Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
11 ส.ค. เวลา 05:08 • ธุรกิจ
🔪 “The Great Flattening”
ภัยเงียบที่กำลังเชือดหัวหน้าวัยกลางคน (วัย 40+)
เมื่อ “ประสบการณ์” กลายเป็น “ต้นทุน” และ AI ทำให้ “หัวหน้าแบบเดิม” ไม่จำเป็นเท่าเดิม
“เคยบริหารทีมเป็นร้อย…แต่วันนี้ตกงานเกือบปีแล้ว” — ประโยคจริงที่สะท้อนสัญญาณตลาดแรงงานยุคใหม่
* องค์กรจำนวนมากกำลัง “ทำให้แบนราบ” (ลดชั้นการบริหาร) เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความเร็ว The Great Flattening จึงกระทบโดยตรงต่อผู้จัดการวัยกลางคน โดยเฉพาะบทบาทที่ทำหน้าที่หลักคือ “คุมงาน–ประสานงาน–สรุปงาน”
* บทความนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้กลัว แต่เพื่อวางเข็มทิศใหม่ให้คนวัย 40+ เอาตัวรอดอย่างมีศักดิ์ศรี และ “กลับมาเฉียบ” กว่าเดิม
====
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะอะไร?
“เงิน”
* เงินเดือนผู้จัดการอาวุโส 1 คน เทียบได้กับพนักงานรุ่นใหม่ 3–4 คน
* องค์กรมัก “เดิมพัน” ว่าในกลุ่มนั้นจะมีดาวรุ่งอย่างน้อย 1 คนให้ปั้นต่อ ผลตอบแทนระยะกลางจึงดูคุ้มกว่า
“ความเร็ว”
* ชั้นการอนุมัติและการรายงานหลายชั้นทำให้งานช้า
* การลดชั้นทำให้ตัดสินใจเร็วขึ้น เห็นผลเร็วขึ้น
“เทคโนโลยี และ AI”
* งานที่เป็นขั้นตอนซ้ำๆ เช่น ติดตามงาน สรุปรายงาน รวมข้อมูลจากหลายระบบ วันนี้เครื่องมือ AI ช่วยย่นเวลาทั้งหมดของเดิมที่ต้องใช้คน และกระบวนการหลายทอดได้แล้ว
เมื่อ “ต้นทุน + ความเร็ว” เป็นตัวตั้ง บทบาทที่เพิ่มเวลา/ค่าใช้จ่าย แต่เพิ่มคุณค่าให้ลูกค้าไม่ชัดเจน จะถูกตั้งคำถามก่อนเสมอ
สิ่งที่เกิดขึ้นหน้างาน (On-the-ground signals)
* Span of control (จำนวนลูกทีมทั้งเป็นคน และ AI ต่อหัวหน้า) กว้างขึ้น แต่ชั้นผู้จัดการลดลงไม่จำเป็นต้องมีเยอะแยะ
* ประชุม review ติดตาม status ลดจากทุกสัปดาห์ เหลือเฉพาะ “จุดที่ต้องตัดสินใจ”
* Project ต่างๆ มี timeline ที่หดสั้นลง แต่ขอ “ผลจริง” มากกว่ารายงานสวย
คำถามยอดฮิตเวลาเปิดรับคนกลางสายบริหาร “ลงมือทำเองได้แค่ไหน?” หรือ “ใช้ AI ทำอะไรได้บ้างในการบริหารงานและทีม?”
====
AI เร่งเกมแทนหัวหน้าอย่างไร? (ไม่ต้องเทคนิค ก็เข้าใจได้แล้วในยุคนี้)
* ติดตามงานอัตโนมัติ: ระบบทำงานร่วมกันสรุปว่าใครติดตรงไหน เหลืออะไรค้างอยู่ โดยไม่ต้องให้หัวหน้าตามจี้ทีละเรื่อง
* สรุปรายงานทันที: ข้อมูลยอดขาย ลูกค้า หรือคุณภาพงาน ถูกดึงมารวมและสรุปให้เห็นภาพในไม่กี่นาที จากเดิมที่ต้องรอหลายวัน
* ตัด “ตัวกลาง” ออก: ทีมธุรกิจกับทีมเทคนิคคุยกันรู้เรื่องขึ้น เพราะมีเครื่องมือช่วยแปลงความต้องการและอธิบายคำศัพท์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีคนส่งต่อข้อมูลตลอดเวลา
* ช่วยคิดทางเลือกเบื้องต้น: AI เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกจากข้อมูลในระบบ ทำให้วงประชุมสั้นลงและตรงประเด็นขึ้น
คำถามที่ผู้นำทุกคนต้องตอบให้ได้ = ถ้า AI “ประสาน” และ “สรุป” ได้ดีอยู่แล้ว เราจะเสริมคุณค่าให้ทีมอย่างไรนอกเหนือจากการคุมงาน?
===
ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่างๆ
“ค้าปลีก”
* เดิมผู้จัดการสาขาต้องไล่ตัวเลขทุกเช้า
* วันนี้ระบบสรุปสินค้าขาด สินค้าขายดี และปัญหาสต็อกให้เสร็จสรรพ
* หัวหน้าที่จะรอด หรือไปต่อได้คือคนที่ “แก้จุดติดขัดหน้าร้าน” ทันที เช่น ปรับผังสินค้า ทดลองโปรโมชั่นเร็ว ๆ แล้ววัดผลวันต่อวัน เป็นต้น
“Logistic”
* เดิมต้องตั้งโต๊ะตามของตกค้างทุกวัน
* วันนี้ Dashboardชี้ว่ารถคันใดน่าจะดีเลย์ หัวหน้าที่รอดคือคนที่เปลี่ยนเส้นทาง/สลับโหลดได้ไว พร้อมคุยลูกค้าดีๆ ไม่ให้เสียความเชื่อใจ
“เทคโนโลยี/ดิจิทัล”
* เดิมต้องมีคนกลาง เช่นพวก PM/PMO มาเขียนสรุปสถานะ
* วันนี้ทีมเล็กลง แต่ใช้เอกสารหน้าเดียวสรุป “เป้า–ผล–ความเสี่ยง–การตัดสินใจ” ทุกสัปดาห์
“การเงิน/ธนาคาร”
* เดิมอนุมัติหลายขั้นมาก เพราะต้องระวังความเสี่ยงเรื่องการเงิน หรือมีกฏบังคับภายในมากมาย
* วันนี้ตัดบางชั้นออก ใช้เกณฑ์เดียวกันทั้งองค์กร หัวหน้าที่รอดคือคนที่ทำให้ลูกทีมเข้าใจเกณฑ์และตัดสินใจได้เร็วโดยไม่เสี่ยง เพราะมีเทคโนโลยีมาช่วย
====
คุณกำลัง “เสี่ยง” หรือยัง? เช็คได้จากคำถามเหล่านี้?
* เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการไล่สถานะ/ทำสไลด์ มากกว่าการแก้คอขวดจริง
* ไม่ได้ลงมือทำงานที่จบได้เองนานเกิน 6 เดือน
* พูดถึง “จำนวนคนที่คุม หรือบ่นคนขาดคนไม่พอ” มากกว่า “ผลลัพธ์ที่วัดได้”
* ไม่มีผลงานก่อน–หลังให้ดูในรอบ 3–6 เดือน
* ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ที่ใช้ได้จริงมาร่วมปี?
ถ้า “ใช่” ตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไป—ถึงเวลาปรับเปลี่ยนชีวิตกันแล้ว
====
กลยุทธ์เอาตัวรอดสำหรับผู้จัดการวัย 40+ จะทำอย่างไร ให้ “กลับมาเฉียบ”?
1) จาก “คุมคน” → กลับมา “ลงมือทำ” ให้เก่งจริงอย่างน้อยหนึ่งเรื่อง
* เลือกงานที่ “จบงานได้ด้วยตัวเอง” แล้วลับคมให้ชัด เช่น วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเบื้องต้นเอง, ทำรายงานที่ผู้บริหารดูแล้วตัดสินใจได้ทันที, หรือออกแบบขั้นตอนงานใหม่ให้เร็วขึ้นเห็นผลต่างชัดเจน
* หลักฐานสำคัญคือผลลัพธ์: โชว์ก่อน–หลัง (เดิมกี่วัน → เหลือกี่ชั่วโมง, เดิมผิดพลาดเท่าไร → ลดลงเท่าไร) มากกว่าบอกว่าคุมทีมกี่คน
* เคล็ดลับ: ทำ “โครงการเล็ก แต่ชนะเร็ว” เดือนละ 1 เรื่อง สะสมให้เห็นภาพรวม 3 เดือน คุณค่าจะดังเอง
2) จาก “หัวหน้าถือเช็กลิสต์” → เป็น “คนคิดทิศทาง” ของทีม
* บทบาทที่ AI แทนไม่ได้คือการ “ตั้งโจทย์ให้ถูก” และ “เลือกทางที่เหมาะ” ภายใต้ข้อจำกัดจริง
* ใช้เอกสาร หนึ่งหน้า ตอบ 5 ข้อ: เราจะไปทางไหน? ทำไม? มีความเสี่ยงอะไร? มีทางเลือกอะไร? ตัดสินใจอะไรวันนี้?
* ทำแบบนี้ทุกเดือน ทีมจะชัด ทรัพยากรถูกใช้ตรงจุด และคุณค่าของผู้นำจะเด่นขึ้นทันที
* เคล็ดลับ: พูดให้คนทั้งทีมเข้าใจเหมือนกันใน 2 นาที—ถ้าทำไม่ได้ แปลว่าโจทย์ยังไม่ชัด
3) Skills Portfolio : ลงทุนซ้ำๆ แบบนักกีฬาอาชีพ
* ทุกไตรมาส เลือก 1 ทักษะหลัก + 1 ทักษะเสริม (เช่น การเล่าเรื่องด้วยข้อมูล, การออกแบบกระบวนการ, การใช้เครื่องมืออัตโนมัติพื้นฐาน) แล้วทำโปรเจ็กต์เล็ก ๆ ให้เห็นผลจริง พร้อมเขียนสรุปบทเรียนสั้นๆ เผยแพร่ในทีม/สาธารณะ
* ตัวอย่างชุดทักษะ:
* สายธุรกิจ/โปรดักต์: อ่านข้อมูลลูกค้าง่าย ๆ, เข้าใจเส้นทางการตัดสินใจของลูกค้า, ทดลองเล็ก ๆ แบบวัดผลได้
* สายมาร์เก็ตติ้ง: อ่านรายงานออนไลน์, ทดลองคอนเทนต์แบบเร็ว, ทำแคมเปญเล็ก ๆ วัดผลทันที
* สายปฏิบัติการ: จัดขั้นตอนงานให้สั้นลง, ทำป้าย/คู่มือที่ทีมเข้าใจใน 1 นาที, ตั้งเกณฑ์จับปัญหาซ้ำ ๆ
* เคล็ดลับ: ตั้งเป้า “ออกของจริง” ไตรมาสละ 2 ชิ้น ไม่ใช่แค่อ่านคอร์ส
4) “เก่งคน” ให้เป็นศิลปะ ไม่ใช่แค่สั่งงาน
* ทำให้การ “ขอความช่วยเหลือ” เป็นเรื่องปกติ: จัดช่วงเวลารายสัปดาห์สำหรับยกปัญหาโดยไม่ตัดสิน และตั้งเวลาตอบสนองมาตรฐาน (เช่น ภายใน 48 ชม.)
* โค้ชทีมด้วยกรอบคำถามง่าย ๆ: เป้าหมายคืออะไร? ตอนนี้จริง ๆ อยู่ตรงไหน? มีทางเลือกอะไรบ้าง? จะลงมืออะไรทันที? แล้วตามผลให้ถึง
* ให้เครดิตคนทำจริงเสมอ—ทีมจะไว้วางใจ และกล้าพูดปัญหาเร็วขึ้น
====
เครื่องมือเอาตัวรอดที่ใช้ได้เลย เช่นอะไร?
* สรุปสถานะอัตโนมัติ (Automate Status update) : ให้เครื่องมือที่องค์กรมีอยู่แล้วดึงประเด็นสำคัญขึ้นมา—วันนี้ต้องตัดสินใจเรื่องอะไร ใครติดตรงไหน
* รายงานผู้บริหารหน้าเดียว (1-page executive summary) : สรุปเป้า–ผล–ความเสี่ยง–ทางเลือก–การตัดสินใจในหนึ่งหน้า ลดประชุมที่ไม่จำเป็น
* งบ “แก้จุดติดขัด” (Pains) รายเดือน: แก้คอขวดเล็ก ๆ ที่ทำให้ลูกค้า/พนักงานเหนื่อย เดือนละหนึ่งเรื่อง แต่ทำให้จบจริง
* กระดาน “ชนะเล็กๆ รายสัปดาห์” (Weekly Small Win board): บันทึกความคืบหน้าเล็ก ๆ ที่สร้างผลรวมใหญ่—เป็นพอร์ตผลงานชิ้นสำคัญของคุณ
====
ข้ออ้าง/กับดักที่ควรหลีกเลี่ยง?
* อ้างอดีตมากไป: “สมัยก่อนเราเคย…” แต่วันนี้ลูกค้าและต้นทุนเปลี่ยนไปแล้ว
* เก่งประชุม แต่ไม่จบงาน: สวยบนสไลด์ แต่หน้าร้าน/หน้าเว็บยังสะดุดเดิม
* เรียนเยอะ แต่ไม่ปล่อยของ: ลงคอร์สแต่ไม่มีชิ้นงานให้ดู
* ยึดติดว่าต้องมีลูกทีมเยอะๆ ถึงเรียกว่าผู้จัดการ แต่วันนี้ มืออาชีพที่สร้างผลลัพธ์ คือของจริง
====
ดังนั้น…จาก “ผู้จัดการ” สู่ “ผู้สร้างคุณค่า”
ความมั่นคงจาก “ตำแหน่ง” จะค่อย ๆ หายไป ความมั่นคงจาก “ความสามารถ + การเรียนรู้ซ้ำ” จะมาแทนที่ เป้าหมายใหม่จึงไม่ใช่ “เก้าอี้” แต่คือ ศักยภาพที่ยืนได้ทุกที่
วันนี้ “ประสบการณ์” อาจช่วยให้คุณได้งาน แต่พรุ่งนี้ ความเร็วในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ต่างหาก ที่ทำให้คุณยังมีที่ยืน
#วันละเรื่องสองเรื่อง #TheGreatFlattening #FutureOfWork #Reskilling #Upskilling #Leadership
hr
hr_thailand
hrthailand
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย