7 ส.ค. เวลา 09:54 • ประวัติศาสตร์

ความฝันในหอแดง 15 เจียวต้าผู้รู้มาก

十二花容色最新,不知谁是惜花人。
相逢若问名何氏,家住江南姓本秦。
ไฉไลยิ่งในสิบสองผองผกา
มิรู้ว่าผู้ใดกันถนอมบุปผา
พอพานพบหากถามไถ่ถึงนามา
บ้านข้าอยู่เจียงหนานสกุลฉิน
พอถึงเวลาตามตะเกียง พี่เฟิ่ง 凤姐 ล้างเครื่องสำอางแล้วมาหาหวางฮูหยิน 王夫人 รายงานว่า
“วันนี้ ทางบ้านเจิน 甄家 ส่งของมา ข้าจึงรับเอาไว้ สำหรับของที่ทางเราจะให้ตอบแทนกลับไปนั้น จะใช้ของสดที่ส่งทางเรือเข้ามาสำหรับปีใหม่ มอบให้พวกเขากลับไป”
หวางฮูหยินผงกศีรษะรับทราบ พี่เฟิ่งกล่าวต่อว่า
“ของขวัญวันเกิดสำหรับเหล่าไท่ไท่ของท่านลุงหลินอัน 临安伯 จัดไว้พร้อมแล้ว มิทราบไท่ไท่จะให้ผู้ใดนำของไปส่ง”
หวางฮูหยินว่า “เจ้าก็ดูว่ามีใครว่างบ้าง ให้เป็นสาวใช้สี่คนไปส่งก็ได้แล้ว ไม่ต้องมาถามข้า”
พี่เฟิ่งว่า “วันนี้ บุตรชายท่านพี่สะใภ้ใหญ่มาเชิญข้าข้ามไปวันพรุ่งนี้ ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้ท่านมีกิจธุระอันใดหรือไม่”
หวางฮูหยินว่า “มีธุระหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหา ทุกครั้งที่เชิญ มักจะเชิญพวกเรา เจ้าก็อาจจะไม่สะดวกใจบ้าง แต่ครั้งนี้เขาเจาะจงเชิญแต่เจ้าไม่ใช่พวกเรา เจ้าก็ควรต้องไปสักครั้งไม่ให้เสียน้ำใจ”
พี่เฟิ่งจึงรับคำ หลี่หวานกับพวกทั่นชุนพี่น้องมาคารวะรอบเย็นเสร็จพอดี จึงต่างแยกย้ายกันกลับ
วันรุ่งขึ้น พี่เฟิ่งล้างหน้าแต่งตัวแล้ว มาคารวะหวางฮูหยินรอบเช้าเสร็จ ก็มาคารวะบอกลาแม่เฒ่าจี่ย เป่าวี่รู้เข้า ก็ขอติดข้ามมาเที่ยวด้วย พี่เฟิ่งรับปาก พอผัดเครื่องแต่งตัวเสร็จ ทั้งคู่ก็ขึ้นรถข้ามมายังจวนหนิง
นางอิ๋วสื้อ 尤氏 ภรรยาของเจี่ยเจิน 贾珍 และนางฉินสื้อ 秦氏 ภรรยาของเจี่ยหยง 贾蓉 นำเหล่าแม่บ้านและสาวใช้มารอรับที่ประตู นางอิ๋วสื้อพอเห็นพี่เฟิ่งก็กระเซ้าทักทาย แล้วมาจูงมือเป่าวี่พาไปยังห้องรับแขก นางฉินสื้อให้จัดน้ำชามารับรอง พี่เฟิ่งจึงถามว่า
“พวกท่านเชิญข้ามามีเรื่องอันใด หากมีของจะมอบให้ ก็นำออกมาได้เลย ข้ายังมีงานต้องทำ”
นางอิ๋วสื้อยังไม่ทันตอบ เหล่าแม่บ้านชิงหัวเราะแล้วว่า
“คุณนายรองวันนี้ไม่มาก็แล้วไป แต่ในเมื่อมาแล้วก็คงว่าตามสะดวกท่านไม่ได้หรอก”
ระหว่างนั้น เจี่ยหยงก็เข้ามาคารวะ เป่าวี่จึงถามว่า
“พี่ใหญ่วันนี้อยู่บ้านไหม”
นางอิ๋วสื้อว่า “วันนี้เข้าเมืองไปคารวะท่านปู่” แล้วว่า “ถ้าท่านเบื่อ จะนั่งอยู่นี่ทำไม ไม่ออกไปเดินเล่นเล่า”
นางฉินสื้อหัวเราะว่า “เที่ยวก่อนอารองเป่า 宝二叔 อยากพบน้องชายข้า วันนี้ก็ช่างบังเอิญ เขาอยู่ที่ห้องหนังสือ น่าจะไปหากัน”
เป่าวี่ตั้งท่าจะออกไปหา นางอิ๋วสื้อสั่งคนคอยตามดูแล แต่พี่เฟิ่งว่า
“เช่นนั้น ทำไมไม่เชิญมาพบข้าสักหน่อยเล่า”
นางอิ๋วสื้อหัวเราะว่า “อย่าเลย ไม่ต้องพบหรอก เด็กคนนี้เล่นรุนแรงจนเคยตัว ไม่เรียบร้อยเหมือนเด็กอื่น หากมาเจอคนปากร้ายอย่างท่าน คงถูกแขวะจนกลายเป็นตัวตลก”
พี่เฟิ่งหัวเราะว่า “ข้าไม่แขวะเขาก็แล้วกัน แล้วเขาจะแขวะข้าไหมเล่า”
เจี่ยหยงว่า “เขาเป็นเด็กขี้อาย ไม่ประสีประสา ท่านอาหญิงเห็นแล้ว อาจไม่สบอารมณ์”
พี่เฟิ่งถ่มน้ำลายว่า “เหลวไหล ต่อให้เป็นนาจา ข้าก็ต้องขอเห็นหน้า เลิกผายลมแล้วพามาพบข้า มิเช่นนั้น ข้าจะตบปากเจ้า”
เจี่ยหยงหลบสายตาหัวเราะว่า “ข้าไปพามาพบก็แล้วกัน”
พี่เฟิ่งหัวเราะ
หายออกไปสักพัก ก็พาเด็กหนุ่มกลับมาคนหนึ่ง รูปร่างผอมกว่าเป่าวี่เล็กน้อย หน้าขาวปากแดง หน้าตาดีมีเสน่ห์ ท่าทางกรุ้มกริ่ม อายุมากกว่าเป่าวี่ คารวะทักทายพี่เฟิ่งอย่างเหนียมอายคล้ายสตรี พี่เฟิ่งผลักเป่าวี่แล้วหัวเราะว่า “เข้าไปยืนเทียบดู”
จากนั้นก็ก้มคว้ามือเด็กให้มานั่งข้างตัว ค่อยๆ ซักถามอายุ การเล่าเรียน จนรู้ว่ามีชื่อนักเรียนว่า ฉินจง 秦钟
เหล่าแม่บ้านและสาวใช้ผู้ติดตามพี่เฟิ่งเห็นพี่เฟิ่งเพิ่งพบกับฉินจงเป็นครั้งแรกแต่ไม่ได้เตรียมของขวัญแรกพบมา จึงรีบข้ามกลับไปแจ้งแก่ผิงเอ๋อ 平儿 ผิงเอ๋อรู้ว่าพี่เฟิ่งนั้นสนิทกับนางฉินสื้อมาก จึงจัดเป็นผ้าตัดเสื้ออย่างดีหนึ่งพับ ทองแท่งสลักลาย “สอบได้จอหงวน 状元及第” ขนาดเล็กสองแท่ง ส่งมาให้
พี่เฟิ่งมอบให้ฉินจงพร้อมกล่าวว่าเป็นของขวัญด้อยค่า ทางฝ่ายนางฉินสื้อกล่าวขอบคุณ แล้วจัดเลี้ยงอาหาร หลังอาหารนางอิ๋วสื้อ พี่เฟิ่ง และนางฉินสื้อจัดโต๊ะเล่นไพ่กระดูก 骨牌 (เล่นคล้ายโดมิโน)
เป่าวี่ ฉินจง จึงนั่งคุยเล่นกันสองคน เป่าวี่ได้พบหน้าฉินจง ก็รู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรบางอย่างหายไป นั่งอี้งอยู่ครึ่งวัน ในใจเกิดความคิดอันโง่เขลาตรึกตรองว่า
“ใต้หล้ายังมีคนประเภทนี้ด้วยหรือ ดูไปแล้ว ตัวข้านี้กลายเป็นหมาขี้เรื้อนหมูสกปรก 泥猪癞狗 ไปเลย ต้องโทษที่ข้าเกิดมาในจวนท้าวพระยา หากเกิดในบ้านขุนนางบัณฑิตยากเข็ญ คงได้รู้จักเขาผู้นี้นานแล้ว ไม่ต้องมาเสียดายชีวิตที่ผ่านไปอย่างสูญเปล่า
แม้ข้าจะเกิดมาสูงศักดิ์กว่าเขา แต่อาภรณ์แพรพรรณก็เพียงห่อหุ้มร่างอันผุกร่อนของข้านี้ สุราอาหารชั้นดีก็เพียงเติมเต็มร่องระบายสิ่งปฏิกูลจากกายข้า
“ลาภยศ” สองคำนี้นำพาความทุกข์ยากทั้งปวงสู่มวลมนุษย์”
ฉินจงพอได้พบหน้าเป่าวี่ ก็เห็นว่ามีบุคลิกโดดเด่น กิริยาผิดแผกจากสามัญ เสื้อผ้ามงกุฏทอง มีบริวารหน้าตาดีแวดล้อม
“มิน่าเล่า พี่สาวข้าถึงได้เอ่ยชมมิขาดปาก ตัวข้าเกิดมาในบ้านอันซอมซ่อ หากได้มีโอกาสรู้จักคบหา ก็นับว่ามีวาสนา”
ทั้งสองตรึกตรองเพ้อเจ้อเพียงพอกัน
เป่าวี่ถามว่ากำลังศึกษาตำราใด ฉินจงก็ตอบไปตามตรง สองคนท่านถามข้าตอบ ผ่านไปสิบกว่าคำ ยิ่งเพิ่มความสนิทสนม
พอได้เวลาน้ำชา มีคนยกน้ำชาและผลไม้มาให้ เป่าวี่บอกทุกคนว่า
“พวกเราสองคนไม่ดื่มสุรา จะเอาผลไม้ไปผิงกินข้างใน ไม่รบกวนพวกท่าน”
ทั้งสองจึงแยกไปดื่มน้ำชากันในห้องด้านใน
นางฉินสื้อจัดโต๊ะสุราและผลไม้ให้พี่เฟิ่งแล้ว รีบตามเข้ามาบอกเป่าวี่ว่า
“อารองเป่า หลานท่านยังเด็กนัก หากพูดจาไม่สำรวม โปรดเห็นแก่ข้า อย่าได้ถือสา ถึงเขาจะดูขี้อาย แต่อารมณ์ร้ายไม่เบา”
เป่าวี่หัวเราะว่า “ท่านออกไปเถิด ข้ารู้แล้ว”
นางฉินสื้อกำชับน้องชายอีกคำ จึงกลับออกไปร่วมโต๊ะกับพี่เฟิ่ง
สักพักพี่เฟิ่งกับนางอิ๋วสื้อก็ให้คนมาถามเป่าวี่ว่า
“ต้องการกินอะไรอีกไหม ขอให้สั่ง”
เป่าวี่ตอบรับ แต่ไม่นึกอยากกินอะไรอีก สนใจแต่ไต่ถามเรื่องทางบ้านของฉินจงในระหว่างนี้
ฉินจงเล่าว่า “คุณครูที่สอนหนังสือให้เกษียณไปตั้งแต่ปีกลาย แต่บิดาทางบ้านชราแล้วมีโรคประจำตัว อีกทั้งมีงานราชการมาก จึงยังไม่มึเวลาหาคุณครูคนใหม่ให้ ตอนนี้จึงได้แต่อยู่บ้านทบทวนบทเรียนเก่าๆ อีกทั้งเรื่องการเรียน ควรต้องมีเพื่อนร่วมเรียนสองสามคน ถกตำราด้วยกัน การเรียนจึงก้าวหน้า”
เป่าวี่ไม่รอให้กล่าวจบ ก็แทรกว่า “ใช่แล้ว พวกเรามีโรงเรียนของครอบครัว 家塾 คนในตระกูลที่หาครูมาสอนเองไม่ได้สามารถมาเข้าโรงเรียนได้ รวมถึงพี่น้องลูกหลานของเครือญาติของเราด้วย
ตัวข้าเองมีครูส่วนตัวแต่ลากลับบ้านไปเมื่อปีกลาย ตอนนี้ข้าจึงอยู่ว่างเสียเวลาเปล่า ท่านพ่อจะให้ข้าไปเข้าโรงเรียนนี้ชั่วคราวทบทวนบทเรียนเก่า ระหว่างรอครูกลับมาปีหน้า ค่อยกลับมาเรียนต่อที่บ้าน แต่ท่านย่าเห็นว่า ข้อหนึ่ง ลูกหลานที่ไปเข้าโรงเรียนมีมากเกินไป กลัวจะพาซุกซนจนเหลวไหล ข้อสอง ข้าป่วยเสียหลายวัน จึงให้พักจนหายดีเสียก่อน
ถ้าหากว่าท่านพ่อของเจ้ายังกังวลเรื่องนี้อยู่ เย็นนี้เจ้าก็กลับไปเรียนให้ท่านทราบ แล้วมาเรียนที่โรงเรียนของเรา ข้าก็จะไปเข้าเรียนด้วย ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ดีหรือไม่”
ฉินจงยิ้มว่า “วันก่อนท่านพ่อพูดถึงเรื่องหาครูอยู่ ยังเปรยถึงโรงเรียนของครอบครัวนี้ เดิมทีก็คิดจะมาปรึกษากับนายท่าน แต่เห็นว่าท่านมีกิจธุระมาก อาจไม่สะดวกคุยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หากท่านอารองคิดว่าผู้หลานพอจะช่วยฝนหมึกล้างแท่นหมึกได้บ้าง ไยไม่ช่วยเป็นธุระให้ จะได้ไม่เสียเวลากันไปเปล่า ได้ร่วมศึกษา สิ้นกังวลของพวกท่านพ่อและแม่ และผูกพันมิตรภาพให้แน่นแฟ้นขึ้น ล้วนมีแต่ผลดี”
เป่าวี่ว่า “วางใจได้ พวกเรากลับเข้าไปบอกพี่เขยของเจ้า พี่สาวและอาหญิงรองเหลียนกัน วันนี้กลับถึงบ้าน เจ้าก็ไปเรียนท่านพ่อ ข้าก็จะไปเรียนท่านย่า มีหรือจะไม่เรียบร้อย”
ทั้งสองตกลงกันเป็นมั่นเหมาะ ก็ได้เวลาตามตะเกียง พอออกมาก็เห็นพวกนั้นเล่นไพ่จบไปอีกรอบ คิดบัญชีขึ้นมา นางฉินสื้อ นางอิ๋วสื้อเป็นฝ่ายเสียต้องจ่ายค่าอาหารและค่าชมอุปรากร จึงนัดแนะกันถึงวันไปชมอุปรากร แล้วจึงร่วมกินอาหารเย็น
ฟ้าค่ำแล้ว นางอิ๋วสื้อว่า “จัดคนไปส่งน้องฉินสองคน”
เหล่าแม่บ้านออกไปจัดการสักพักใหญ่ ฉินจงก็ขอตัวกลับ นางอิ๋วสื้อถามว่า
“ตกลงให้ใครไปส่ง”
เหล่าแม่บ้านว่า “บอกให้เจียวต้า 焦大 ไป เจียวต้าก็กลับมาเมาเสียนี่ จึงตำหนิไป”
นางฉินสื้อ นางอิ๋วสื้อต่างว่า “แล้วจะให้เขาไปทำไม หมอนั่นใช้อะไรไม่ได้แล้ว ไปตอแยเขาอีก”
พี่เฟิ่งว่า “ข้าถึงว่า ท่านอ่อนแอเกินไป ปล่อยให้บ้านเป็นเช่นนี้ มันใช้ไม่ได้”
นางอิ๋วสื้อว่า “ท่านก็รู้จักเจียวต้าดี แม้แต่นายท่านก็ไม่สนใจเขา พี่ใหญ่เจินของท่านก็ไม่สนใจ ตอนยังหนุ่มออกรบร่วมกับท่านปู่สามสี่ครั้ง แบกท่านปู่ออกมาจากกองซากศพ ท่านปู่จึงรอดมาได้ ตัวเองยอมอดตาย ขโมยของมาให้นายกิน อดน้ำสองวัน ได้น้ำมาครึ่งชาม ก็ให้นายดื่ม ส่วนตัวเองดื่มเยี่ยวม้า บุญคุณปานฉะนี้ ตราบใดที่พวกท่านผู้อาวุโสยังอยู่ ก็ยกให้เขาคนหนึ่งละ ใครกล้าไปทำอะไร
นี่ก็แก่แล้ว ยิ่งไม่รักษาหน้าตัวเอง พอมีเหล้าดี ก็เมาจนคนก่นด่าทั่ว ข้าเคยบอกพวกพ่อบ้านไว้ว่า ไม่ต้องไปใช้งานอะไรเขา ให้ถือเสียว่าตายไปแล้ว วันนี้ยังไปใช้เขาอีก”
พี่เฟิ่งว่า “ทำไมข้าจะไม่รู้จักเจียวต้าผู้นี้ เรื่องของเรื่องคือพวกท่านไม่รู้วิธีรับมือ ทำไมไม่ส่งเขาไปคฤหาสน์ชนบทไกลหูไกลตาเสียสิ้นเรื่อง”
แล้วถามต่อว่า
“แล้วรถของพวกเรา เตรียมพร้อมหรือยัง”
เหล่าแม่บ้านว่า “เตรียมไว้พร้อมแล้ว”
พี่เฟิ่งลุกขึ้นกล่าวลา แล้วจูงมือเป่าวี่ออกมา พวกนางอิ๋วสื้อตามออกมาส่งหน้าโถง แสงตะเกียงสว่างไสว พวกบ่าวยืนรอกันบนขั้นบันไดแดง เจียวต้าอาศัยว่าเจี่ยเจินไม่อยู่บ้าน ดื่มจนเมาเต็มคราบ ยืนด่าไล่เอ้อ 赖二 หัวหน้าพ่อบ้านว่า
“ไม่ยุติธรรม รังแกคนอ่อนแอ งานสบายใช้คนอื่น ค่ำมืดดึกดื่นมาใช้งานข้า ต่ำช้าไม่รู้คุณคนยังมีหน้ามาเป็นพ่อบ้าน คิดดู เจ้าพ่อเจียวต้าแค่ยกขาก็ข้ามหัวพวกแกหมดแล้ว ยี่สิบปีที่แล้วเจ้าพ่อเจียวต้าไม่เห็นใครอยู่ในสายตา อย่าว่าแต่พวกลูกพันทางอย่างเจ้า”
รถของพี่เฟิ่งมารอรับแล้ว เจียวต้ายังด่าติดลมไม่ยอมหยุด ใครตวาดห้ามก็ไม่ฟัง เจี่ยหยงอดรนทนไม่ได้ ตะโกนสั่งว่า
“จับมัดไว้ รอพรุ่งนี้สร่างเมาแล้ว ค่อยถามว่าอยากตายหรือไง”
เจียวต้ากลับไม่เห็นเจี่ยหยงอยู่ในสายตา ตะโกนด่าสวนมาว่า
“หยงเกอ อย่ามาวางมาดเจ้านายต่อหน้าเจียวต้า อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้พ่อหรือปู่ของเจ้า ก็ไม่กล้ามายืนเต๊ะท้าวสะเอวใส่เจียวต้า ไม่ได้เจียวต้าคนนี้ พวกเจ้าจะมียศถาบรรดาศักดิ์ มีสมบัติพัสถานมาเสพสุขอย่างนี้หรือ โคตรเหง้าเจ้าตายไปเก้าชีวิตเหลือชีวิตเดียวสร้างมันขึ้นมาใหม่ ตอนนี้เจ้าไม่แทนคุณข้า กลับมาวางมาดเจ้านาย อย่ามาพูดมาก ขืนพูดอีกเจอมีดเข้าไปสีแดง แทงออกมาสีขาว” (ภาษาคนเมา พูดกลับตาลปัตร)
พี่เฟิ่งขึ้นรถแล้วกล่าวกับเจี่ยหยงว่า
“ยังไม่รีบจัดการกับคนไม่มีขื่อแป ปล่อยเอาไว้ มีแต่เภทภัย รู้ไปถึงไหน มีแต่คนเย้ยหยัน”
เจี่ยหยงรับคำว่า “ใช่”
พวกบ่าวเห็นเจียวต้าชักไปกันใหญ่ จึงกรูกันเข้าจับมัดแล้วลากตัวไปไว้ที่คอกม้า เจียวต้าตะโกนด่าเปิง ลำเลิกไปถึงเจี่ยเจิน 贾珍 ว่า
“ข้าจะไปร้องที่ศาลบรรพชนฟ้องนายท่าน ลูกหลานทุกวันนี้มีแต่เดรัจฉาน วันวันสำส่อนน่าอดสู 偷狗戏鸡 พ่อผัวล่อสะใภ้ 爬灰 (ผาฮุย) เมียเลี้ยงอาน้อย 养小叔子 ข้ารู้หมดทุกอย่าง แขนขาขาดแล้วเอาไปซ่อนในแขนเสื้อ 胳膊折了往袖子里藏 มันไม่มิด”
(ภรรยาเรียกน้องชายสามีว่า “อา 叔”)
พวกบ่าวได้ฟังก็ตกใจ จับมัดไว้แล้วเอาขี้ม้ายัดเต็มปาก พี่เฟิ่งกับเจี่ยหยงได้ยินแต่ทำหูทวนลม เป่าวี่ได้ยินก็ถามพี่เฟิ่งว่า
“พี่ ข้าได้ยินเขาตะโกนว่า ผาฮุย ผาฮุย 爬灰的爬灰 คืออะไร”
พี่เฟิ่งรีบเอ็ดว่า “อย่าพูดเหลวไหล นั่นคำพูดคนเมา เจ้าเป็นคนชั้นไหน ไม่พูดไม่เคยได้ยิน หากยังถามอีก รอข้าฟ้องไท่ไท่ท่านแม่เจ้า ดูว่าจะโดนตบปากไหม”
เป่าวี่ตกใจรีบบอกว่า “พี่แสนดี ข้าไม่กล้าพูดแล้ว”
พี่เฟิ่งปลอบว่า “น้องรัก ต้องอย่างนี้สิ เดี๋ยวเราไปหาเหล่าไท่ไท่ จัดการเรื่องให้เจ้าไปเรียนที่โรงเรียนครอบครัว เชิญฉินจงมาเข้าเรียนด้วยกันดีกว่า”
แล้วก็พากันกลับมายังจวนหยง
(จบบทที่เจ็ด)
ตอนก่อนหน้า : ยาเม็ดหอมเย็น
ตอนถัดไป : ทองเคียงหยก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา