก ทำให้พรรค PiS ชนะการเลือกตั้งและครองอำนาจได้อย่างยาวนาน
  • ลดความยากจนในกลุ่มครอบครัวที่มีเด็ก: โครงการ 500+ ได้รับการยอมรับว่าช่วยลดความยากจนในเด็กและเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • เศรษฐกิจยังคงเติบโต: ในช่วงที่ PiS ครองอำนาจ เศรษฐกิจของโปแลนด์ยังคงเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง
ด้านที่ถูกวิจารณ์ (ความล้มเหลวในอีกมิติ)
  • บ่อนทำลายหลักนิติธรรม: ถูก EU และองค์กรสิทธิมนุษยชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าแทรกแซงความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการและควบคุมสื่อสาธารณะ
  • สร้างความแตกแยก: ทำให้สังคมโปแลนด์แบ่งขั้วอย่างรุนแรงระหว่างฝ่ายเสรีนิยมในเมืองใหญ่กับฝ่ายอนุรักษ์นิยมในชนบท
🇺🇸 สหรัฐอเมริกา (ยุคโดนัลด์ ทรัมป์)
ผู้นำและแนวทาง
  • โดนัลด์ ทรัมป์ (ประชานิยมฝ่ายขวา) ชนะการเลือกตั้งปี 2016 ด้วยแคมเปญ "Make America Great Again" ที่มุ่งโจมตี "ชนชั้นนำ" ในวอชิงตัน, สื่อกระแสหลัก, และผลกระทบของโลกาภิวัตน์
นโยบายประชานิยม
  • นโยบายกีดกันทางการค้า: ตั้งกำแพงภาษีกับจีนและประเทศคู่ค้าอื่นๆ โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมและแรงงานอเมริกัน
  • นโยบายต่อต้านผู้อพยพ: มีนโยบายที่เข้มงวดต่อการเข้าเมือง และเสนอสร้างกำแพงชายแดนเม็กซิโก
  • การลดภาษี: ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาครั้งใหญ่
ผลลัพธ์ที่มองว่า "สำเร็จ" (ในมุมของผู้สนับสนุน)
  • สร้างฐานเสียงที่แข็งแกร่ง: ทรัมป์สามารถปลุกระดมและสร้างฐานผู้สนับสนุนที่จงรักภักดีได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมืองของพรรครีพับลิกันไปอย่างสิ้นเชิง
  • เศรษฐกิจดีในช่วงก่อนโควิด: อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายสิบปี และตลาดหุ้นเติบโตได้ดี
ด้านที่ถูกวิจารณ์ (ความล้มเหลวในอีกมิติ)
  • สร้างความแตกแยกในสังคม: วาทกรรมของทรัมป์ถูกมองว่าทำให้ความขัดแย้งทางเชื้อชาติและอุดมการณ์ในสังคมอเมริกันรุนแรงขึ้น
  • ทำลายบรรทัดฐานประชาธิปไตย: การโจมตีสื่อ, การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง, และการตั้งคำถามต่อสถาบันประชาธิปไตย ถูกมองว่าเป็นอันตรายต่อระบอบการปกครอง
โดยสรุป ความล้มเหลวของประชานิยมมักปรากฏในรูปของวิกฤตเศรษฐกิจมหภาคและการพังทลายของประชาธิปไตย ในขณะที่ความสำเร็จมักเป็นความสำเร็จในทางการเมือง (การชนะเลือกตั้ง) หรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้คนกลุ่มใหญ่ได้ชั่วคราว แต่ก็มักต้องแลกมาด้วยความแตกแยกทางสังคมและการบ่อนทำลายสถาบันในระยะยาว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา