13 ส.ค. เวลา 13:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

"แฟรนไชส์โลกล้านปี ควรไปต่อยังไงดี!?"

นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่จำความได้
ที่ผมเลือกจะไม่ไปดู Jurassic ภาคใหม่
และไม่ได้รู้สึกเสียดายเลยสักนิด
แบบจะดูก็ได้ไม่ดูก็สบาย
เพราะมองว่าแฟรนไชส์นี้มัน "ตัน"
แอบดันไม่ขึ้นแล้วจริงๆ
เป็นอีกแฟรนไชส์ที่แม้จะรักแค่ไหน
ก็อยากให้ปิดตัวลงได้แล้ว
ไม่ต่างอะไรกับจักรวาล Fast & Furious
ที่ยิ่งทำยิ่งแย่ เหมือนไม่สนคนดูเราๆ
ขณะที่ Star Wars ยังแย่สลับดี
พอรับได้และพอมีอะไรที่ให้รู้เพิ่ม
มาที่ Jurassic World ในช่วงหลัง
ตั้งแต่ภาค Jurassic World: Fallen Kingdom (2018) และ Dominion (2022) เป็นต้นมา
เริ่มแสดงอาการตันทั้งในเชิงเนื้อหา
และความรู้สึกของคนดูอย่างชัดเจน
ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีไม่ถึง
หรือไดโนเสาร์ไม่เจ๋งพอ
แต่เพราะ "แก่นของเรื่อง"
มันไปไม่ไกลจากเดิมแล้วจริงๆ
แม้ภาค Rebirth จะกวาดรายได้
ไปมากมายก็ตาม จากเหตุผลดังนี้
(อ่านต่อได้ในแต่ละรูปนะครับ)
1. แก่นหลักวนลูปซ้ำเดิม
- นั่นคือคนเอาไดโนเสาร์มาใช้ในทางที่ผิด → ควบคุมไม่ได้ → ไดโนเสาร์หลุด → คนหนีตาE → รอดบางคน → จบ
ซึ่งยุคหลังๆ ต่อให้สร้างไดโนเสาร์กลายพันธุ์ ซูเปอร์เวอร์ชัน บินได้ข้ามทวีป หรือดูเหมือนสัตว์ประหลาดเหมือนเอเลี่ยน ก็ยังจบลงด้วยการไปเกาะและหนีพวกมันเหมือนเดิม
2. ไม่มีมุมใหม่ที่ “น่าคิดต่อ”
- อย่าง Jurassic Park ภาค 1 (ปี 1993) คือ หนังแอคชัน-ทริลเลอร์-ปรัชญา ที่สอดแทรกแง่คิดและคำถามเรื่อง “มนุษย์กับการเล่นบทพระเจ้า” ว่ามันเป็นยังไงแต่ภาคหลังๆ กลายเป็น หนังแอ็กชันผจญภัยสูตรสำเร็จ ที่ใช้ไดโนเสาร์เป็นเครื่องมือให้มาลุ้นกันแบบเดิมๆ มิติเดียวเท่านั้น นอกจากภาพจำของเจ้าคอยาวที่ถูกไฟแผดเผาร้องระงมก่อนเกาะพังทลาย กับมิตรภาพระหว่าง "Owen Grady" และเหล่าแร็ปเตอร์ของเขาเท่านั้น ที่ยังพอตราตรึง
3. ไม่มีตัวละครใหม่ที่คนอิน
- ถ้าไม่ใช่ผู้เลี้ยงดูไดโนเสาร์ นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี กองกำลังทหาร และนักท่องเที่ยว ก็แทบไม่มีบทบาทแนวอื่นๆ หรือการพยายามเอาตัวละครเก่าๆ กลับมาร่วมแสดงในภาคใหม่ ก็ไม่ได้ช่วยจุดประกายใหม่ให้แฟรนไชส์ได้เท่าที่ควร
4. คนดูยุคใหม่ไม่ว้าวกับ CGI ไดโนเสาร์แล้ว
- เมื่อ 30 ปีก่อน การดูไดโนเสาร์ดู ให้ความรู้สึกกับเราเหมือนมัน “มีชีวิตจริง” เพราะแปลกใหม่ ดูอลังการ
แต่ตอนนี้คนดูเห็น CGI ที่ดีประมาณนี้หรือดีกว่านี้มาแล้วทั้งในหนัง ซีรีส์ และสารคดีย้อนยุคโลกล้านปี เลยต้องการ “เนื้อหา” ที่มากกว่าแค่ภาพสวยงามสมจริง
ทำให้เห็นว่าแฟรนไชส์ตอนนี้
แอบ "ตันในความคิด"
ชนิดที่หากไม่กล้าเปลี่ยนแก่น
หรือแนวทางใหม่จริงๆ
ไม่ว่าจะกลายพันธุ์สัตว์แค่ไหน
คนดูก็จะรู้สึกว่า
“เรากำลังดูเรื่องเดิมที่เปลี่ยนฉาก
และตัวประหลาดเท่านั้น”
แล้วจะต่อยอดยังไงให้ไม่ตัน?
ถ้า Universal ยังอยากสานต่อ
Jurassic Universe จริงๆ อาจต้อง
"เปลี่ยนแนวทาง" ด้วยท่วงท่าใหม่ๆ ดู
ซึ่งผมได้ลองฟุ้งจินตนาการเล่นๆ
กลายเป็นสนุกขึ้นมาเฉยเลย
1. “What if พวกกินพืชกลายพันธุ์กลายเป็นกินเนื้อ?”
แนว: Bio-horror / Disaster / Survival Sci-fi
พล็อต:
นักวิจัยทดลองไวรัสเพื่อควบคุมประชากรไดโนเสาร์ แต่เกิดหลุดเข้าไปในกลุ่มกินพืชจากเผ่าพันธุ์ที่สงบ กลายเป็นไดโนเสาร์บ้าคลั่งที่มีแรงมากกว่าเดิม กัดกินทุกสิ่ง รวมถึงสายพันธุ์ตัวเองความน่ากลัวไม่ใช่แค่ไดโนเสาร์อีกต่อไป แต่คือ “ธรรมชาติที่ผิดเพี้ยนอย่างสมบูรณ์” คนไม่ใช่แค่หนีไดโนเสาร์ แต่ต้อง "ยับยั้งเชื้อกลายพันธุ์ก่อนจะสาย"
แก่นเรื่อง: เมื่อธรรมชาติไม่ใช่ธรรมชาติดั้งเดิมอีกต่อไป โลกใบนี้จะยังมีจริยธรรมในการรักษาชีวิตพวกมันแค่ไหน?
🦖 2. “Jurassic Battle Royale: ไดโนเสาร์สายพันธุ์ต่างๆ ถูกจับมาสู้กันในทัวร์นาเมนต์”
แนว: Action / Arena / Sci-fi satire
พล็อต:
โลกอนาคต ไดโนเสาร์ถูก “รีบูต” เพื่อความบันเทิงของมนุษย์บริษัทสื่อใหญ่จัดแข่ง “Jurassic Royale” ถ่ายทอดสดทั่วโลก แข่งกันเป็นซีซัน
แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ยังเปี่ยมด้วยจริยธรรมและความเชื่อมั่นว่าจะหาทางยุติเกมบ้าคลั่งนี้ได้ แม้ต้องเสี่ยงภัยสู้กับกลุ่มนักธุรกิจและนายทุนผู้โหดเหี้ยม ทำให้เห็นมนุษย์ด้วยกันนี่แหละน่ากลัวกว่าไดโนเสาร์หลายเท่า
แก่นเรื่อง: ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนควรค่าแก่การตกเป็นเครื่องมือธุรกิจของอำนาจมืดใดๆ
🔬 3. “นักรบ 'ไดโนฮิวแมน' เมื่อมนุษย์มีพลังของไดโนเสาร์ภายในตัว
แนว: Body horror / Psychological thriller / Neo-futurism
พล็อต:
- ในโลกอนาคต เมื่อวิทยาศาสตร์พัฒนาการผสาน DNA ไดโนเสาร์สู่มนุษย์เพื่อพลังเหนือมนุษย์ เกิดเป็นกลุ่มคนที่ได้รับการยกย่องเป็นซูเปอร์ฮีโร่ คล้ายที่เราเคยเห็นกันใน Power Rengers แต่นี่คือมีพลังไดโนเสาร์รวมเข้ากับยีนส์เลย แต่สุดท้ายเกิดการกลายพันธุ์ที่เกินจะควบคุม
โลกเกิดความขัดแย้งระหว่าง “มนุษย์-กลุ่มฮีโร่” ที่กำลังจะกลายเป็นซีโร่ ทั้งในแง่ศีลธรรม สังคม และพันธุวิศวกรรม
แก่น: การเล่นกับสิ่งที่ไม่รู้ ล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย และอดีตบางอย่างก็ควรศึกษาไว้แค่ในกรอบ
4. 🦕✨ "จะเป็นไงถ้ามนุษย์หยุดอุกกาบาตได้ และไดโนเสาร์ไม่สูญพันธุ์?"
🌍 แนว:Sci-fi / Alternate Timeline / Evolution Epic / Philosophical Adventure
🎬 พล็อต:
- ในโลกอนาคตอันยาวไกล มนุษย์ย้อนเวลากลับไปในยุคครีเทเชียส ด้วยเทคโนโลยีไทม์แมชชีน เป้าหมายคือหยุดอุกกาบาตเพื่อศึกษา “โลกที่ไม่มีการสูญพันธุ์” แล้วกลับมายังโลกตัวเองพร้อมข้อมูลใหม่
แต่เมื่ออุกกาบาตไม่ตกไดโนเสาร์ไม่สูญพันธุ์ ธรรมชาติไม่ได้ถูก reset มนุษย์ “อาจจะไม่ใช่จุดสูงสุดของวิวัฒนาการ” อีกต่อไป
เวลาผ่านไปหลายสิบล้านปี โลกกลับกลายเป็นดาวที่ไดโนเสาร์ “วิวัฒน์เป็นสิ่งมีชีวิตทรงภูมิ” มีระบบสังคม.มีวัฒนธรรม บางสายพันธุ์มี สติปัญญาระดับเดียวกับมนุษย์ และที่น่ากลัวคือ พวกมัน จำได้ว่าใครเป็นคนเปลี่ยนชะตากรรมของพวกมัน
🧬 แก่น:
“ถ้ามนุษย์ไม่ใช่จุดศูนย์กลางของวิวัฒนาการอีกต่อไปจะยอมรับกันได้แค่ไหน?” หรือแท้จริงแล้ว ธรรมชาติออกแบบการสูญพันธุ์เพื่อให้บางสิ่งเกิดใหม่เสมอ? สุดท้ายมนุษย์ต้องตัดสินใจ: จะพยายาม “รีเซ็ตโลกอีกครั้ง” หรืออยู่ร่วมกับผลลัพธ์ที่ตัวเองสร้าง? น่าคิด
คล้ายหนัง Planet of the Apes (ฉบับใหม่) – ความเปลี่ยนผ่านของสายพันธุ์และการตั้งคำถามต่อความเป็น "อารยธรรม" ที่แบ่งแยกระหว่างสองเผ่าพันธุ์
5. ไม่ต้องคิดไรมาก เอาหนัง "The Land Before Time" มาทำเป็น Live Action
- สำหรับผม (และเชื่อว่าเด็ก Gen Y หลายคน) ยังคงจดจำเรื่องนี้อยู่ในหัวใจ หลับตานึกถึงทีไรก็เห็นแต่ความสุขสดใส ไร้เดียงสา แบบในวันวาน กับการผจญภัยของเหล่าไดโนเสาร์ตัวน้อย ค่อยๆ เติบโตไปด้วยกันในแต่ละภาค เป็นหนัง Coming of Age ฉบับไดโนเสาร์อย่างแท้จริง ที่ได้เห็นมุมการมองโลกของไดโนเสาร์เอง จำได้ว่าตอนนั้นดูไปยังน้ำตาคลอ
เพราะการรีเมคเป็น Live Action ไม่ได้แย่เสมอไป ขอเพียงเคารพต้นฉบับและทำถึง ทำเกิน ก็ประสบความสำเร็จได้แบบที่ Lilo & Stich ทำ
สุดท้ายสิ่งที่แฟรนไชส์ Jurassic ควรลองจริงๆคือการใช้ “What If” + กล้าไป
ทางดาร์ก ซับซ้อน เสียดสี ทำแบบทางฉีก แฟรนไชส์นี้ก็อาจจะ "คืนชีพ"
จากฟอสซิลความทรงจำ ได้แบบเหนือความคาดหมายเลยทีเดียว
โฆษณา