14 ส.ค. เวลา 09:30 • ประวัติศาสตร์

J-35 Draken, โดรเก้น/ดราเค่น

#Gripen #กรีเพน #กรีเป้น
#J35Draken
SAAB J-35 Draken (เจ-35 ดราเค่น/โดรเก้น) เครื่องบินปีกสามเหลี่ยมคู่ (Double Delta Wing) ของสวีเดนเป็นผลผลิตจากแนวคิดที่กล้าปฏิวัติพร้อมทั้งปลดปล่อยการออกแบบพัฒนาเครื่องบินรบให้เป็นอิสระจากกรอบความคิดเดิมๆ โดยสิ้นเชิง และเข้าประจำการในกองทัพอากาศสวีเดนและประเทศต่างๆ อย่างยาวนานกว่า 40 ปีนับตั้งแต่เริ่มออกบินเที่ยวแรก (Maiden Flight) ในเดือนตุลาคม 1955 จนกระทั่งเครื่องสุดท้ายถูกปลดประจำการจากกองทัพอากาศออสเตรียในปี 2005
โดรเก้นเป็นเครื่องบินขับไล่แบบเจ็ทความเร็วเหนือเสียงรุ่นแรกของสวีเดนที่วิจัยและพัฒนาโดยบริษัท SAAB (ซาบ) ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 ถึง 1950 อันเป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของซาบ เพราะใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีนับตั้งแต่พัฒนาเครื่องบินยุคที่ 1 (1st Generation) อย่าง SAAB J-29 Tunnan ที่เทียบได้กับ F-86 ของบริษัท North American ที่เคยเข้าประจำการในกองทัพอากาศไทย และ SAAB​ J-32 Lansen
คุณลักษณะจำเพาะของเครื่องบินรบตามความต้องการของกองทัพอากาศสวีเดนที่นำไปสู่การออกแบบและพัฒนาโดรเก้น ถูกกำหนดขึ้นในปี 1949
ในเวลานั้น เครื่องบินปีกสามเหลี่ยม (Delta Wing) และการบินด้วยความเร็วเหนือเสียง (Supersonic Flight) ยังเป็นเพียงแนวคิดบนกระดาษ มิพักต้องพูดถึงความสามารถในการปฏิบัติการขั้นสูงและระบบเรด้าร์ประจำเครื่อง (Onboard Radar)
โดรเก้นเป็นเครื่องบินที่ก้าวล้ำในยุคสมัยด้วยการออกแบบไม่เหมือนใคร รูปทรงของปีกแบบสามเหลี่ยมคู่ (Double Delta Wing) ที่ปีกส่วนในทำมุมแคบกับลำตัวโดยปีกส่วนนอกทำมุมกว้าง ซึ่งแตกต่างจากเครื่องบินปีกสามเหลี่ยมแท้ (Pure Delta Wing) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้น อย่าง Convair F-102 ของสหรัฐอเมริกา หรือ Dassault Mirage III ของฝรั่งเศส
ด้วยเหตุที่ปีกสามเหลี่ยมคู่ มีลักษณะพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อน ซาบจึงต้องทดสอบประสิทธิภาพของรูปทรงปีกด้วยการสร้าง SAAB 210 Lill Draken (210 ลิลโดรเก้น/มังกรน้อย) เป็นเครื่องบินรุ่นวิจัยทดลองซึ่งออกบินครั้งแรกในปี 1952 และมีขนาดเพียง 70% ของต้นแบบของโดรเก้น แต่ใช้เครื่องยนตร์ Armstrong Siddeley Adder ของอังกฤษที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องยนตร์ที่ตั้งใจจะใช้กับต้นแบบของโดรเก้นมาก
ผลการทดลองพบว่า ลิลโดรเก้นมีความสามารถปฏิบัติการในระดับต่ำซึ่งจำเป็นต้องขยายปลายจมูกเครื่องบินให้ยาวขึ้นกว่าเดิมเพื่อปรับปรุงการไหลของอากาศเข้าช่องรับอากาศ แต่ข้อมูลที่ได้จากการวิจัยก็ยืนยันว่า รูปทรงปีกสามเหลี่ยมคู่ เป็นรูปทรงที่มีประสิทธิภาพอย่างที่คาดหวัง และนำไปสู่การสร้างโดรเก้นต้นแบบ
โดรเก้น J-35A ขึ้นบินเที่ยวแรกในวันที่ 25 ตุลาคม 1955 โดยใช้เครื่องยนตร์ Rolls-Royce Avon ที่วอลโว่ซื้อลิขสิทธิ์จากโรลล์ส-รอยซ์มาผลิตเองในชื่อ Volvo RM6B และใช้อาฟเตอร์เบิร์นเนอร์ (Afterburner) ของวอลโว่เองซึ่งให้แรงขับถึง 17,110 ปอนด์ (76.1 kN) มากกว่ารุ่นที่ใช้อาฟเตอร์เบิร์นเนอร์ของโรลล์สรอยซ์เสียอีก
ระบบอาวุธมาตรฐานของโดรเก้นประกอบด้วย ปืนกลอากาศ Aden ขนาด 30 มม.ที่มีอัตราการยิง 1,200 นัดต่อนาที จำนวน 2 กระบอก และ ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ (air to air missile/AAM) แบบ Rb 24 (AIM-9B Sidewinder) นำวิถีด้วยอินฟราเรด พิสัย 18-35 กม. ในขณะที่รุ่น F จะติดตั้ง Rb 27 (Falcon Missile) นำวิถีด้วยเรดาร์กึ่งแอคทีฟ พิสัยประมาณ 50 กม. หรือ Rb 28 (Falcon Missile) นำวิถีด้วยอินฟราเรดอีก 2 นัด ส่วนในรุ่นส่งออกมีขีดความสามารถใช้ขีปนาวุธแบบ Sidewinder (AIM-9) ได้ทุกรุ่น
โดรเก้น J-35A เข้าประจำการในกองทัพอากาศสวีเดนในปี 1960 เป็นรุ่นแรกสุดที่เน้นภารกิจสกัดกั้น โดรเก้นรุ่นต่อๆ มาต่างได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น อาทิ
- ปรับปรุงระบบอิเล็กทรอนิกส์และเรดาร์ในรุ่น J-35B,
- ติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์เพื่อปรับปรุงให้เป็นเครื่องบินลาดตระเวณรุ่น S-35E,
- อัพเกรดเครื่องยนต์ให้แรงขับสูงขึ้นในรุ่น J-35D อันเป็นรุ่นแรกของสวีเดนและของยุโรปตะวันตกที่บินได้เร็วถึงมัค 2 (2 เท่าของความเร็วเสียง),
- ติดตั้งเรดาร์ PS-03 และขีปนาวุธ Rb 27/28 ในรุ่น J-35F (ปี 1965),
- เพิ่มระบบ avionics และขีปนาวุธทันสมัยในรุ่น J-35J (ทศวรรษ 1980),
โดยรุ่น F และ J เป็นรุ่นที่มีความสามารถปฏิบัติการแบบเอนกภารกิจที่รวมถึงการโจมตีภาคพื้นและลาดตระเวน
แม้ในช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สวีเดนจะมีนโยบายห้ามส่งออกอาวุธ แต่คำสั่งซื้อโดรเก้นจากเดนมาร์กก็ได้รับการอนุมัติในปี 1968 เป็นรายแรกโดยเดนมาร์กสั่งซื้อโดรเก้นรุ่นส่งออก F-35 และTF-35 (รุ่นฝึก) รวมทั้งสิ้น 51 ลำ รุ่นส่งออกนี้ยังขายให้กับฟินแลนด์ราว 50 ลำ และออสเตรียอีก 24 ลำในช่วงทศวรรษ 1980
ปีกสามเหลี่ยมคู่ของโดรเก้นมีส่วนเพิ่มแรงยกปีกที่ความเร็วต่ำและเอื้อให้ใช้ทางหลวงหรือถนนสาธารณะที่ยาวเป็นเส้นตรงระยะทาง 800-1,000 ม. เป็นรันเวย์สั้นๆ ได้ตามแนวคิด BAS 60 ที่จะกระจายฐานปฏิบัติการและเพิ่มความอยู่รอดในสงคราม
ยิ่งไปกว่านั้น โดรเก้นยังถูกออกแบบให้บำรุงรักษาได้ง่ายโดยทีมซ่อมบำรุงขนาดเล็กที่ใช้ทหารเกณฑ์เป็นบุคลากรและใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีในการเติมเชื้อเพลิงและอาวุธก่อนจะออกปฏิบัติการได้
ทว่า โดรเก้นมีความสามารถพิเศษอันสำคัญที่สุดซึ่งมักจะถูกมองข้ามโดยตลอดคือ ระบบเชื่อมโยงข้อมูลหรือเดต้าลิ้งค์ (Data-Link System) รุ่น STRIL 60 อันเป็นระบบเดต้าลิ้งค์ระบบแรกๆ ของโลกก่อนที่ระบบเดต้าลิ้งค์จะกลายเป็นระบบมาตรฐานประจำเครื่องบินรบสมัยใหม่ในยุคต่อๆ มา
STRIL 60 เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบเฝ้าระวังภาคพื้นดินที่จะแสดงผลบนแผงควบคุมในห้องนักบิน (Cockpit) เพื่อช่วยนักบินในการตัดสินใจออกอาวุธ ระบบ STRIL 60 ยังต้านทานการรบกวนทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic jamming) ได้ด้วย
โดรเก้นเป็นเครื่องบินที่ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การบิน จากปัญหาด้านเสถียรภาพในการบินอันเกิดเป็นผลของการใช้ปีกรูปทรงสามเหลี่ยมคู่ กล่าวคือ รูปทรงของปีกแบบสามเหลี่ยมคู่ที่ผิดแผกจากปีกสามเหลี่ยมทั่วๆ ไป และเป็นต้นเหตุของแนวโน้มที่จะเกิดลักษณะของท่าทางบินอันไม่น่าพิสมัย นั่นคือ อาการสูญเสียแรงยกอย่างฉับพลัน (super-stall)
อาการสูญเสียแรงยกปีก (stall) เป็น สภาวะที่เครื่องบินสูญเสียแรงยกปีกจนไม่อาจรักษาระดับการบินได้ และจะร่วงหล่นลง อาการสูญเสียแรงยกเกิดจากปัจจัยหลากหลายประการ หนึ่งในนั้นคือ การเปิดมุมปะทะของปีกเครื่องบินกับกระแสลมที่เรียกกันว่า Angle of Attack โดยการเชิดหัวเครื่องบินขึ้นอย่างรวดเร็วที่ความเร็วต่ำ
โดยทั่วไป ยิ่งเปิดมุมปะทะสูง ก็ยิ่งจะได้แรงยกมาก อย่างไรก็ดี หากเปิดมุมปะทะเกินระดับวิกฤตแล้ว แรงยกปีกกลับจะลดลงอย่างฮวบฮาบรวดเร็ว นั่นคือ อาการสูญเสียแรงยก (stall) ซึ่งมีผลให้เครื่องดิ่งลงโหม่งโลกได้ นักบินจะต้องแก้ไข (stall recovery) โดยลดมุมปะทะของปีก และเพิ่มความเร็วของเครื่องบินเพื่อสร้างแรงยกกลับมา
ในระหว่างการฝึกบิน กองทัพอากาศสวีเดนสูญเสียโดรเก้นไปหลายเครื่องจากอาการ super-stall จนกองทัพอากาศสวีเดนต้องจัดการฝึกท่าบินที่ใช้แก้ไขอาการเช่นว่า (stall recovery) โดยนักบินชาวสวีเดนค้นพบและใช้งานท่าบินนี้ในทศวรรษ 1960 ซึ่งนักบินสวีเดนเรียกท่าบินนี้ว่า "Kort Parad" (Short Parry) แต่ในเวลาต่อมา ท่าบินนี้ถูกเรียกในวงการทหารนานาชาติว่า "ท่าบินงูเห่า" (Cobra Maneuver)
ในปี ค.ศ. 1989 พันเอก วิกตอร์ ปูกาชอฟ (Viktor Pugachev) นักบินทดสอบชาวโซเวียต ใช้ท่าบินงูเห่าสร้างชื่อเสียงเลื่องลือให้กับเครื่องบินรบของสหภาพโซเวียต เมื่อแสดงท่าบินนี้ด้วยเครื่องบินรบ Sukhoi Su-27 ในงาน Paris Air Show แต่ที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านการบินจากชาติตะวันตกเป็นอย่างมาก มาจากการที่ปูกาชอฟทำท่าบินงูเห่า (Cobra Maneuver) ด้วยมุมปะทะสูงกว่า 90 องศาซึ่งไม่มีเครื่องบินของค่ายโลกเสรีรุ่นใดทำได้มาก่อนหน้านั้น
"ท่าบินงูเห่า" (Cobra Maneuver) ไปปรากฎตัวในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่องดังอย่างน้อยสองเรื่องคือ Top Gun (1986) และ Top Gun: Maverick (2022) และภาพยนตร์เกาหลีอีกหนึ่งเรื่องคือ R2B: Return to Base (2012)
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์และรายงานการสู้รบที่เคยถูกเปิดเผยแล้ว ไม่มีรายงานยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ท่าบิน Cobra maneuver เคยถูกนำไปใช้จริงในสงครามหรือการรบกลางอากาศ
ในการทำท่าบิน Cobra เครื่องบินจะสูญเสียความเร็วและพลังงานจลน์ (kinetic energy) ไปอย่างมากและรวดเร็ว ซึ่งในสถานการณ์การรบจริง การสูญเสียความเร็วเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้เครื่องบินตกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายจากเครื่องบินข้าศึกที่ยังคงมีเสถียรภาพในการบินอยู่
ยิ่งในการรบกลางอากาศสมัยใหม่ที่มีขีปนาวุธอากาศสู่อากาศระยะกลาง (Beyond Visual Range) ใช้งาน การทำท่าบินนี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่อาจทำให้เครื่องบินตกอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบอย่างมาก
ท่า Cobra maneuver จึงเป็นเพียงท่าบินที่ใช้ประโยชน์ในการทดสอบสมรรถนะของเครื่องบินในมุมปะทะสูง (High Angle of Attack) โดยไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการรบจริง ท่าบิน Cobra maneuver จึงยังคงมีสถานะเป็นเพียงท่าสาธิตอันน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าจะเป็นยุทธวิธีที่ใช้งานในสมรภูมิรบจริง
แม้ไม่เคยถูกใช้ปฏิบัติการในสงครามเต็มรูปแบบ แต่โดรเก้นก็มีบทบาทในการสกัดกั้นเครื่องบินโซเวียตที่รุกล้ำน่านฟ้าสวีเดนในช่วงสงครามเย็นมาโดยตลอดจนถูกปลดประจำการจากกองทัพอากาศสวีเดนในปี 1999 และประเทศอื่นๆ ทะยอยปลดประจำการในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ปัจจุบันบางลำถูกเก็บรักษาในพิพิธภัณฑ์หรือใช้ในงานแสดงการบิน
แม้จะมีข้อจำกัดด้านพิสัยบินและอาวุธเมื่อเทียบกับเครื่องบินสมัยใหม่รุ่นหลัง แต่โดรเก้นก็เป็นเครื่องบินรบที่แสดงถึงอัจฉริยภาพของสวีเดนทางด้านเทคโนโลยีการบินที่ล้ำสมัยในงบประมาณอันจำกัด และด้วยรูปทรงปีกแบบสามเหลี่ยมคู่เมื่อประกอบกับแนวคิด BAS 60 ก็เป็นนวัตกรรมที่ส่งต่อเป็นมรดกอันทรงอิทธิพลต่อเครื่องบินรบรุ่นต่อมาของสวีเดน นั่นคือ แนวคิดในการปฏิบัติการจากถนนสาธารณะ การบำรุงรักษาง่ายและความยืดหยุ่นในการออกแบบที่ส่งต่อมายัง JA-37 Viggen และ JAS-39 Gripen
...
ยังมีต่อ
.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา