8 ส.ค. เวลา 06:45 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

GPT-5 มัดรวมทุกโมเดล จาก OpenAI 😎

คุณเคยสงสัยไหมว่า AI ที่เราใช้กันทุกวันนี้จะพัฒนาไปถึงจุดไหนได้บ้าง? 🤔 เมื่อไหร่ที่เราจะไม่ต้องคิดว่าจะเลือกใช้ AI ตัวไหนดี เพราะมันจะรู้เองว่าเราต้องการอะไร? คำตอบอาจจะอยู่ในสิ่งที่ OpenAI เพิ่งเปิดตัวไป นั่นก็คือ GPT-5 ที่อาจจะเปลี่ยนวิธีที่เราใช้ AI ไปตลอดกันเลย! อาจเป็นมาตรฐานใหม่ในการสร้าง LLM 🚀
ChatGPT-5 ในมือถือ ลองใช้กันได้แล้ว แต่ ใน brower ยังไม่เห็นนะครับ คงรอสักพัก
ChatGPT-5 ใน iPhone App
ลองนึกภาพดูสิ เวลาที่เราต้องการให้ AI ช่วยเขียนโค้ด บางครั้งเราอยากให้มันทำเร็วๆ บางครั้งอยากให้มันคิดลึกๆ ก่อนตอบ แต่ด้วย GPT-5 เราไม่ต้องเลือกเองแล้ว เพราะมันมี "Real-Time Router" ที่จะคิดแทนเราว่าควรใช้โหมดไหน
เหมือนกับมีเลขาส่วนตัวที่รู้ใจเราจริงๆ ถ้าเราถามเรื่องง่ายๆ มันจะตอบเร็วๆ แต่ถ้าเราถามโจทย์ซับซ้อน มันจะเข้าโหมด reasoning ให้เอง ต่างจากรุ่นก่อนๆ ที่เราต้องไปเลือกว่าจะใช้ GPT-4 หรือ o1 หรือ o3 เอง ว่าจะใช่ reasoning หรือ non-reasoning
ถ้าพูดถึงเรื่องการคิดและการแก้ปัญหา GPT-5 ก้าวกระโดดไปอีกขั้นเลย! 🧠 มันสามารถทำ Chain-of-Thought Processing ได้ยอดเยี่ยม หมายความว่าถ้าเราให้มันแก้โจทย์คณิตศาสตร์ยากๆ หรือโจทย์วิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอก มันจะแบ่งการคิดเป็นขั้นตอนย่อยๆ
เหมือนกับครูที่สอนดีที่สุดที่เราเคยเจอ ที่สามารถอธิบายเหตุผลทีละขั้นตอนจนเราเข้าใจ ผลการทดสอบก็พิสูจน์ได้ GPT-5 ทำข้อสอบวิทยาศาสตร์ระดับปริญญาเอกได้ถึง 89.4% ซึ่งเก่งกว่า o3 อีกด้วย
สำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม GPT-5 นี่คือเกมเชนเจอร์จริงๆ! 💻 มันไม่ได้แค่เขียนโค้ดธรรมดา แต่สามารถทำงาน "agentic coding" ได้ หมายความว่ามันสามารถจัดการโปรเจคใหญ่ๆ ที่มีไฟล์เยอะแยะ หาบั๊กให้ และแก้ไขได้เหมือนโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ
เมื่อทดสอบกับงานจริงๆ พบว่า GPT-5 ทำได้ดีกว่า Claude Sonnet 4 ในงานพัฒนา front-end และได้คะแนน 74.9% ใน SWE-bench Verified ซึ่งเป็นการทดสอบที่ยากมากสำหรับ AI
นอกจากจะเก่งเรื่องข้อความแล้ว GPT-5 ยังจัดการกับรูปภาพ เสียง และอาจจะรวมถึงวิดีโอได้อีกด้วย 🎭 ที่สำคัญคือมันรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันได้อย่างลื่นไหล ไม่เหมือนรุ่นก่อนๆ ที่ต้องมีโมเดลแยกกัน (เสียเวลา เวลาเลือกผิด โดยเฉพาะเวลารีบๆ)
ลองคิดดูสิ เราส่งรูปของวงจรไฟฟ้าไป แล้วถามเสียงว่า "อธิบายให้ฟังหน่อยว่าวงจรนี้ทำงานยังไง" GPT-5 จะสามารถเข้าใจทั้งรูปภาพและเสียงของเรา แล้วตอบกลับมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับคุยกับเพื่อนที่เก่งจริงๆ
สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคืออัตราการ "หลอน" หรือ hallucination ของ GPT-5 ลดลงไปมาก! 🎯 มันมีอัตราผิดพลาดแค่ 1.6% เมื่อเทียบกับ GPT-4o ที่ 12.9% และ o3 ที่ 15.8% หมายความว่าเราไว้ใจคำตอบของมันได้มากขึ้น
โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพ GPT-5 จะเตือนเราเองถ้าเห็นว่าคำถามที่เราถามอาจจะต้องไปปรึกษาหมอ แทนที่จะแต่งคำตอบมาให้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันฉลาดขึ้นและระมัดระวังมากขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้า GPT-5 นี่เหมือนกับอัพเกรดจาก Nokia 3310 ไป iPhone รุ่นล่าสุดเลย 📱 GPT-3.5 ทำได้แค่ข้อความ GPT-4 เริ่มจัดการรูปภาพได้ รุ่น o1 และ o3 เก่งเรื่องการคิด แต่ GPT-5 รวมจุดเด่นของทุกรุ่นเข้าด้วยกัน และยังเพิ่มความสามารถใหม่ๆ อีกมากมาย
ที่สำคัญคือ OpenAI ปล่อย GPT-5 ให้ใช้ฟรีด้วย แต่จำกัดการใช้งานต่อวัน! ไม่เหมือน o1 ที่ต้องจ่ายเงินถึงจะใช้ได้ ซึ่งหมายความว่าทุกคนจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยี AI ที่ล้ำสมัยที่สุดแบบไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม
มาดูตารางเปรียบเทียบรายละเอียดของแต่ละโมเดลกันดีกว่า เพื่อให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่าแต่ละตัวเหมาะกับงานแบบไหน 📊
ตารางเปรียบเทียบ OpenAI Models:
OpenAI Models Comparison
ตอนนี้มาทำความเข้าใจกันว่า Context Window คืออะไร และทำไมมันถึงสำคัญ 🧠 ลองคิดว่า Context Window เหมือนกับความจำระยะสั้นของ AI ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งจำข้อมูลที่เราให้ไปได้เยอะ
เช่น ถ้าเรามีเอกสารยาว 100 หน้า และอยากให้ AI สรุปให้ โมเดลที่มี Context Window เล็ก เช่น GPT-3.5 จะอ่านได้แค่หน้าแรกๆ แต่ GPT-4.1 หรือ GPT-5 จะอ่านทั้งหมดแล้วค่อยสรุป ความแม่นยำจะต่างกันมาก
สำหรับการเลือกใช้ Reasoning vs Non-reasoning Model นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ลองเปรียบเทียบดู 🤔
Non-reasoning Models (GPT-4, GPT-4o) จะทำงานแบบ "คิดเร็วตอบเร็ว" เหมือนการตอบคำถามในเกมโชว์ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็ว เช่น การแปลภาษา การเขียนอีเมล การสรุปข่าว หรือการสร้างคอนเทนต์ครีเอทีฟ เพราะไม่ต้องคิดลึกมาก
Reasoning Models (o1, o3) จะทำงานแบบ "คิดก่อนพูด" เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องใช้เวลาคิดก่อนจะตอบ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ การเขียนโปรแกรมที่ซับซ้อน หรือการวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
ข้อดีของ Non-reasoning คือเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย และเหมาะกับงานส่วนใหญ่ที่เราทำในชีวิตประจำวัน ส่วนข้อดีของ Reasoning คือแม่นยำมาก เหมาะกับงานที่ผิดพลาดไม่ได้ แต่จะใช้เวลานานกว่าและค่าใช้จ่ายสูงกว่า
นี่คือจุดที่ GPT-5 เจ๋งมาก! 🚀 มันมี Real-Time Router ที่จะเลือกโหมดให้เองอัตโนมัติ ถ้าเราถามว่า "2+2 ได้เท่าไหร่" มันจะใช้โหมดเร็ว แต่ถ้าเราถามว่า "ออกแบบระบบฐานข้อมูลสำหรับธนาคารที่รองรับการทำงาน 1 ล้านธุรกรรมต่อวินาทีให้" มันจะเข้าโหมดคิดลึกเอง
ในการใช้งานจริง การเลือกโมเดลขึ้นอยู่กับลักษณะงาน ถ้าเราทำงานที่ต้องการความเร็วและประหยัด ใช้ Non-reasoning Models ถ้าทำงานที่ความแม่นยำสำคัญกว่าความเร็ว ใช้ Reasoning Models แต่ถ้าไม่แน่ใจ GPT-5 จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะมันจะตัดสินใจแทนเราอย่างชาญฉลาด
ในอนาคตอันใกล้ เราอาจจะเห็น AI ที่เข้าใจเราจริงๆ ไม่ใช่แค่เครื่องมือที่ตอบคำถาม แต่เป็นเหมือนผู้ช่วยที่รู้ใจและสามารถทำงานได้หลากหลาย ตั้งแต่การเขียนโค้ด การแก้ปัญหา ไปจนถึงการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ GPT-5 อาจจะเป็นก้าวแรกสู่อนาคตแบบนั้นก็ได้นะ! ✨
Credit
Writer : ChatGPT o4-mini-high/Claude Sonnet 4/Grok3
Image : Sora
Editor : Techy Dad
โฆษณา