Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Tatastudio
•
ติดตาม
13 ส.ค. เวลา 01:46 • ดนตรี เพลง
รูปภาพนี้อยู่ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของการทำเพลง “คิดถึง...ไม่ไหว”
เริ่มจากความคึกคะนองของผมที่ชอบส่งเพลงไปแหย่ทีมงานเล่น เวลาเห็นฟีดแบ็กที่ออกอาการซึ้ง ๆ คล้อยตาม แล้วจะรู้สึกสนุกสนาน ระหว่างที่ทำอัลบั้มนั้น ผมจะมีเพลงเดโมในโทรศัพท์อยู่จำนวนมาก ที่รอขุดค้นเอามาทำจริง
ช่วงนั้นเพลง “คิดถึง…ไม่ไหว” ไม่ได้อยู่ในแผนอัลบั้ม แต่ด้วยความที่เวลาผมนั่งอัดเพลงในห้องอัดทีไร มักมีทีมงานค่ายจีนี่ตามมาประกบ คอยเฝ้า เหมือนเฝ้าลูกหนี้ (แต่แสร้งทำเป็นมาให้กำลังใจ อิอิ) เพื่อให้ทำงานเสร็จทันกำหนด เขาเลยจองห้องอัดแกรมมี่ชั้น 32 ไว้ให้ผมเป็นห้องส่วนตัวในช่วงระยะเวลาหนึ่งเลย ช่วงนั้นเล่นคอนเสิร์ตเสร็จ ก็กลับขึ้นมาอัดต่อที่ห้องนี้แหละ แล้วก็นอนค้างไปเลย กินนอนอยู่ในห้องนั้นประมาณหนึ่งเดือน
มีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างที่ผมกำลังอัดเพลง คุณยาและคุณเงาะทีมงานค่ายจีนี่ บุกพรวดเข้ามาทำสีหน้าจริงจัง
“พี่อ๊อฟแกมีเรื่องจะคุยด้วยครับ”
พี่อ๊อฟที่ว่าก็คือ “พี่อ๊อฟ บิ๊กแอส” มือกีตาร์แห่งวง Big Ass ที่ตอนนี้เป็น Big Boss ผู้บริหารใหญ่แห่งค่ายจีนี่ (จริง ๆ เรียก “บิ๊กอ๊อฟ” น่าจะได้แล้วนะครับ อิอิ)
ถ้าใครนึกไม่ออก ให้นึกถึงอารมณ์พวกฉากหนังเปิดตัวเจ้าพ่อ เดินเข้าร้านแล้วมีเหล่าบอดีการ์ดเดินทะลุประตูเข้ามา 2-3 คน สูทดำ แว่นดำ ภาพซูมใกล้เห็นรองเท้าเงาวับก้าวลงมาจากรถเหยียบพื้นฉ่ำ ๆ (อาจมีขยี้บุหรี่ด้วยก็ได้) แล้วก็เดินเข้ามาที่ร้าน เปิดตัวเจ้าพ่อแบบอลังการเท่ ๆ
“พี่มีเรื่องอยากปรึกษา ...” พี่อ๊อฟเกริ่นนำ สีหน้ากระอักกระอ่วน ผมชักหวั่น ๆ ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“เพลงคิดถึง เราว่าจะเอามาทำเป็นเพลงต่อไป” (หมายถึงเพลงโปรโมต) พี่อ๊อฟพูด
“หืมม ... เอาจริงเหรอครับ ?” ผมทั้งตกใจและแปลกใจ ไม่รู้ว่าพูดเล่นหรือพูดจริง
ตัดย้อนกลับไปช่วงที่นั่งอัดเพลงทำอัลบั้มอยู่นั้น อย่างที่เล่าว่า มักจะมีทีมงานจีนี่มานั่งคอยให้กำลังใจ (ตามงาน) ทีนี้ผมมักจะคึกคักเวลามีคนมานั่งเป็นเพื่อน ติดอาการโม้โน่นโม้นี่ ฟุ้งฝันไปเรื่อยเปื่อย อยู่ดี ๆ ไม่รู้คิดอะไร ดันโพล่งออกไปว่ามีเพลงช้า ๆ เศร้า ๆ อีกเพลงด้วยนะ ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดเดโมที่อัดเล่นไว้ในเครื่องให้เขาฟัง จำได้ว่ามีคุณยากับเงาะ นั่งฟังไป ระหว่างเปิดเพลง ผมสังเกตว่าคุณยาออกอาการน้ำตาคลอ ๆ ดูอิน ๆ ซึ้ง ๆ
ผมก็ได้ทีคนขี้แกล้ง หลังจากแยกย้ายกันไปแล้ว ผมก็ส่งเดโมเพลงนี้ยัดไปให้เขาฟังทางไลน์อีก แล้วก็หัวเราะคิกคักในใจประสาคนขี้แกล้ง
หลังจากนั้นก็จะคอยขยี้เพลงนี้ส่งให้คุณยาไปเรื่อย ๆ ส่งเนื้อท่อนเจ็บ ๆ ไปให้บ้าง ตัดท่อนฮุกสั้น ๆ ฉบับอัปเดตไปให้เรื่อย ๆ คุณยาก็จะบอกว่า “เพลงนี้โดนนะพี่” ผมก็ได้แต่คิกคักในใจ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าจะแกล้งอย่างไรต่อ จนมีอยู่วันหนึ่ง ระหว่างพักหูจากการอัดเพลง คุณยาและคุณเงาะก็เข้ามาทักทายเช่นเดิม (ทวงงาน) ผมก็เกิดคะนอง ลุกขึ้นไปหยิบกีตาร์ขึ้นมาเกาและร้องเพลงนี้คั่นบรรยากาศ พร้อมโม้ไปเรื่อย
อีกแล้ว ! ผมสังเกตเห็นคุณยาทำตาปรือ ซึ้ง ๆ อิน ๆ ทำท่าเหมือนคนมีความหลังอะไรสักอย่างเกี่ยวกับความรัก ผมได้ใจ พูดแหย่แซวเรื่องอาการน้ำตาคลอ ๆ
“ทำเลยพี่ ...”
คุณยาพูดลอย ๆ ตาหม่นเศร้า เอามือไพล่หลังเกาหัวเกาคางแกรก ๆ ไปด้วยแก้เก้อ ผมไม่รู้พูดจริงหรือพูดเล่น
ตกดึกคืนนั้นหลังจากทุกคนกลับไปหมด ผมเว้นพักหูจากการอัดเสียงยาวนาน ระหว่างนั่งอยู่นั้น ก็แวบเกิดไอเดียลองหยิบกีตาร์มานั่งร้องเพลงคิดถึงนี่อีกที “เอ๊ะ ! ก็เพราะดีนี่ !” งั้นลองทำเดโมขึ้นเพลงไปเลยดีกว่า
เดิมทีเพลงคิดถึงนี้เป็นเดโมเก่าที่อัดไว้นานแล้ว น่าจะ 5-6 ปีที่แล้ว เป็นกีตาร์โปร่ง เกา ๆ แล้วร้องเศร้า ๆ มีเนื้อคร่าว ๆ กับท่อนฮุก แนวอกหัก
“คิดถึงจนทนไม่ไหว …
ได้แต่เก็บอาการแล้วเดินต่อไป …
ภาพของเราสองคน วกวนในหัวใจอีก
จะทนได้นานแค่ไหน …”
ส่วนท่อนอื่นก็ดำน้ำมั่ว ๆ ปน ๆ กันไป ยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็ถือเป็นเพลงที่มี “หัวใจเพลง” แล้ว
(หัวใจเพลงก็คือ เรื่องที่จะพูดในแต่ละเพลง)
ประมาณตี 3 ผมอัดไป สาดกีตาร์แบบร็อก ๆ จ่อตู้แอมป์ รู้สึกสะใจมาก เพราะทั้งชั้นมีแต่ความมืด มีผมอยู่คนเดียว เปิดเสียงได้อย่างเต็มที่ อัดดนตรีไปแบบแนวร็อกกระแทกกระทั้น พลางอัดร้องในขณะที่เสียงแหบ ๆ (เปลี่ยนฤดูทีไร มักจะเสียงแหบทุกที ช่วงนั้นอยู่ในช่วงเสียงแหบ)
อัดไปเสร็จ ฟังไปฟังมาชักไม่มั่นใจ จากที่จะทำแนวซินธ์ป็อป ซินธ์ร็อก ที่ไหนได้ พออัดไปอัดมา กลายเป็นเพลงร็อกแบบ ”ฤดูฝน“ ไปเฉยเลย
น่าจะเป็นเพราะโลว์เทค เพิ่งกลับมาใช้โปรแกรมอัดเพลง ร้างลาจากการใช้คอมพิวเตอร์มานาน ก็เลยขี้เกียจหาพวกอะไหล่เสียง เสียงสังเคราะห์ต่าง ๆ ด้วยความรีบ ๆ ทำให้อัดอะไรได้ก็อัด ๆ ไปก่อน ผลที่ได้กลายเป็นได้เพลงอารมณ์ “ฤดูฝน” ภาค 2 ขึ้นมาเฉย
ตอนนั้นรู้สึกว่า “ตัน” ฟังแล้วเอียน ๆ พิกล ด้วยช่องระยะห่างระหว่างท่อน ระหว่างวรรค ทำให้เพลงอืด ๆ เอื่อย ๆ และเอียน ร้องก็ยาก เพราะดันคำนวนคีย์ผิด อัดดนตรีสดไปก่อน แล้วขี้เกียจแก้แล้ว ก็เลยตามเลย ผลคือร้องคอเป็นเอ็น สูงจัด มีบางท่อนแหว่งไว้
เนื่องจากเสียงแหบอยู่ อัดแล้วมีแต่ลม ความรู้สึกตอนนั้นท้อแท้ ไม่ได้ดั่งใจ เวลาก็ไม่มีแล้ว แค่ทำเพลงในอัลบั้มก็แทบจะไม่ทัน ในใจคิดว่าหรือจะรื้อใหม่ไปเลย หรืออัดเวอร์ชันกีตาร์โปร่งไปก่อน อัลบั้มหน้าค่อยว่ากัน แต่ก็ไหน ๆ ทำมาแล้ว ก็ส่งไปให้ทีมค่ายฟังเล่น ๆ ไปก่อน เพิ่มจำนวนเพลง ทำให้ดูเหมือนขยัน (ฮ่า ๆ ๆ )
“เค้าชอบกันมากพี่ …” คุณยาทักมา
ผมก็เอ๊ะ ๆ ในใจ ตายานี่กะจะแกล้งคืนแน่ ๆ เลย ทำเป็นมามุกนี้ กะจะย้อนรอยที่ผมแกล้งไว้เยอะแน่ ๆ
“ตกลงเพลงนี้เป็นซิงเกิลต่อไปนะพี่ ...”
คุณยาพูดในอีกเดือนต่อมา ผมนึกเฮ้ยในใจ ตายานี่กะเล่นใหญ่ อำกันไม่จบไม่สิ้น มันไม่น่าจะใช่
“จริงงงง … เหรอ ...?”
ผมทิ้งเสียง พลางยิ้มเจื่อน ๆ ไม่รู้พูดเล่นพูดจริง
ภาพตัดกลับมาปัจจุบัน ฉากพี่อ๊อฟมานั่งตรงหน้า เกาคาง ทำหน้ากระอักกระอ่วน
“พี่อยากลอง …”
พี่อ๊อฟพูดยังไม่ทันครบประโยค
“ได้หมดเลยครับ ...” ผมตอบอย่างเร็ว
“ใจจริงกะจะทำเป็นแนวซินธ์ป็อปอยู่แล้วครับ แต่โลว์เทค เรียนรู้ไม่ทัน เลยออกมาเป็นแบบนี้
พี่อ๊อฟพอจะหาทีมทำดนตรีให้ได้ไหมครับ ?” ผมพูดชิงทำก่อนเลย
“อืมม ได้เลยยย เรามีน้องอยู่คนหนึ่ง เก่ง”
พี่อ๊อฟทิ้งเสียงยาว อารมณ์โล่งใจที่ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมนาน (ฮ่า ๆ ๆ )
น้องคนที่มาช่วยทำก็แสนจะโลกกลม เขาคือ “น้องพช” น้องที่มาช่วยอัดกีตาร์โปร่งสมัยทำเพลง “เก็บ“ เวอร์ชันอะคูสติกส์ให้พี่เบิร์ด สมัยนั้นผมไปทำงานกับทีมห้องอัด “การดี” ของพี่อ๊อฟ แล้วน้องอีกคนที่เป็นซาวนด์เอนจิเนียก็คือ ”น้องบอย“ ช่วงนั้นผมได้บ่นกับน้องบอยเรื่องหาคนมาอัดกีตาร์โปร่งให้พี่เบิร์ด บอยก็แนะนำให้รู้จักกับพจน์ ไม่นึกว่าจะได้วนกลับมาร่วมงานกับทั้งคู่อีกที คราวนี้ก็เลยจูนกันง่ายเลย เดโมแรกที่น้องพชทำมา ผมก็ชอบเลย แต่ความสนุกนั้นได้เริ่มต้นขึ้น …
ประเดิมวันแรกที่นัดกับน้องพช ระหว่างขับรถไปห้องอัด ก็มัวแต่ดูแผนที่จน “รถชน” ช่วงกำลังก้มดูโทรศัพท์ รถผมก็ไปจุ๊บแก้มก้นรถคันหน้า ต้องลงมาเคลียร์กันยาว แผนการอัดในวันนั้นมีอันต้องยกเลิกไป
อีกเรื่องใหญ่ เวอร์ชันน้องพช ได้มีการปรับจังหวะเพลงให้เร็วขึ้น ซึ่งแปลว่า
“ผมจะต้องร้องใหม่หมด !! คุณพระ”
เวลาทำเพลงที่มีอยู่ก็แทบจะทำไม่ทันอยู่แล้ว เสียงก็ยังแหบไม่ฟื้น อันนี้กลายเป็นสลับเอาเพลงใหม่มาเริ่มโหมทำกันใหม่ เรียกว่าลัดคิว เริ่มนับหนึ่งใหม่ พูดง่าย ๆ คือ “งานเข้า” เพลงซิงเกิลจะโหดตรงที่มีเวลาเดดไลน์มากำหนด ดังนั้นโอ้เอ้ไม่ได้ ตอนนั้นผมแอบนึกภาพคุณยานั่งยิ้มสะใจที่ผลกรรมตอนผมไปแกล้งเขานั้น ได้ติดจรวดคืนสนองผมแล้ว (ฮ่า ๆ )
“ร้องไม่ได้อารมณ์เดิม !!”
บางทีอาจเป็นอาการ “ติดเดโม” อย่างที่นักดนตรีมักเป็นกัน คือชินกับเวอร์ชันที่อัดไปแล้ว ทำอย่างไรก็ร้องไม่ได้ เสียงที่แหบก็ยังไม่หาย ร้องแล้วมันไม่ได้อารมณ์เหมือนเดโม แถมบางคำเสียงก็ยังแหบเหลือแต่ลม ทำอย่างไงกันดีล่ะทีนี้ ผมนึกในใจ
“งั้นลดคีย์”
การลดคีย์ เป็นวิธีแก้ทางเวลาร้องแล้วโหน ร้องไม่ถึง ร้องแล้วทรมาน แต่ข้อเสียคือ ต้องไปแก้ดนตรีที่ทำไว้ใหม่หมด โชคดีที่เพลงนี้หนักไปทาง Midi (ภาคดนตรีโปรแกรม ไม่ใช่ดนตรีอัดสด) ก็เดือดร้อนน้องพชต้องไปปรับดนตรีให้ใหม่อีกรอบ
ช่วงนั้นเมาหมัดกับการปั่นงาน บางวันเดินสายอัดเสียง 2 ห้องอัดเลย ไปทำห้องอัดนี้เสร็จ ตกดึกไปทำอีกเพลงอีกห้องอัดหนึ่งต่อถึงเช้า (ผลของการดองงานมานานนั่นเอง)
วันนั้นผมต้องเข้าไปอัดร้องในส่วนเพลงของที่พี่สองทำกับอีกทีม ก็คือ ”น้องหลวง วงจระเข้บัว“ วันนั้นอัดเพลงไปแล้วหนึ่งเพลง พอมาอัดเพลงนี้ก็เหมือนเริ่มกะดึก อัดร้องคีย์ต่ำลง เหมือนทำท่าจะดี แต่รู้สึกแหม่ง ๆ มันกั๊ก ๆ ในท่อนต่ำ
“ดีเลยพี่ ...” หลวงจระเข้บัว ตบมือฉาด ถูมือคึกคักฟิตปึ๋งปั๋ง ตรงข้ามกับผม ที่อ่อนระทวย ยวบยาบ
ผมก็บ้ายุ “เอาวะ” ก็ดันทุรังร้องไปจนจบเพลง ด้วยการบิ้วของน้องหลวง การอัดร้องจบลงด้วยการขอยอมแพ้ เพราะใกล้จะเช้าแล้ว ผมว่าผมโหลดร่างมายาวนาน ไม่น่าจะไหวแล้ว เลยขอพักก่อน แล้วก็เอาเพลงที่อัดกลับมาฟัง
วันรุ่งขึ้น พอได้พักหู แล้วลองฟังเทียบกับเวอร์ชันเก่า
“อารมณ์ไม่ได้ !”
เวอร์ชันใหม่ พอลดคีย์ต่ำลงแล้วเหมือนคนปลงชีวิต มากกว่าคนอกหัก การโหยหวนโอดครวญในของเดิมดูได้อารมณ์คนคิดถึงแฟนปานจะขาดใจมากกว่า ตัวแปรหลัก ๆ คือ เวลาที่เหลือน้อยนิด ทำอย่างไรดี ผมคิด
ถ้าอย่างนั้นก็ต้องกลับไปแก้แบบเวอร์ชันเดิม คราวนี้เอาจริงแล้ว แต่ด้วยความที่เพลงถูกปรับความเร็วให้เร็วขึ้น ผมก็เลยต้องขอเส้นร้องที่ปรับตามดนตรี เอามาวางเทียบเป็นแนวทางในการอัดร้อง ซึ่งเส้นร้องที่ได้นี้พอถูกปรับแล้ว เสียงจะมีความ “หนุ่มขึ้น“ ประมาณ 5-6 ปี (อิอิ) (แต่ถ้าปรับช้าลง เสียงจะยานคาง ดูแก่ลง ฮ่า ๆ ) โชคดีที่น้องพจน์ขยับจังหวะไม่มากจากเดิม เสียงเลยยังไม่เปลี่ยนมาก ถ้ามากไป จะเป็นเสียง ”ลูกกรอก“ หรือ “ชิปมังก์” ดูตลก
ผมอัดร้องไปด้วยความลนลานเร่งรีบ กดดันกับเวลาที่ใกล้เข้ามาทุกที เกิดอาการเปะปะ เกิดอาการ “เผางาน !”
ผมใช้วิธีสิ้นคิดสุด ๆ ด้วยการใช้เส้นร้องอันที่แปลงมานี่แหละ ร้องใหม่ไม่ทันแล้ว อีกทั้งก็รู้สึกอารมณ์มันได้แล้ว ร้องใหม่ก็ไม่ได้เหมือนเดิมสักที (เวลาบีบ) ก็เจาะเฉพาะบางประโยคไปแทน และอีกจุดเปลี่ยนที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นก็คือ
“การใช้ประโยคซ้ำ ๆ“
เรื่องนี้สะกิดต่อมอีโก้การแต่งเนื้อร้องของผมเป็นอย่างมาก ผมเป็นคนไม่ชอบการใช้เนื้อซ้ำซาก จะรู้สึกเพลงมันจืด แต่งไม่เก่ง ปกติถ้ามีประโยคซ้ำ ผมมักจะเปลี่ยนคำไส้ในนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งเหมือนวางกับดักตัวเอง จะจำยากเวลาร้องจริง ซึ่งเป็นที่มาของการร้องผิดบ่อย จนแฟนเพลงชอบแซว (แก้ตัว ฮ่า ๆ )
แต่เพลงนี้ทำไม่ทันจริง ๆ อาการหนักถึงขนาดที่ “ร้องนำเนื้อ” ก็คือบางประโยคดันร้องดี ได้อารมณ์ เกิดจากการร้องไปตามสัญชาตญาณ แต่คำผิดไวยากรณ์ ก็ปรับเนื้อเพลงใหม่ เปลี่ยนตามที่ร้องไปเลย (ฮ่า ๆ ) ส่วนเนื้อเพลงที่ปกติจะแต่งเติมก็ปล่อยวาง ใช้ร้องซ้ำ ๆ นี่แหละ เพราะเจาะร้องใหม่ไม่ทันแล้ว ปลอบใจตัวเองด้วยการปรับทัศนคติ
“ร้องซ้ำ ๆ คนจะได้จำง่าย!”
ก็ถือเป็นการทดลองไปอีกแบบ
ส่วนชื่อเพลงก็มีปัญหาอีก จริงแล้วเพลงอีกเพลงหนึ่งในอัลบั้มที่ทำไว้ก่อน จะชื่อเพลงว่า “คิดถึง” เหมือนกัน เพราะคำในเพลงท่อนฮุก คำว่าคิดถึงค่อนข้างเด่น ก็จำต้องเปลี่ยนชื่อเพื่อหลีกทางให้ กลายเป็น “หลุมรัก” ไปแทน
เพลงนี้ตอนแรกกะจะชื่อเพลงว่า “คิดถึง” ตามชื่อเดิมเลย แต่ถูกหลายคนในค่ายทักท้วง จริง ๆ ผมไม่สนใจเลยนะครับ เรื่องการ“ชื่อโหล” ชื่อซ้ำ แต่พอโดนค่ายทักเข้าหลาย ๆ รอบ ชักหวั่นไหว ก็เลยลองค้นหาชื่อเพลงดูทางโซเชียล ปรากฏว่ามีเพลงดังอยู่ 2 เพลง ซึ่งก็คือ
“คิดถึง” ของวง “Silly Fools” กับ
“คิดถึง” ของคุณ “หรั่ง ร็อกเคสตร้า”
(น่าแปลกที่ทั้ง 2 เพลง มีคนชื่อ “หรั่ง” มาเกี่ยวข้องทั้งคู่ (ฮ่า ๆ ))
แต่ละเพลงขึ้นหิ้งอมตะนิรันดร์การไปแล้ว ขอยอมแพ้ ใจอ่อนยอมเปลี่ยนชื่อเพลงแต่โดยดี คราวนี้ก็มานั่งคิดกัน ทางค่ายส่งชื่อมาให้หลายตัวเลือก เลือกไปก็สู้กันกับอีกใจที่ชอบชื่อเดิม เปะปะไปจนไม่รู้จะเลือกอะไร ก็สุ่มเลือก
“คิดถึง…ไม่ไหว” เล่นมุกตัดคำตรงกลางออก แหว่ง ๆ ดูวัยรุ่นจั๊กจี้หัวใจดี น่าจะไม่ซ้ำกับใคร (ส่วนตัวก็ยังรู้สึกเขิน ๆ ไม่ชิน อ่านแล้วดูยาว ๆ ขี้อ้อนพิกล) แต่ก็เอาแล้ว ทำอะไรไม่ทันแล้ว งานเร่ง ก็เอาตามนั้น
ส่วน MV ตอนแรกคิดเล่น ๆ ว่า จะเอาแค่ทำแอนิเมชันญี่ปุ่น AI สไตล์ชินไค ผู้หญิงนั่งเก้าอี้ฟอร์เรสท์กัมพ์มองอาคาร ให้เป็นบรรยากาศตั้งแต่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงสีส้มค่อย ๆ สลายกลายเป็นความมืด โดยมุมกล้องแช่ เห็นแต่ด้านหลังผู้หญิงนั่งมองตึก ลมพัดผมปลิว ใบไม้ล่องลอยผ่านไปมา นอกนั้นทุกอย่างอยู่นิ่ง จนถึงตอนค่ำ เห็นไฟจากห้องของตัวอาคารค่อย ๆ ดับลงทีละดวง จนเหลือห้องเดียวที่ยังคงเปิดไฟอยู่ไกล ๆ บนยอดตึก (ซึ่งนั่นก็คือ ห้องของคนที่ผู้หญิงรอ)
เอาแค่นี้ให้รับรู้ถึงอารมณ์แห่ง “ความคิดถึง” แต่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่เฝ้ามองดูอยู่ไกล ๆ ให้คนดูรู้สึกถึงความห่าง (ผมชอบมองดูไฟประภาคาร หรือไฟอาคารสูง เวลาดึก ๆ อยากรู้ว่าใครกำลังทำอะไรอยู่ในห้องนั้น มันได้อารมณ์เหงา ๆ แปลก ๆ ) เป็น MV กึ่ง ๆ คลิปวน แต่วนแบบได้อารมณ์เหงา ๆ
ทีแรกกะทำแค่นั้นพอ แต่เมื่อเพลงมีงบโปรโมต ค่ายจึงส่ง “น้องป๋อม” ทีมงานค่ายจีนี่ที่คุ้นเคยมาทำหน้าที่กำกับ MV ตัวนี้ น้องป๋อมก็ขยายความจากไอเดียเดิม ต่อยอดออกไปเป็นการเดินทางจากที่ทำงานกลับห้องแบบอึน ๆ เขาอยากล้อไปกับนางเอก MV เพลง “เขียนไว้ข้างเตียง” ที่นางเอกใส่ชุดพนักงานออฟฟิศ ชุดสีเนื้อ ๆ เพื่อเชื่อมกัน
ผมขอเพิ่มฉากผู้คนที่หลากหลายอารมณ์ความคิดถึง ความเหงา เศร้า ซึม และเก็บกด เก็บกลั้น อัดอั้น จนต้องระเบิดมันออกมาด้วยท่าทางต่างออกไป ทางค่ายบอกให้ผมเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแล MV ตัวนี้ด้วยเลย
ผมก็มาช่วยกันเลือกซีนต่าง ๆ จำได้ว่า เราวุ่นวายกับฉากสุดท้ายอยู่นาน ผมขอร้องให้ช่วยถ่ายฉากจบแบบนางเอกกลับมาห้องแล้วพุ่งลงเตียงระเบิดอารมณ์ที่เก็บกลั้นออกมา น้องลิลลี่ก็เล่นดีมาก ทีนี้ปัญหาไปเกิดเอาตอนมานั่งดูกัน ปรากฏว่าผมกลับรู้สึกว่า เสียงร้องไห้มันดังชัดไป พอชัดแล้วกลัวกลายเป็นละครน้ำเน่า ก็เลยลองเบาเสียงให้เหลือแต่ไมค์กล้องที่จะได้ยินเสียงฟ้าร้อง เสียงแอร์ เหลือแต่เสียงร้องไห้เบา ๆ ไกล ๆ (โชคดีที่วันถ่าย ฝนตกลงมาจริง เลยเพิ่มบรรยากาศอึน ๆ ได้อีก อิอิ)
เราแก้กันไปมากับฉากจบนี่หลายรอบมาก วุ่นกับความดังของเสียงร้องไห้ของนางเอกนี่แหละ ตอนแรกผมกะจะให้เบากว่านี้อีก เพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนเราได้เฝ้ามองตัวละครเขาเศร้าอยู่ไกล ๆ ยิ่งได้ยินเบา มันรู้สึกเหงาและเห็นใจเขา สงสารเขาได้ลึกดี แต่น่าจะเบาไป จนน้องป๋อมหวั่นใจ กลัวคนดูจะไม่ได้ยิน เราก็ปรับกันไปมากับไอ้ความดังเสียงตอนจบเนี่ยแหละ
จนมาถึงจุดตรงกลาง วิน ๆ กันทุกฝ่าย (ฮ่า ๆ ) ก็ออกมาอย่างที่เห็นกัน โดยผมขอร้องว่า ให้ทิ้งหางยาวปล่อยฟีลไปเลยจนจบ ไม่ต้องสนความยาว อยากให้คนดูได้รับรู้ถึงความรู้สึก “คิดถึง … แต่ทำอะไรไม่ได้” ช่วงอัดอั้นทำอะไรไม่ได้ นอกจากตะโกนใส่หมอนอยู่บนเตียง ความรู้สึกนี้มันช่างทรมานสำหรับคนอกหัก อยากขยี้ตรงจุดนี้
เราปล่อย MV ไป ได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ยอดคนดูปาไปหลักล้าน ผมคะนองใจ (อีกแล้ว) ทักไลน์ไปขอบคุณน้องพช พร้อมกับข้อความเดิมพันปลุกขวัญ (ไปอย่างนั้น) “ถ้าเดือนนี้ยอดวิวถึง 3 ล้าน เดี๋ยวจะพาไปซื้อกีตาร์โปร่งอย่างดีให้ตัวนึง” ไอ้ตอนที่โพล่งไปนี่ สารภาพเลยว่า ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้หรอกครับ
และแล้วผ่านไปใกล้สิ้นเดือน ก็มีเพื่อนแห่ทักมาบอกผมว่า “3 ล้านแล้วนะ !” ดีใจด้วยเว้ยยย ... ใจผมหายวาบไปอยู่ที่ตาตุ่ม … บรรยายไม่ถูกจริง ๆ ว่าควรรู้สึกอย่างไรดี …
ต้า Paradox
ป.ล. ในภาพ คือ เหตการณ์ตอนนั่งฟังเดโมจากโทรศัพท์ เป็นเพลงเพราะอีกหนึ่งเพลง ที่พี่อ๊อฟบอกว่าใช้ได้ เตรียมทำได้เลย ผมเปิดให้ฟังแก้เก้อไปอย่างนั้น ต่อจากคุยเรื่องเพลงคิดถึง อิอิ
โปรดติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม
ของพี่ต้า Paradox และ วง Paradox ได้ที่
💌 ส่งจดหมายคุยกันได้ทางอีเมล
Paradoxxxxxxxxxxx@gmail.com
📍 TikTok :
www.tiktok.com/@tatastudiothailand
📍 Youtube :
https://www.youtube.com/@sleepbytata
📍lnstagram :
https://instagram.com/tarparadoxs?igshid=YmMyMTA2M2Y=
📍 Facebook :
https://www.facebook.com/Tatastudiothailand
📍 Blockdit :
https://www.blockdit.com/tarparadox
📍lnstagram :
https://instagram.com/paradoxthailand?igshid=YmMyMTA2M2Y=
📍Facebook :
https://www.facebook.com/paradoxthailand
📍 Youtube :
https://youtube.com/@paradoxthai
ไลฟ์สไตล์
บันเทิง
เพลง
บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เรื่องเล่าเกี่ยวกับเพลงของวง Paradox
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย