13 ส.ค. เวลา 09:30 • ประวัติศาสตร์

SAAB JAS-39 Gripen, กรีเป้น/กรีเพน

เมื่อสองสามปีที่ผ่านมามีข่าวว่า กองทัพอากาศไทยเริ่มพิจารณาจัดซื้อเครื่องบินรบรุ่นใหม่มาทดแทน F-16 Fighting Falcon (เอฟ-16 ไฟท์ติ้งฟัลคอน) ที่เข้าประจำการมานานกว่า 30 ปีแล้ว
ในช่วงแรกที่ริเริ่มโครงการจัดหาอากาศยานมาทดแทนเอฟ-16 มีข่าวว่า กองทัพอากาศให้ความสนใจเครื่อง Lockheed F-35 Lightning II (เอฟ-35 ไลท์นิ่งทู ของบริษัทล็อกฮีท) แต่มีข่าวในเวลาต่อมาว่า สหรัฐอเมริกาปฏิเสธที่จะขายเอฟ-35 ให้กับประเทศไทย แม้จะไม่มีรายงานข่าวถึงเหตุผลที่ชัดเจน แต่ผู้เขียนก็มโนเอาเองว่า สหรัฐอเมริกาอาจไม่แน่ใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนที่จะแนบแน่นจนกลายเป็นการผลักสหรัฐอเมริกาออกห่างจากไทยหรือไม่
เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องที่มโนขึ้นมาลอยๆ เพราะข่าวในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นข่าวหนึ่งระบุว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาถึงกับยกเลิกคำสั่งซื้อเอฟ-35 จากตุรกีในทันทีที่มีข่าวว่า ตุรกีจัดซื้อขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศที่เรียกกันว่า จรวดแซม (SAM Surface to Air Missile) จากรัสเซียมาประจำการ น่าจะเป็นเพราะไม่แน่ใจว่า ตุรกีจะยอมให้วิศวกรจากรัสเซียมาศึกษาเอฟ-35 หรือเปล่า
แต่ไม่ว่าสหรัฐอเมริกาจะปฏิเสธการขายเอฟ-35 ให้ไทยด้วยเหตุผลใด ที่แน่ใจได้คือ การซื้อเอฟ-35 น่าจะเป็นเรื่องที่หนักกำลังทรัพย์ของไทยเอาเรื่องอยู่ เพราะราคาเอฟ-35 พร้อมอาวุธและการฝึกอบรมการใช้งานจนกระทั่งใช้งานได้จริง มีราคาราว 147 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อเครื่อง (จากรายงานการขายให้ฟินแลนด์ แต่มีข่าวว่าขายให้ญี่ปุ่นในราคา 120 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งก็นับว่าสูงมาก นี่ยังไม่นำค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการออกปฏิบัติการต่อชั่วโมงมาคิดรวมนะ
ข่าวในเวลานั้นระบุว่า กองทัพอากาศไทยแถลงว่า เอฟ-35 มีราคาเพียง 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ก็มีข่าวแย้งว่า ที่ราคากองทัพอากาศไทยแถลงนั้น เป็นราคาเครื่องเปล่าแถมยังเป็นราคาที่บริษัท ล็อกฮีทขายให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ออกเงินทุนให้ล็อกฮีททำวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ไม่น่าจะใช่ราคาที่ขายให้ประเทศอื่นๆ
หลังจากนั้น กองทัพอากาศไทยก็หันไปพิจารณาซื้อ JAS-39 Gripen จากบริษัท SAAB ของสวีเดนแทน
เมื่อเกิดการปะทะกันบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชาของกองทหารทั้งสองประเทศ คนไทยจำนวนไม่น้อยต่างหันมาให้ความสนใจกับเครื่องบินรบของไทยที่ออกปฏิบัติการยับยั้งการโจมตีของกองทหารกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Gripen (กรีเพน/กรีเป้น) อันเป็นเครื่องบินรบยุคที่ 4/4.5 ของสวีเดน
อันที่จริงกรีเป้น เป็นเครื่องบินรบที่กองทัพอากาศไทยรับเข้าประจำการมานานหลายปีแล้ว โดยจัดซื้อมาใช้งานครั้งแรก 12 เครื่อง แต่ประสบอุบัติเหตุตกไปหนึ่งเครื่องจึงเหลืออยู่ประจำการเพียง 11 เครื่อง โดยไม่มีการจัดซื้อเพิ่มอีก
ก่อนการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชาเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กรีเป้นตกเป็นข่าวครั้งหนึ่ง เมื่อกองทัพอากาศไทยทดสอบนำกรีเป้นบินขึ้นลงจากทางหลวงแผ่นดิน ข่าวนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก และอาจจะน่าสนใจมากกว่าประสิทธิภาพในการรบของกรีเป้นด้วยซ้ำไป เพราะนี่คือคุณสมบัติอันโดดเด่นที่แท้จริงของกรีเป้น
การทำความเข้าใจถึงคุณสมบัติที่ว่า เราคงต้องกลับมาทำความเข้าใจกับแนวคิดทางยุทธวิธีในการใช้แสนยานุภาพทางอากาศเพื่อป้องกันตนเองของสวีเดน ซึ่งเป็นผู้ออกทุนให้บริษัท SAAB (ซาบ) วิจัยและพัฒนาสร้างกรีเป้นขึ้นมา และคงต้องย้อนกลับไปเริ่มต้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โน่นเลย
...
แนวคิดทางยุทธวิธีในการใช้เครื่องบินรบเพื่อป้องกันการรุกรานของสวีเดนตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (1945) เป็นต้นมา สะท้อนถึงความพยายามรักษาสมดุลระหว่างความเป็นกลาง (Neutrality) และความจำเป็นในการปกป้องอธิปไตยของชาติด้วยทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด แต่มีสภาพภูมิศาสตร์ที่ท้าทาย เพราะถึงแม้ว่า สวีเดนจะไม่มีพรมแดนติดกับสหภาพโซเวียต แต่ก็ไม่ได้อยู่ไกลเกินพิสัยปฏิบัติการของเครื่องบินรบของสหภาพโซเวียตหรือรัสเซียในปัจจุบัน
วิวัฒนาการของแนวคิดทางยุทธวิธีฯ ที่กล่าวมาข้างตัน เห็นได้จากการออกแบบเครื่องบินรบของบริษัท ซาบ และหัวใจของกลยุทธการป้องกันที่เน้นความยืดหยุ่น ความอยู่รอด และประสิทธิภาพในงบประมาณจำกัด ซึ่งจะแบ่งออกเป็นช่วงๆ ดังนี้
1. ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (1945-1950s): วางรากฐานการป้องกันภัยทางอากาศ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สวีเดนยึดมั่นในนโยบายความเป็นกลางอย่างเข้มงวด โดยมองว่า ภัยคุกคามหลักมาจากการรุกรานทางอากาศจากสหภาพโซเวียต สภาพภูมิศาสตร์สวีเดน มีทั้งพื้นที่ป่า ภูเขาและชายฝั่งทะเลที่ค่อนข้างยาว กองทัพอากาศจึงต้องมีความสามารถป้องกันน่านฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กล่าวคือ เน้นการใช้เครื่องบินขับไล่ (Fighter Aircraft) เพื่อสกัดกั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดของผู้รุกราน ประกอบกับการกระจายฐานปฏิบัติการ เพื่อลดความเสี่ยงจากการโจมตีฐานทัพอากาศโดยตรง สวีเดนพัฒนาแนวคิด BAS 60 (ระบบฐานทัพอากาศ 60 Flygbassystem 60) ที่ใช้ถนนสาธารณะในพื้นที่ชนบททั่วประเทศเป็นรันเวย์ร่วมกับการตั้งฐานบินชั่วคราว เพื่อให้แนวคิดนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ สวีเดนก็ต้องเป็นอิสระจากมหาอำนาจไม่ว่าฝ่ายใดๆ ก็ตาม รัฐบาลสวีเดนจึงลงทุนในอุตสาหกรรมการบินภายในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาต่างชาติ
เครื่องบินรบที่พัฒนาขึ้นมาบรรจุเข้าประจำการในกองทัพอากาศสวีเดนในช่วงนี้มี SAAB J-21 (1943-1949) อันเป็นเครื่องบินขับไล่แบบใบพัดรุ่นแรกที่ถูกออกแบบให้คล่องตัวและสามารถขึ้น-ลงรันเวย์ระยะสั้นๆ ได้ และ SAAB J-29 Tunnan (1950s) อันเป็นเครื่องบินเจ็ทรุ่นแรกของสวีเดนที่มีความเร็วสูง (1,060 กม./ชม.) และออกแบบให้บินในสภาพอากาศหนาวเย็นของสวีเดนได้ดี
ยุทธวิธีการรบของเครื่องบินยุคนี้ เน้นการสกัดกั้น (Interception) ข้าศึกเหนือน่านฟ้าของประเทศ โดยใช้เครื่องบินที่มีความเร็วและความคล่องตัวสูง ทำงานร่วมกับเรดาร์ภาคพื้นดิน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีเครื่องบินรบของสวีเดนในยุคนี้รุ่นใดโดดเด่นนัก
2. ช่วงสงครามเย็น (1960s-1980s) เป็นช่วงเวลาในการพัฒนาระบบป้องกันแบบบูรณาการ กล่าวคือ ในช่วงสงครามเย็น สวีเดนเผชิญภัยคุกคามจากทั้งกลุ่ม NATO และกลุ่ม Warsaw Pact โดยเฉพาะสหภาพโซเวียตที่มีกองทัพอากาศขนาดใหญ่และขีปนาวุธข้ามทวีป ประกอบกับลักษณะทางภูมิศาสตร์ของสวีเดนที่อยู่ใกล้ทะเลบอลติก จึงต้องป้องกันการรุกรานทั้งทางอากาศและทางทะเล
แนวคิดยุทธวิธีในยุคนี้ ตั้งอยู่บนมุมมองทางยุทธการที่ฝ่ายรุกรานจะมุ่งทำลายฐานบินหลักของฝ่ายตรงกันข้ามก่อนเสมอ
มุมมองนี้ เห็นเป็นรูปธรรมได้ในปฏิบัติการพายุทะเลทราย (Operation Desert Storm) อันเป็นช่วงที่ 2 สงครามอ่าวเปอร์เชีย (Gulf War) โดยเริ่มด้วยการโจมตีทิ้งระเบิดทางอากาศ (aerial bombing) ต่ออิรักในวันที่ 17 มกราคม 1991 และจบลงในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ปีเดียวกัน
ในปฏิบัติการนี้ กองทหารฝ่ายพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกาตั้งหน้าตั้งตาส่งฝูงบินดาหน้าเข้าถล่มกองกำลังทั้งทางบกและทางอากาศของอิรักทั้งในคูเวตและในอิรักจนหมดพิษสงก่อนจะส่งกองกำลังภาคพื้นดินเข้าไปยึดพื้นที่และปลดปล่อยคูเวตจากการยึดครองเมื่อกองทหารอิรักถอนกำลังออกจากคูเวต
แนวคิดฯ นี้ปรับเปลี่ยนจาก BAS 60 มาเป็น BAS 90 โดยกระจายฐานทัพออกไปมากขึ้น รวมทั้งใช้ถนนและฐานบินลับในพื้นที่ป่ารองรับการปฏิบัติการในภาวะสงครามที่ฐานบินหลักถูกทำลาย เพื่อเน้นการอยู่รอดจากการโจมตีระลอกแรก และใช้เครื่องบินแบบพหุภารกิจ (Multirole) ที่เปลี่ยนจากการใช้เครื่องบินขับไล่เฉพาะภารกิจไปสู่การใช้เครื่องบินที่ปฏิบัติภารกิจได้ทั้งอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้น ทั้งยังเน้นการเข้าปะทะเครื่องบินข้าศึกได้ในเวลาอันสั้น (Short Engagement) ก่อนที่สถานที่สำคัญภายในประเทศจะถูกโจมตี
การจะทำแบบนี้ได้ก็ต้องอาศัยการซ่อม-เติมเชื้อเพลิงทำได้อย่างรวดเร็วที่ปฏิบัติการโดยทหารเกณฑ์ตามแนวทาง "Fast Turnaround"
นอกจากนี้ ยังปรับการป้องกันเป็นแบบบูรณาการที่ผสานเครื่องบินรบเข้ากับเรดาร์ภาคพื้นดิน ระบบป้องกันภัยทางอากาศ (SAM) และหน่วยข่าวกรอง ให้เป็นเครือข่ายป้องกันรวมทั้งให้ความสำคัญกับสงครามอิเล็กทรอนิกส์ที่เน้นการรบกวนเรดาร์และการสื่อสารของศัตรู อันเป็นการชดเชยข้อจำกัดด้านจำนวนเครื่องบิน
เครื่องบินรบที่เด่นๆ ในยุคนี้ มี SAAB J-32 Lansen (1950s-1970s) อันเป็นเครื่องบินเจ็ทที่ออกแบบสำหรับภารกิจโจมตีภาคพื้นดินและลาดตระเวนซึ่งติดตั้งระบบเรดาร์ขั้นสูงในสมัยนั้น แต่ที่โดดเด่นมากที่สุดในยุคนี้คือ
- SAAB J-35 Draken (1960s-1990s) เครื่องบินขับไล่ที่มีปีกแบบ Double Delta Wing มีความเร็วสูงถึงมัค 2 ที่ถูกออกแบบให้ขึ้นบินสกัดกั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดได้ในเวลาสั้นๆ และติดตั้งขีปนาวุธนำวิถี ตลอดจนระบบนำร่องอิสระและเซ็นเซอร์ในตัว
- SAAB JA-37 Viggen (1970s-2000s) เครื่องบินรบแบบพหุภารกิจรุ่นแรก ที่มีขีดความสามารถปฏิบัติภารกิจทั้งขับไล่ โจมตีภาคพื้นและลาดตระเวน ซึ่งใช้ทางหลวงที่มีความกว้างเพียง 17 เมตรระยะสั้นๆ เป็นรันเวย์ (STOL, Short Takeoff and Landing) ทั้งยังติดตั้งเรดาร์ PS-46/A ที่ทันสมัยในเวลานั้น ประกอบกับการบินระดับต่ำ (Low-Level Flying) เพื่อหลบเลี่ยงเรดาร์ศัตรู โดยติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านเรือผิวน้ำ อย่าง RBS-15 เพื่อป้องกันการรุกรานจากทะเลบอลติก
นอกจากนี้ Viggen ยังเป็นเครื่องบินรบรุ่นแรกที่ใช้ทหารเกณฑ์ซ่อมบำรุงก่อนจะออกปฏิบัติภารกิจแต่ละครั้งได้ในเวลาไม่ถึง 10 นาที
J-35 Draken เป็นเครื่องบินรบของสวีเดนรุ่นแรกที่ผู้เขียนรู้จักผ่านมังงะเรื่อง Area 88 ผลงานของชินทานิ คาโอรุ (Shintani Kaoru 新谷 かおる) ที่มีลายเส้นแบบมังงะสำหรับเด็กผู้หญิงเสียมากกว่าจะมาเขียนเรื่องเกี่ยวกับสงคราม
แอเรีย 88 (エリア88/Eria Hachi-Jū-Hachi) เป็นมังงะญี่ปุ่น เกี่ยวกับปฏิบัติการรบของฝูงบินจากแอเรีย 88 ของอัสแลนด์ ประเทศสมมุติในแถบตะวันออกกลาง เรื่องราวกล่าวถึง ชิน คาซามะ, มิกกี้ ไซมอน, เกร็ก สามทหารเสือแห่งหน่วยทหารรับจ้างต่างด้าวของกองทัพอากาศอัสแลนด์ นักรบรับจ้างต่างชาติแต่ละคน มาเป็นทหารรับจ้างที่แอเรีย 88 ด้วยปูมหลังอันน่าเศร้า
มังงะเรื่องนี้ ยังระดมเอาเครื่องบินรบที่เด่นๆ ทั้งของฝ่ายโลกเสรีและค่ายคอมมิวนิสต์มาเป็นตัวละครไร้ชีวิตแบบที่เรียกว่าแทบจะครบทุกโมเดลไม่เว้นแม้แต่เครื่องบินวิจัยของ NASA อย่าง X-29
โพสต์หน้า ผู้เขียนเลยจะขอแวะไปทบทวนความหลังกับเครื่องบินรบอย่าง J-35 Draken สักหน่อย เพราะ J-35 Draken เป็นเครื่องบินรบที่แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของอุตสาหกรรมการบินของสวีเดนที่น่าทึ่งไม่น้อย
...
ยังมีต่อ
.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา