Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ปั่นเรื่อง เป็นภาพ
•
ติดตาม
11 ส.ค. เวลา 01:02 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
We can’t change the world. But, We wanna build a school in Cambodia. เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้
จากเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่ผ่านมา
มันทำให้ผมนึกถึงหนังที่ผมเคยได้ดูเรื่อง
“We Can’t Change the World. But, We Wanna Build a School in Cambodia.”
หนังสัญชาติญี่ปุ่นที่มีชื่อยาวเหยียดกับความยาว 2 ชั่วโมงกว่าๆ
ตัวหนังสร้างมาจากเรื่องจริงของ โคตะ ทานากะ สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นในปี 2005
ที่ขณะนั้นเพิ่งสอบเข้าเรียนแพทย์มหาวิทยาโตเกียวได้
โคตะ ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป
ที่เที่ยวเตร่กับเพื่อนฝูง
ไปงานปาร์ตี้ไม่เว้นแต่ละวัน
และพยายามหาแฟนเป็นตัวเป็นตน
แต่แล้ววันหนึ่ง โคตะ ก็รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมันไม่สมบูรณ์
มันมีอะไรที่ขาดหายไป
เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร
เขายังคงใช้ชีวิตประจำวันเหมือนทุกที
แต่ก็เป็นไปอย่างว่างเปล่า
จนวันหนึ่งโคตะได้มาเจอแผ่นพับเชิญชวน
ให้บริจาคสร้างโรงเรียนให้กับเด็กยากไร้ในประเทศกัมพูชา
โคตะรู้สึกสะดุดและสนใจขึ้นมาทันที
เมื่อเขาเข้าไปสอบถามทางมูลนิธิถึงได้รู้ว่า
ถ้าจะสร้างโรงเรียนหนึ่งโรงเรียนในกัมพูชาจำเป็นต้องใช้เงิน
1.5 ล้านเยน เขายังไม่รู้ว่าจะหาเงินมาจากไหน
แต่โคตะก็ตัดสินใจแล้วว่าจะสร้างโรงเรียนกัมพูชาให้ได้
โคตะได้ชวนเพื่อนสนิทอีก 3 คนมาร่วมโครงการนี้
ทั้ง 4 คนจึงได้ตั้งชมรมขึ้นมาในมหาวิทยาลัย
เพื่อเชิญชวนคนที่สนใจมาร่วมบริจาค
รวมทั้งเข้ามาสมัครช่วยเหลืองานในชมรม
จนในที่สุดก็มีนักศึกษาจำนวนมากสนใจสมัครเข้าชมรมมา
โครงการเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาทันที
ทั้งๆ ที่เริ่มจากความบังเอิญที่โคตะไปเจอแผ่นพับแท้ๆ
ชมรมดำเนินไปเรื่อยจนมีคนมาถามโคตะว่า
กัมพูชาเป็นยังไง พื้นที่ที่จะไปสร้างโรงเรียนอยู่ตรงไหน
เด็กๆ อาศัยกันอย่างไร
โคตะอึ้งไปชั่วขณะ
เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่เคยไปกัมพูชา
และยังไม่ได้หาข้อมูลด้วยซ้ำว่าพื้นที่ที่พวกเขาจะสร้างโรงเรียนขึ้นมานั้น
เป็นแบบไหน หน้าตาเป็นอย่างไร
โคตะและเพื่อนๆ จึงตัดสินใจไปกัมพูชาเพื่อสำรวจพื้นที่
และถือโอกาสท่องเที่ยวไปด้วยในตัว
แต่เมื่อพวกเขามาถึงกัมพูชา
ก็ได้เห็นสภาพความเป็นจริงของคนที่นี่
ซึ่งต่างจากที่เขาเคยคิดไว้มาก
จากตัวเมืองพวกเขาได้ไปเยี่ยมโรงพยาบาลในกัมพูชา
ทำให้โคตะได้ทราบว่าชาวกัมพูชาอายุระหว่าง 15 – 49 ปี จำนวน 2.6%
หรืออัตราส่วน 1 ใน 40 คน จะเป็นโรคเอดส์
ด้วยเพราะข้อมูลความเข้าใจที่ยังมีอยู่น้อย
รวมไปถึงอคติความเชื่อจึงทำให้
มีผู้ป่วยทั้งหมด 170,000 คน มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โคตะเริ่มคิดในฐานะที่เขาเป็นนักเรียนแพทย์
เขาจะสามารถช่วยอะไรให้กับพวกคนพวกนี้ได้บ้าง
แต่เขาก็คิดไม่ออก
จากนั้นโคตะและเพื่อนก็ได้ไปเยี่ยมเรือนจำตวลสเลง
ที่ตอนนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์
ทำให้ทราบเรื่องทุ่งสังหาร ที่นายพล พต ผู้นำเขมรแดง ทำการยึดอำนาจได้สำเร็จ
เขาสั่งปิดประเทศ ไม่ติดต่อกับต่างชาติ
พล พต ประกาศว่ากัมพูชาจะมั่งคั่งได้ ก็เพราะเกษตรกรรม
ประชาชนกัมพูชาทุกคนต้องเป็นชาวนา
โรงเรียนได้ถูกแปรสภาพมากลายเป็นเรือนจำตวลสเลง
พ่อค้า ครู อาจารย์ คนที่มีการศึกษาทั้งหลายต้องถูกจับ
มาที่เรือนจำแห่งนี้ ทุกคนถูกใส่โซ่ตรวนที่ข้อเท้า
และถูกทรมานบังคับให้ใช้แรงงานอย่างโหดร้ายทุกวัน
ตั้งแต่ตีห้าถึงหกโมงเย็น อาหารที่ทุกคนได้รับมีเพียงน้ำข้าว 2 ชามต่อวัน
ร่างกายของทุกคนมีเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก
พอกลับมาเข้าที่พักก็จะถูกทหารเขมรแดงทรมานร่างกายต่ออีก
ไม่เว้นแม้กับเด็กทารก มีคนรอดชีวิตจากเรือนจำแห่งนี้เพียง 7 คนเท่านั้น
และมีผู้เสียชีวิตมากกว่าสองล้านคนทั่วประเทศ
โคตะและเพื่อนๆ รู้สึกหดหู่กับความเป็นจริงอันโหดร้าย
ที่คนกัมพูชาด้วยกันถึงกับเข่นฆ่าคนชาติเดียวกันเอง
ทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
โคตะกับเพื่อนๆ เดินทางจากมาด้วยความรู้สึกที่หดหู่
ซึ่งแตกต่างจากอารมณ์วันแรกที่พวกเขามาถึงกัมพูชา
แล้วพวกเขาก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านชายแดน
ที่ที่พวกเขาจะสร้างโรงเรียนกันขึ้นมา
ที่นี่ทุรกันดาร รอบๆ ยังเป็นพงหญ้า
แต่เต็มไปด้วยดงระเบิด
ตลอดสองข้างทางจะมีป้ายปักเตือนว่ามีระเบิดเป็นจุดๆ
เพื่อรอการเก็บกู้ และก็ยังเหลือระเบิดอีกจำนวนมาก
ที่ยังไม่ทราบว่าอยู่ตรงจุดไหน ทำให้มีชาวบ้านต้องขาขาด
ต้องพิการได้รับบาดเจ็บจากการไปเหยียบทุ่นระเบิดมากกว่า 67,000 คน
ด้วยเพราะไม่มีโรงเรียนตั้งอยู่แถวนี้
ทำให้เด็กๆ ไม่ได้เรียนหนังสือ
ทุกวันเด็กส่วนใหญ่จะต้องออกมาช่วยพ่อช่วยแม่
ทำนาปลูกข้าว ซึ่งก็มีความเสี่ยงในการใช้ชีวิต
เพราะไม่รู้ว่าจะโชคร้ายไปเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อไร
โคตะรู้สึกสงสารเด็กๆ เป็นอย่างมาก
แต่เขาก็แปลกใจที่เห็นเด็กเหล่านี้ยังยิ้มกว้างหัวเราะได้ตลอดทั้งวัน
เขาไม่เห็นเด็กเหล่านี้รู้สึกหดหู่สิ้นหวังอย่างที่เขารู้สึกในขณะนี้
โคตะและเพื่อนๆ กลับมาโตเกียว
ด้วยความคิดที่ไม่เหมือนเดิม
จากที่พวกเขาแค่อยากสร้างโรงเรียน
เพราะจะทำให้ตัวเองดูดี
แต่พอได้มาเห็นสภาพความเป็นจริงแล้ว
พวกเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไป
มันไม่ได้ช่วยให้พวกเขาดูดีได้เลย
พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม
สภาพเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของคนที่นั้น
พวกเขาไม่สามารถทำให้คนไม่ต้องอดอยาก
ไม่ต้องดิ้นรนทำงานตั้งแต่เด็กได้
การสร้างโรงเรียนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกให้มันดีขึ้น
แล้วพวกเขายังคงที่จะสร้างโรงเรียนงั้นหรือ?
1
แต่เมื่อโคตะนึกถึงหน้าเด็กๆ ที่ส่งยิ้มให้เขาตลอดเวลา
เขาก็รู้ว่าเขาทำมันไปเพื่ออะไร
เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อโลก
เขาแค่อยากทำเพื่อมอบโอกาสให้กับเด็กๆ เหล่านั้นในอนาคต
โคตะและเพื่อนๆ ตัดสินใจมุ่งมั่นหาเงิน 1.5 ล้านเยนให้ได้
เพื่อนำไปสร้างโรงเรียน พร้อมจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์
เขาตั้งกล่องรับบริจาค ระดมทุน จัดงานอีเวนท์ จนในที่สุด
พวกเขาก็รวบรวมเงินได้สำเร็จ
แล้วโรงเรียนก็ถูกสร้างขึ้นมาในที่ที่พวกเขาเคยไปสำรวจ
โคตะดีใจที่เด็กๆ ที่พวกเขาได้ไปพบจะมีโอกาสได้รับการศึกษา
เพื่อเพิ่มโอกาสในชีวิต
20 ปีผ่านไป ตัดภาพมาในปัจจุบัน ก็ยังมีชาวกัมพูชาจำนวนมากที่ขาดการศึกษา
ขาดความรู้ ทำให้ถูกปลุกปั่นชักจูงได้ง่าย คิดๆ แล้วหากคนกัมพูชาได้รับโอกาสทางการศึกษามากกว่านี้ เห็นการณ์อย่างในปัจจุบันก็อาจไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้ครับ
1
2
ญี่ปุ่น
ภาพยนตร์
ประวัติศาสตร์
1 บันทึก
12
6
2
1
12
6
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย