14 ส.ค. เวลา 04:35 • สุขภาพ

Theory of Mind กับเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม: ความเข้าใจ ความบกพร่อง และแนวทางส่งเสริม

ผมเพิ่งมากได้ยินคำว่า Theory of Mind ก็ช่วงที่เรียนปริญญาเอกด้านการศึกษาพิเศษ แม้ว่าผมจะเป็นครูการศึกษาพิเศษมาหลายปีแล้วก็ตาม สิ่งนี้กระชับมุมมองของผมให้ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับภาวะออทิซึมได้อย่างดี และเมื่อผมศึกษาเพิ่มเติมก็พบว่า Theory of Mind คือสิ่งที่สำคัญไม่จำเป็นเฉพาะกับเด็กออทิซึมฯ แต่คือสิ่งที่เราทุกคนควรจะส่งเสริมและพัฒนาทั้งมุมมองและสมองในส่วนนี้ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
Theory of Mind (ToM) คือความสามารถในการเข้าใจว่า “คนอื่นมีความคิด ความเชื่อ ความรู้ ความต้องการ” ที่อาจต่างจากของเรา และความเชื่อของเขาอาจผิดจากความเป็นจริงก็ได้ เป็นรากฐานสำคัญของการสื่อสารแบบมีความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่มีคุณภาพ ในเด็กปกติ ToM เริ่มพัฒนาตั้งแต่ปีแรกของชีวิตและมีความก้าวหน้าขึ้นตามลำดับอายุ
ToM พัฒนาผ่านระยะต่าง ๆ ที่เริ่มต้นจากพฤติกรรมการมองตามสายตา หรือร่วมสนใจ (joint attention) ในช่วงขวบปีแรก เด็กวัยประมาณ 4 ขวบสามารถเข้าใจแนวคิดความเชื่อเท็จ (False belief) ได้ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของพัฒนาการด้าน ToM (Baron-Cohen et al., 1985) และต่อมาสามารถเข้าใจการประชดประชัน หรือความเชื่อซ้อนซับในระดับที่เรียกว่า Second-order belief (พิจารณาผลกระทบที่ตามมาหลังจากผลลัพธ์ในลำดับแรก) ได้ในวัยประถม
ยกตัวอย่างเช่น เพื่อนซ่อนขนมไว้ในกล่อง A ระหว่างที่เขาไม่อยู่มีคนย้ายไปกล่อง B เด็กที่มี ToM จะตอบว่า “เพื่อนจะไปหาใน A” เพราะ เพื่อนไม่รู้ ว่ามีการย้าย แต่ในทางกลับกันเด็กออทิซึมฯ ความสามารถนี้มักมีข้อจำกัด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อความเข้าใจบริบททางสังคม การตีความเจตนา และการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น
ตัวอย่างเช่น ในชั่วโมงกิจกรรมกลุ่ม ครูวางของเล่นหุ่นยนต์ไว้บนโต๊ะแล้วเดินออกจากห้อง เด็กคนหนึ่งหยิบของเล่นไปเก็บในกล่องสีแดง เมื่อครูกลับมาและถามเด็กอีกคนซึ่งเป็นเด็กออทิซึมฯ ว่า “ครูจะหาของเล่นในกล่องไหน” เด็ก (ออทิซึมฯ) ตอบทันทีว่า “กล่องสีแดง” เพราะเขารู้ว่าของเล่นอยู่ในกล่องนั้นและคิดว่าครูก็ต้องรู้เช่นกัน โดยไม่ได้พิจารณาว่าครูไม่ได้อยู่ตอนที่ของเล่นถูกย้าย
สิ่งนี้สะท้อนข้อจำกัดด้านการมองมุมมองผู้อื่น (Perspective-taking) ซึ่งเป็นหัวใจของ Theory of Mind ข้อจำกัดนี้ส่งผลต่อความสามารถในการตีความบริบททางสังคม การเข้าใจเจตนาของผู้อื่น และการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมในชีวิตประจำวัน
เพราะอะไรเด็กออทิสติกถึงบกพร่องด้านนี้
เด็กออทิซึมฯ มักมีความสนใจทางสังคมตั้งต้นต่ำกว่าเด็กทั่วไป พฤติกรรมอย่างการสบตา การมองตามสายตาผู้อื่น หรือการร่วมสนใจในสิ่งเดียวกันเกิดขึ้นน้อย ทำให้พลาดวัตถุดิบที่เป็นฐานสำคัญในการพัฒนา Theory of Mind (ToM) ตั้งแต่ระยะแรกของชีวิต ด้านภาษาและการใช้ภาษาเชิงสังคม (Pragmatics) พบว่ามีข้อจำกัด โดยเฉพาะคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์และสภาวะจิตใจ เช่น คิด รู้ เชื่อ หรือ ต้องการ ทำให้การตีความและการอธิบายความคิดของผู้อื่นเป็นไปอย่างยากลำบาก
นอกจากนี้ ทักษะการบริหารจัดการตนเอง (Executive function: EF) เช่น การยับยั้งพฤติกรรม (Inhibition) และความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive flexibility) มักพัฒนาได้ช้ากว่า ส่งผลให้การ “วางมุมมองของตนเองไว้ชั่วคราว” เพื่อคิดแทนผู้อื่นทำได้ยาก ขณะเดียวกัน ความไวต่อการประมวลผลประสาทสัมผัส (Sensory processing) ทำให้สิ่งเร้าจากสภาพแวดล้อมกลายเป็นภาระเกินพอดี จนนำไปสู่ความเหนื่อยล้าทางประสาทและการหลีกเลี่ยงปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งยิ่งลดโอกาสฝึกและซ้อมการใช้ ToM
ในเชิงประสาทวิทยา งานวิจัยจำนวนมากพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการทำงานและการเชื่อมต่อของเครือข่ายสมองที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและตีความมุมมองของผู้อื่น โดยเฉพาะบริเวณที่ทำหน้าที่สำคัญต่อกระบวนการเข้าใจเจตนารมณ์ ความเชื่อ และอารมณ์ของบุคคลอื่น เมื่อการทำงานของเครือข่ายเหล่านี้แตกต่างจากปกติ ความสามารถในการใช้ ToM ก็อาจถูกจำกัดลง ส่งผลต่อการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในหลายมิติ
นอกจากปัจจัยทางสมองแล้วบริบทการเรียนรู้ก็มีบทบาทชี้ขาด หากการจัดการเรียนการสอนมุ่งเน้นเฉพาะข้อเท็จจริงเชิงวิชาการโดยละเลยกิจกรรมที่กระตุ้นการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเรียนรู้อารมณ์ เด็กออทิซึมฯ อาจสามารถทำข้อสอบได้ดีโดยเฉพาะที่เป็นความจำ แต่ขาดความสามารถในการประยุกต์ใช้ทักษะทางสังคมในสถานการณ์จริง ซึ่งเป็นช่องว่างสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการมีส่วนร่วมในสังคม
กลับมาที่เชิงประสาทวิทยา งานวิจัยด้านประสาทวิทยาหลายชิ้นยังชี้ว่า ความผิดปกติใน เครือข่ายสมองส่วนหน้าและสมองสังคม (Social brain network) ได้แก่ medial prefrontal cortex (mPFC), temporoparietal junction (TPJ), superior temporal sulcus (STS), amygdala, inferior frontal gyrus (IFG) และ precuneus มีบทบาทสำคัญต่อความบกพร่องด้านความสนใจทางสังคม การเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับอารมณ์ และความสามารถในการเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้อื่นในเด็กออทิซึมฯ (Baron-Cohen et al., 2000; Saxe & Kanwisher, 2003)
การเข้าใจโครงข่ายสมองเหล่านี้จึงเป็นรากฐานสำคัญต่อการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้และการบำบัดที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของเด็กแต่ละคนอย่างแท้จริง โดยจะขออธิบายทางด้านประสาทวิทยาเพิ่มเติมดังนี้
1) Medial Prefrontal Cortex (mPFC) ใช้ในการวิเคราะห์เจตนาของผู้อื่น การไตร่ตรองความคิด และการควบคุมพฤติกรรมทางสังคม พบว่าในเด็กออทิซึมฯ จะมีการทำงานของ mPFC ต่ำกว่าเด็กทั่วไป
2) Temporoparietal Junction (TPJ) บริเวณเชื่อมต่อระหว่างกลีบขมับ (Temporal) และกลีบข้าง (Parietal) มีบทบาทสำคัญในการเข้าใจความเชื่อของผู้อื่น อีกทั้งการยับยั้ง TPJ หรือการทำงานที่น้อยทำให้พวกเขาประเมินเจตนาผู้อื่นผิดในเชิงศีลธรรม
3) Superior Temporal Sulcus (STS) เกี่ยวข้องกับการมองตามสายตา การสังเกตการเคลื่อนไหวของบุคคล และการรับรู้เจตนาเบื้องหลังพฤติกรรม เด็กออทิซึมฯ มักแสดงการตอบสนองต่อสิ่งเร้าทางสังคมใน STS น้อยกว่าปกติ
4) Amygdala ศูนย์ควบคุมอารมณ์ กลัว โกรธ ความรู้สึกต่อใบหน้าและการแสดงออกทางสีหน้า การเชื่อมโยงกับสมองส่วนหน้า (Prefrontal cortex: สมองส่วนบริหาร (EF)) มีผลต่อการประเมินเจตนาและอารมณ์ ซึ่งในเด็กออทิซึมฯ บางรายพบขนาดหรือการทำงานของอะมิกดาลาผิดปกติ
5) Inferior Frontal Gyrus (IFG) หรือ “มิเรอร์นิวรอน” เกี่ยวข้องกับการเลียนแบบ การเข้าใจพฤติกรรมของผู้อื่น และเกี่ยวกับการเชื่อมโยงการกระทำกับความตั้งใจ เช่น “เขาทำแบบนี้ เพราะเขาต้องการ...”
6) Precuneus เกี่ยวข้องกับการจินตนาการตนเองในสถานการณ์ของผู้อื่น (Perspective-taking) ใช้ในการสร้างภาพทางจิตและเครือข่ายเริ่มต้น (Default mode network)
ความผิดปกติเหล่านี้เป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการพัฒนา Theory of Mind (ToM) และ Executive Function (EF) ของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม โดยส่งผลต่อเนื่องไปถึงความสนใจทางสังคมที่ต่ำ ความยากลำบากในการเรียนรู้ภาษาทางอารมณ์ และความไวต่อสิ่งเร้าที่มากเกินไป จนส่งผลสะสมเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างทั้งในการเรียนรู้และการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม
พัฒนาการเหล่านี้เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ และเมื่อส่วนหนึ่งเกิดข้อบกพร่อง ย่อมส่งผลต่ออีกส่วนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เสมือนโดมิโนที่ล้มเรียงกัน หรือที่นักวิชาการเรียกว่า "Interdependent developmental cascade" ซึ่งอธิบายได้ว่า สมอง พฤติกรรม และภาษา ต่างเป็นองค์ประกอบที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง
จะส่งเสริม ToM ได้อย่างไร
การส่งเสริม Theory of Mind (ToM) ในเด็กออทิซึมฯ สามารถทำได้ผ่านกิจกรรมที่เรียบง่าย แต่สอดคล้องกับพัฒนาการ โดยเฉพาะกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน
กิจกรรมแรก คือ “อ่านภาพ-ทายใจ” ซึ่งสามารถทำได้ทั้งที่โรงเรียนและบ้าน โดยให้เด็กดูภาพเหตุการณ์ที่มีตัวละครแสดงสีหน้า ท่าทาง หรือกำลังทำกิจกรรมบางอย่าง แล้วให้เด็กคาดเดาว่าตัวละครนั้น “คิดอะไร รู้สึกอย่างไร หรือรู้ว่าอะไร” พร้อมอธิบายเหตุผลประกอบสั้น ๆ เพื่อฝึกการเข้าใจมุมมองของผู้อื่น
กิจกรรม “อ่านภาพ-ทายใจ” สามารถเสริมด้วยการใช้ “ฟองคำความคิด” และสีต่าง ๆ แทนคำว่า คิด = สีฟ้า, รู้ = สีเขียว, รู้สึก = สีเหลือง เพื่อให้เด็กเข้าใจง่ายและสนุกมากขึ้น
กิจกรรมที่สอง คือ “ไพ่เจตนา-ผลลัพธ์” ซึ่งช่วยฝึกการแยกแยะระหว่างความตั้งใจของบุคคลและผลลัพธ์ของการกระทำนั้น โดยให้เด็กจะจัดหมวดไพ่สถานการณ์ 4 แบบ ได้แก่ เจตนาดี–ผลดี, เจตนาดี–ผลเสีย, เจตนาร้าย–ผลดี และเจตนาร้าย–ผลเสีย พร้อมพูดอธิบายว่าเขาตัดสินใจจากอะไร เช่น จาก “เจตนา” หรือ “ผลที่เกิดขึ้น”
กิจกรรม “ไพ่เจตนา-ผลลัพธ์” นี้ช่วยให้เด็กเรียนรู้ว่า คนบางคนอาจมีเจตนาดีแต่ผลลัพธ์อาจไม่ดี และบางครั้งเราจำเป็นต้องเข้าใจเจตนาของผู้อื่นมากกว่าการมองแค่สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก
กิจกรรมที่สาม คือ “คิดในใจของอีกคน” หรือบทบาทสมมุติที่เน้นให้เด็กเข้าใจว่าผู้อื่นมีความเชื่อที่ต่างจากตนเอง เช่น “A คิดว่า B คิดว่า…” โดยอาศัยอุปกรณ์ช่วย เช่น ลูกศรหรือสติ๊กเกอร์ติดตามแนวคิด เพื่อให้เด็กเข้าใจความเชื่อซ้อน (Second-order belief) ได้ง่ายขึ้น
กิจกรรม “คิดในใจของอีกคน” ช่วยฝึกการมองมุมมองซ้อนระดับลึก และเป็นรากฐานสำคัญของการเข้าใจเจตนาซับซ้อนในสังคม
กิจกรรมที่สี่ คือ “คลิปหยุดคิด” ซึ่งใช้คลิปวิดีโอสั้น ๆ ที่มีการโต้ตอบระหว่างบุคคล แล้วกดหยุดคลิปในจังหวะสำคัญเพื่อให้เด็กคาดเดาว่าตัวละครในคลิป “คิด” หรือ “รู้” หรือ “รู้สึก” อะไร พร้อมอธิบายเหตุผลสนับสนุน
กิจกรรม “คลิปหยุดคิด” ช่วยฝึกการใช้ ToM ในบริบทที่เคลื่อนไหวและใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง เป็นการต่อยอดจากการดูภาพนิ่งสู่ความเข้าใจในโลกที่เคลื่อนไหวได้ และเปลี่ยนแปลง
โดยรวมแล้วกิจกรรมทั้งหมดนี้เป็นแนวทางที่สามารถประยุกต์ใช้ได้จริงในชั้นเรียนและที่บ้าน ใช้สื่อที่เข้าถึงง่าย และสามารถปรับระดับความยากตามความสามารถของเด็ก ช่วยให้การพัฒนา ToM สำหรับเด็กออทิซึมฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีความหมาย แม้ว่าพวกเขาจะมีความสนใจทางสังคมที่ตั้งต้นต่างกับเด็กปกติก็ตาม
แต่ไม่มีอะไรสายเกินไปที่จะฝึกฝน เพียงแค่จะต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติเป็นสองเท่า
อ้างอิง
Baron-Cohen, S., Golan, O., & Ashwin, E. (2009). Can emotion recognition be taught to children with autism spectrum conditions? Philosophical Transactions of the Royal Society B: Biological Sciences, 364(1535), 3567–3574. https://doi.org/10.1098/rstb.2009.0191
Begeer, S., Gevers, C., Clifford, P., Verhoeve, M., Kat, K., & Hoddenbach, E. (2011). Theory of Mind training in children with autism: A randomized controlled trial. Journal of Autism and Developmental Disorders, 41(8), 997–1006. https://doi.org/10.1007/s10803-010-1121-9
Golan, O., & Baron-Cohen, S. (2006). Systemizing empathy: Teaching adults with Asperger syndrome or high-functioning autism to recognize complex emotions using interactive multimedia. Development and Psychopathology, 18(2), 591–617.
Perner, J., & Wimmer, H. (1985). “John thinks that Mary thinks that...” attribution of second-order beliefs by 5- to 10-year-old children. Journal of Experimental Child Psychology, 39(3), 437–471.
Tager-Flusberg, H., & Sullivan, K. (2000). A componential view of theory of mind: Evidence from Williams syndrome.Cognition, 76(1), 59–90.
Young, L., Cushman, F., Hauser, M., & Saxe, R. (2007). The neural basis of the interaction between theory of mind and moral judgment. Proceedings of the National Academy of Sciences, 104(20), 8235–8240. https://doi.org/10.1073/pnas.0701408104
โฆษณา