25 ต.ค. เวลา 03:00 • การศึกษา

เศรษฐกิจทุนนิยมทำงานอย่างไร?

การอธิบายเรื่องระบบเศรษฐกิจอาจฟังดูซับซ้อน แต่ Ray Dalio อธิบายว่าหากเรามองเศรษฐกิจเป็น “เครื่องจักร” ที่ทำงานด้วยกฎพื้นฐานบางอย่าง เราจะสามารถเข้าใจระบบเศรษฐกิจได้ดีขึ้น โดยเครื่องจักรนี้ประกอบขึ้นจากธุรกรรมจำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นทุกวัน การซื้อของชำหนึ่งถุง การจ้างช่างซ่อมบ้าน หรือการขายสินค้าโรงงาน แต่ละธุรกรรมก็คือการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย การใช้จ่ายของคนหนึ่งจะกลายเป็นรายได้ของอีกคนหนึ่ง และรายได้นั้นก็จะถูกนำไปใช้จ่ายต่อ ทำให้เงินหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ
สิ่งที่ทำให้วงจรนี้เติบโตได้เร็วขึ้นคือ “เครดิต” หรือการกู้ยืมเงิน เช่น ถ้าคุณอยากซื้อรถราคา 800,000 บาท แต่มีเงินเก็บเพียง 200,000 บาท คุณอาจกู้ธนาคารส่วนที่เหลือ ทำให้คุณได้ใช้รถทันที ทั้งที่รายได้ปัจจุบันยังไม่เพียงพอ เครดิตจึงช่วยให้คุณใช้จ่ายเกินกว่าที่มีในกระเป๋าได้ แต่นั่นก็สาร้างภาระเช่นกัน เพราะเมื่อคุณกู้เงินแล้ว คุณก็ต้องชำระคืนในอนาคตพร้อมดอกเบี้ย ประเด็นคือในความเป็นจริงแล้วระบบเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ การใช้จ่ายส่วนใหญ่มาจากเครดิตมากกว่าการใช้เงินสด
Ray Dalio แบ่งการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจออกเป็นสามแรงขับเคลื่อนหลัก หนึ่งคือ “การเติบโตของผลผลิต” ซึ่งเกิดจากคนทำงานเก่งขึ้น ใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่า หรือจัดการทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพ เช่น โรงงานที่เคยผลิตเสื้อได้ 100 ตัวต่อวัน อาจเพิ่มเป็น 150 ตัวต่อวันโดยใช้แรงงานเท่าเดิม การเติบโตแบบนี้เป็นพื้นฐานระยะยาวของเศรษฐกิจ
สองคือ “วัฏจักรหนี้ระยะสั้น” ที่มักกินเวลา 5-10 ปี วงจรนี้เกิดจากการขยายตัวของเครดิตในช่วงที่เศรษฐกิจดี ผู้คนกู้ยืมมากขึ้น ธนาคารปล่อยกู้มากขึ้น ราคาสินทรัพย์ต่างๆเพิ่มสูงขึ้นพลักดันให้เงินเฟ้อเริ่มก่อตัว แต่เมื่อเงินเฟ้อสูงเกินไป ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ย ทำให้การกู้แพงขึ้น การใช้จ่ายลดลง เศรษฐกิจจึงชะลอตัวลง เมื่อถึงระดับหนึ่งธนาคารกลางจะเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดดอกเบี้ยและมาตราการกระตุ้นต่างๆ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจค่อยๆกลับมาเติบโต วนไปเป็นวัฏจักรใหม่อีกครั้ง
สามคือ “วัฏจักรหนี้ระยะยาว” ซึ่งใช้เวลาหลายสิบปี เกิดจากการสะสมหนี้ทีละน้อยในแต่ละรอบระยะสั้น จนภาระหนี้รวมใหญ่เกินกว่ารายได้จะรองรับได้ ตัวอย่างชัดเจนคือวิกฤตการเงินโลกปี 2008 ที่ครัวเรือนในสหรัฐมีหนี้สินจำนองสูงมาก เมื่อราคาบ้านตกลงอย่างรวดเร็ว หลายคนไม่สามารถชำระหนี้ได้ เกิดการผิดนัดชำระหนี้จำนวนมากจนทำให้ระบบการเงินเกือบล่มสลาย
เมื่อถึงจุดที่หนี้สูงเกินไป เศรษฐกิจจะเข้าสู่ช่วง “Deleveraging” คือการลดหนี้ อาจทำผ่านการผิดนัดชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ หรือการรัดเข็มขัดเพื่อลดการใช้จ่าย รัฐบาลและธนาคารกลางอาจเข้ามาช่วยด้วยการพิมพ์เงิน ลดดอกเบี้ย หรือออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เป้าหมายสูงสุดคือให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “Beautiful Deleveraging” ซึ่งเป็นการลดหนี้พร้อมกับรักษาการเติบโตและเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
คุณDalio ทิ้งท้ายด้วยกฎสามข้อเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจแข็งแรง คือ หนึ่ง อย่าให้หนี้เติบโตเร็วกว่ารายได้ เช่น ครัวเรือนที่กู้ซื้อบ้านควรมั่นใจว่ารายได้จะเพียงพอชำระในระยะยาว สอง อย่าให้รายได้เติบโตเร็วกว่าผลผลิต เพราะถ้ารายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการเฟ้อค่าของเงิน โดยที่ผลผลิตจริงไม่เพิ่มตาม จะทำให้สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และสาม ลงทุนเพื่อเพิ่มผลผลิต เช่น ลงทุนด้านเทคโนโลยี การศึกษา หรือโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ด้วยการมองเศรษฐกิจเป็นเครื่องจักรที่ประกอบจากธุรกรรม เครดิต และวัฏจักรหนี้ เราจึงเข้าใจได้ดีขึ้นว่าทำไมเศรษฐกิจถึงเติบโต ชะลอตัว หรือเกิดวิกฤต และสามารถวางแผนรับมือหรือใช้ประโยชน์จากจังหวะเหล่านี้ได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น
โฆษณา