15 ส.ค. เวลา 01:42 • หนังสือ
antiqueline

รักในสิ่งที่ทำ: บันไดสู่การได้ทำในสิ่งที่รัก จริงหรือ?

แนวคิดที่ว่า “การรักในสิ่งที่ทำในตอนนี้ อาจทำให้ได้ทำในสิ่งที่รักในอนาคต” นั้น เป็นไปได้จริงและมีเหตุผลสนับสนุนที่หนักแน่น แต่ในขณะเดียวกันก็มีเงื่อนไขและมุมมองที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน แนวคิดนี้ไม่ได้หมายถึงการก้มหน้าก้มตาทนทำงานที่ไม่ชอบไปวันๆ แต่คือการเปลี่ยนทัศนคติและมองหาสิ่งดีๆ ในงานปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นรากฐานในการสร้างอนาคตที่ต้องการ
ทำไมการ “รักในสิ่งที่ทำ” ถึงสำคัญและนำไปสู่อนาคตที่ใช่?
การสร้างทัศนคติที่ดีและมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ แม้จะไม่ใช่งานในฝัน สามารถสร้างประโยชน์และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ได้หลายทาง ดังนี้:
1. การพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญ:
เมื่อเราทำงานด้วยความรักและความใส่ใจ เราจะทุ่มเทและพยายามทำความเข้าใจงานนั้นอย่างลึกซึ้ง ส่งผลให้เกิดการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่างๆ (Hard Skills) และทักษะด้านอารมณ์และสังคม (Soft Skills) เช่น การแก้ปัญหา, การสื่อสาร, การทำงานเป็นทีม และความเป็นผู้นำ ทักษะเหล่านี้เป็น "ทักษะที่ถ่ายทอด
ได้" (Transferable Skills) ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้กับงานอื่นๆ ในอนาคตได้ แม้จะคนละสายงานก็ตาม
2. สร้างผลงานที่โดดเด่นและสร้างชื่อเสียง:
ความทุ่มเทและความสุขในการทำงานมักนำมาซึ่งผลงานที่มีคุณภาพ เมื่อผลงานดี ย่อมเป็นที่ยอมรับและสร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับตนเอง สิ่งนี้จะทำให้คุณกลายเป็นที่ต้องการขององค์กรอื่น หรือแม้กระทั่งสร้างความน่าเชื่อถือหากต้องการออกมาทำธุรกิจของตัวเองในอนาคต
3. การสร้างเครือข่ายและคอนเนคชัน (Networking):
ทัศนคติเชิงบวกและความกระตือรือร้นในการทำงานช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน, หัวหน้า, และลูกค้าได้ง่ายขึ้น เครือข่ายเหล่านี้อาจเป็นผู้ที่มอบโอกาสใหม่ๆ ให้กับเราในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำตำแหน่งงานที่น่าสนใจ หรือการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ
4. เปิดประตูสู่โอกาสที่ไม่คาดคิด:
การทำงานอย่างเต็มศักยภาพในตำแหน่งปัจจุบัน อาจทำให้หัวหน้ามองเห็นความสามารถและมอบหมายงานใหม่ๆ ที่ท้าทายขึ้น ซึ่งอาจเป็นงานที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณรักมากขึ้น หรือทำให้คุณได้ค้นพบความสามารถและความชอบใหม่ๆ ของตัวเองที่ไม่เคยรู้มาก่อน
5. สุขภาพจิตที่ดีและพลังในการขับเคลื่อน:
การทำงานด้วยความเครียดและความทุกข์จะบั่นทอนพลังชีวิต แต่การพยายามมองหาแง่ดีและรักในสิ่งที่ทำ จะช่วยรักษาสุขภาพจิตให้ดีอยู่เสมอ ทำให้คุณมีพลังเหลือที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หรือทำกิจกรรมที่รักนอกเวลางาน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต
ตัวอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จจากการต่อยอด:
แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่เริ่มต้นจากงานที่รัก แต่หลายคนใช้ประสบการณ์จากงานแรกๆ เป็นบันไดสู่ความสำเร็จในสิ่งที่รัก ตัวอย่างเช่น:
* โฮเวิร์ด ชูลท์ซ (Howard Schultz): ก่อนจะสร้างสตาร์บัคส์ให้โด่งดัง เขาเคยเป็นพนักงานขายของบริษัท Xerox ประสบการณ์ด้านการขายและการตลาดที่เขาเรียนรู้และทำมันได้ดี กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เขาสามารถสร้างแบรนด์กาแฟระดับโลกได้
* วีรา แวง (Vera Wang): เริ่มต้นจากการเป็นนักข่าวสายแฟชั่นให้กับนิตยสาร Vogue การได้คลุกคลีและรักในสิ่งที่ทำในวงการแฟชั่น ทำให้เธอเก็บเกี่ยว
ประสบการณ์และความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จนในที่สุดได้ผันตัวมาเป็นดีไซเนอร์ชุดแต่งงานชื่อดังในวัย 40 ปี
ข้อควรระวังและมุมมองอีกด้าน: "กับดักของความสบายใจ"
อย่างไรก็ตาม แนวคิด "รักในสิ่งที่ทำ" ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน:
* ความเสี่ยงที่จะติดอยู่ใน "Comfort Zone": การปรับตัวจนรักในสิ่งที่ทำได้ อาจทำให้บางคนรู้สึกสบายใจและหยุดที่จะมองหาโอกาสที่จะได้ทำในสิ่งที่รักอย่างแท้จริง
* การทนทำงานที่เป็นพิษ (Toxic Environment): แนวคิดนี้ไม่สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ หากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่บั่นทอนสุขภาพกายและใจ การ "ทนรัก" อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี
* ความเหนื่อยล้าและหมดไฟ (Burnout): การพยายาม "รัก" ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน อาจต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาล และหากทำอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน อาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟได้
สรุป
การรักในสิ่งที่ทำในปัจจุบันสามารถทำให้เราได้ทำในสิ่งที่รักในอนาคตได้จริง ผ่านการสร้างทัศนคติเชิงบวกที่นำไปสู่การพัฒนาทักษะ, การสร้างผลงานและชื่อเสียง, การขยายเครือข่าย และการเปิดรับโอกาสใหม่ๆ มันคือการมองงานปัจจุบันไม่ใช่แค่ "งาน" แต่เป็น "สนามฝึกซ้อม" ที่ดีที่สุดในการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต
สิ่งสำคัญคือต้องมีความสมดุล ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควร "รัก" เพื่อ "เรียนรู้และเติบโต" และเมื่อไหร่ควร "ไปต่อ" เพื่อไล่ตามความฝันที่แท้จริง โดยใช้ทักษะและประสบการณ์ทั้งหมดที่สั่งสมมาเป็นต้นทุนในการเดินทางครั้งใหม่
โฆษณา