Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The Ideation by Pansak Pramokchon
•
ติดตาม
เมื่อวาน เวลา 09:30 • ประวัติศาสตร์
西遊記 Journey to the West
ใครเขียนนิยาย “ซีโหยวจี้” (ไซอิ๋วกี่) ตอนที่ 3
ซุนอู้คง ราชาวานร
บุคลิกภาพของ “ซุนอู้คง” น่าจะได้ต้นแบบมาจากบุคลิกภาพของเหรุกะ「1」 เทพผู้พิทักษ์ตามคติพุทธนิกายวัชรยานที่ปรากฎในคัมภีร์เหวัชระตันตระที่แพร่หลายอยู่ในแถบทิเบต ภูฏาน ซึ่งถูกถ่ายทอดเป็นภาษาจีนในปี พ.ศ. 1598 แต่รูปลักษณ์วานรของ “ซุนอู้คง” อาจจะมีที่มาจากหลายทาง เช่น เทพวานรของชาวฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) เทพหนุมานของชาวอินเดีย อู๋จือฉีเทพน้ำวนแห่งแม่น้ำหวยวอ「2」และ ท่าน “สือผานถัว”「3」ศิษย์รูปแรกของท่านเสวียนจั้ง
หลักฐานวัตถุเก่าแก่ที่สุดเกี่ยวกับราชาวานรซุนอู้คงปรากฎให้เห็นคือ เจดีย์หินเจิ้นกั๋ว「4」ในวัดไคหยวนสื้อ「5」หรือ วัดจื่ออวิ๋นสื้อ (เมฆม่วง)「6」อันเป็นวัดพุทธโบราณของเมืองฉือถง「7」มณฑลฝูเจี้ยน วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 1229 เจดีย์เจิ้นกั๋วถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังราวปี พ.ศ. 1408 ในรูปเจดีย์ไม้ห้าชั้นสององค์ แต่เจดีย์ไม้ถูกไฟไหม้ทำลายลงในสมัยราชวงศ์ซ่ง จึงถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 1781 ให้เป็นเจดีย์หินแปดเหลี่ยมห้าชั้นสองหลัง
เจดีย์หินเจิ้นกั๋วทั้งสองหลังสูง 48.24 เมตร (บางแหล่งข้อมูลระบุว่าสูง 44.06 เมตร) เรียงตัวในแนวตะวันออก-ตะวันตก โดยอยู่ห่างกัน 200 เมตร บนผนังเจดีย์ทั้งสองฟากข้างของประตูแต่ละด้านทั้ง 5 ชั้น มีภาพสลักตามแบบศิลปะราชวงศ์ซ่งเหนือขนาดเท่าตัวจริงเป็นรูป พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ เทพผู้พิทักษ์ พระสังฆปรินายกและพระอรหันต์รวมทั้งตัวละครจากนิยายซีโหยวจี้
ในบรรดาภาพสลักเหล่านี้ มีภาพสลักเทพสององค์จากสองฟากข้างของประตูชั้น 4 ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเจดีย์องค์ตะวันตก โดยภาพหนึ่งเป็นภาพของเทพผู้พิทักษ์ในรูปลักษณ์ของนักรบร่างกำยำ มีเศียรเป็นวานร ถือดาบใหญ่ ซึ่งนักโบราณคดีลงความเห็นว่าเป็นภาพของราชาวานรซุนอู้คง และอีกภาพหนึ่งเป็นภาพเทพมังกรก่อนจะกลายร่างเป็นม้ามังกรขาวพาหนะของพระถังซานจั้ง แต่สองภาพนี้ถูกสลักขึ้นมาก่อนที่ท่านอู๋เฉิงเอินจะประพันธ์นิยายไซอิ๋วกี่ถึง 355 ปี
เทพวานรผู้พิทักษ์ในภาพสลักภาพหนึ่งนี้ สวมต่างหู รัดเกล้า กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า กำไลรัดต้นแขน คอคล้องลูกประคำ เอวคาดหนังเสือ และ คาดสายรัดเอวทับหนังเสือ บนสายรัดเอวแขวนน้ำเต้าและคัมภีร์มหามยุรีวิทยราชามหาธารณี「8」อันเป็นคัมภีร์รวมบทสวดมนต์ขจัดปัดเป่าโรคภัย ภยันอันตราย และเคราะห์ร้าย รวมทั้งอุปสรรคต่อการบรรลุพุทธภาวะนานัปการ
หลักฐานอีกประการหนึ่งที่น่าจะบ่งชี้ความสัมพันธ์ของภาพสลักภาพนี้กับการจาริกของท่านเสวียนจั้งคือ เทพวานรผู้พิทักษ์สวมรองเท้าสานที่หลวงจีนสวมใส่ในเวลาออกจาริก ซึ่งสะท้อนว่า ท่านน่าจะอยู่ระหว่างการจาริกทางไกล ในขณะที่บนไหล่ซ้ายของท่านเป็นภาพของหลวงจีนเหยียบเมฆา ซึ่งจะเป็นผู้ใดมิได้นอกเสียจาก ท่านเสฺวียนจั้ง
ความสอดคล้องระหว่างเทพวานรผู้พิทักษ์และราชาวานรซุนอู้คงคือ อาวุธคู่มือ
มือขวาของเทพวานรผู้พิทักษ์ในภาพสลักบนเจดีย์หินของวัดไคหยวนสื้อ ประคองลูกประคำในท่วงทีมีสมาธิอยู่กับการนับลูกประคำเพื่อสวดมนต์ขจัดปัดเป่าเรื่องร้ายๆ ทั้งปวง ในขณะที่มือซ้ายกำดาบใหญ่「9」ที่มีเปลวไฟพุ่งออกจากปลายดาบ ซึ่งก่อนที่จะใช้กระบองวิเศษสารพัดนึก ซุนอู้คงเคยใช้ดาบเปลวสวรรค์เป็นอาวุธประจำกายมาก่อน
กระนั้นก็ตาม แม้เทพวานรผู้พิทักษ์จะมิใช่ซุนอู้คง แต่ก็เป็นไปได้มากที่จะเป็นต้นแบบที่มาของราชาวานร เครื่องยืนยันความเป็นไปได้ของทฤษฎีนี้ อยู่ที่บุคลิกภาพของเทพเหรุกะของซุนอู้คงซึ่งปรากฎให้เห็นในนิยายซีโหยวจี้
เทพวานรผู้พิทักษ์ในภาพนี้ มีลักษณะหลายประการสอดคล้องกับลักษณะการแต่งกายของเหล่าโยคาจาริน (ผู้เลื่อมใสศรัทธาในนิกายโยคาจารของฝ่ายมหายาน) ผู้บูชาเหรุกะ ดังปรากฎในคัมภีร์เหวัชระตันตระว่า
“เหล่าโยคาจารินต้องสวมต่างหูศักดิ์สิทธิ์ รัดเกล้า (ทองคำหรือเงิน) กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า กำไลรัดแขน และ สายรัดเอว; ท่านคล้องประคำกระดูกและห่มหนังเสือ...”
เหรุกะในภาษาสันสกฤตถูกใช้ในภาษาทิเบตและภาษาจีนในความหมายว่า “ผู้ดื่มโลหิต” แม้ว่ารากศัพท์ในภาษาสันสกฤตจะมิได้มีความหมายเช่นนั้น
นั่นอาจเป็นเพราะ นักวิชาการส่วนใหญ่มิได้แปลคำนี้ตามความหมายในภาษาสันสกฤต หากแปลโดยอ้างอิงถึงความเชื่อมโยงระหว่างคำ “เหรุกะ”「10」กับ “สมาสนะ”「11」ที่ศพจะถูกเผาหรือปล่อยให้เน่าเปื่อย ซึ่งในกรณีของสมาสนะ เลือดจะถูกดูดซับโดยดินในลานปลงซากอสุภะ
เหรุกะในนิกายวัชรยานจึงถูกถือว่าเป็นภาคดุร้ายของพระธยานิพุทธอักโษภยะ「12」ผู้เป็นตัวแทนของโพธิจิต และแสดงออกในรูปของเทพแห่งความเกรี้ยวกราด「13」ที่มีรูปลักษณะที่น่ากลัวและกวัดแกว่งอาวุธร้ายในมือ เช่น ดาบใหญ่ ฯลฯ
ซุนอู้คงในนิยายซีโหยวจี้ มีบทบาทหน้าที่ขับไล่เหล่าปีศาจผู้หมายใจจะบรรลุอมตภาพด้วยการกินเนื้อพระถังซานจั้ง นั่นคือบทบาทหน้าที่ของเหรุกะเทพผู้พิทักษ์ หลายต่อหลายครั้งในการปกป้องพระถังซานจั้ง ซุนอู้คงก็แสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดอย่างไม่มีการยั้งมือยั้งใจใดๆ ซึ่งสอดคล้องกับบุคลิกภาพแบบภาคดุร้ายของพระธยานิพุทธอักโษภยะ
ดังนั้น ไม่เพียงแต่จะมีเทพเหรุกะเป็นต้นแบบจนปรากฎเป็นเทพวานรผู้พิทักษ์ในภาพสลักบนเจดีย์หินของวัดไคหยวนสื้อเท่านั้น หากราชาวานรซุนอู้คงยังมีฐานะเป็นตัวแทนของโพธิจิตเช่นเดียวกับพระธยานิพุทธอักโษภยะอีกด้วย
ชื่อแซ่ของราชาวานรอาจมีที่มาจากศิษย์คนแรกของท่านเสฺวียนจั้ง และอาจเป็นการสอดแทรกแฝงพระธรรมไว้ในนามของราชาวานรอย่างแนบเนียน
ราชาวานรใช้แซ่ “ซุน”「14」มีนามว่า อู้คง「15」 คำ “ซุน” มีความหมายว่า ผู้สืบเชื้อสาย หรือ ผู้สืบทอด หรือ หลานปู่ คำ “ซุน” จึงสื่อถึงตอนหนึ่งของ “พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ สุตฺต องฺ (๓): ปญฺจก-ฉกฺกนิปาตา” ที่ว่า
“กมฺมสฺสโกมฺหิ กมฺมทายาโท กมฺมโยนิ กมฺมพนฺธุ กมฺมปฏิสรโณ ยํ กมฺมํ กริสฺสามิ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามีติ” [เรามีกรรมเป็นของของตน เป็นผู้ได้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว เราจักต้องเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้น] หรือในเวอร์ชั่นสั้นๆ คือ “กมฺมุนา วตตี โลโก” (สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม)
อย่างไรก็ตาม ที่มาของแซ่ “ซุน” และ ลักษณะวานรของ “ซุนอู้คง” อาจมีที่มาจากการบุลลี่ล้อเลียนกลั่นแกล้ง (bully) ต่อ “สือผานถัว” ศิษย์คนแรกของท่านเสฺวียนจั้ง ซึ่งเป็นผู้ช่วยคนสำคัญเมื่อท่านเดินทางกลับจากชมพูทวีป ท่านสือผานถัวเป็นชาวหู「16」ที่มีรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากชาวฮั่น (จีน) คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “พระชาวหู”「17」
「บันทึกจากปลายสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตกจนถึงยุคชุนชิว (พ.ศ. 1044-1065) ระบุว่า ชนเผ่าต่างๆ ทางภาคเหนือนอกดินแดนจงหยวน ก่อสงครามทั้งต่อจีนและระหว่างกัน บันทึกเหล่านั้นเรียก ชนเผ่าซฺยงนฺวี๋《匈奴人 ซฺยงนฺวี๋เหริน》ว่า “ชาวหู”《胡人 หูเหริน》 เอกสารของไทยออกเสียงแตกต่างกันเป็น “ซุงหนู” หรือ “ซวงหนู” นักวิชาการตะวันตกเรียกชาวซฺยงนฺวี๋ว่า หุน Huns
ต่อมา ชนเผ่าเร่ร่อน 5 เผ่าทางภาคเหนือที่มิใช่ชาวจีนทั้งหมด ต่างถูกเรียกรวมๆ กันว่า “ชาวหูทั้งห้า” อย่างไรก็ตาม นักประวัติศาสตร์พบว่า ชนเผ่าเร่ร่อนทางภาคเหนือ ซึ่งมีทั้ง ซฺยงนฺวี๋《匈奴》 เซียนเปย《鮮卑》 ตี《氐》 เชียง《羌》 เจี๋ย《羯》 โปรโต-มองโกล (proto-Mongolic) เติร์ก (Turkic) ธิเบต (Tibetan) และ ยีนิเซียน (Yeniseian จากลุ่มแม่น้ำ “ยีนิซี” ใจกลางดินแดนไซบีเรีย) รวมกันมีมากกว่า 5 เผ่า ล้วนถูกชาวจีนเรียกว่า “ชาวหู” ด้วยกันทั้งหมด」
ท่านสือผานถัวมีหนวดเคราและขนบนร่างกายดกกว่าชาวฮั่น (จีน) ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านถูกบุลลี่ว่าเป็นวานร โดยเล่นลิ้นปลิ้นคำเรียกหาท่านสือผานถัวจาก “หูเซิง” ที่หมายถึง พระชาวหู เป็น “หูซุน”「18」อันเป็นคำที่ชาวจีนโบราณเรียกลิง ด้วยเหตุนี้ แซ่ “ซุน” ของราชาวานรก็อาจมีที่มาจากคำล้อเลียนต่อท่านสือผานถัวได้เช่นกัน
มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า “[ในที่สุด] ท่านก็เกิดปมขัดแย้งในใจจนกระทั่งใคร่ฆ่าท่านเสฺวียนจั้ง” ซึ่งอาจจะมาจากการที่ท่านสือผานถัวรู้สึกว่า ท่านเสฺวียนจั้งมิได้ปกป้องท่านจากการถูกบุลลี่อย่างที่ควรทำ เรื่องที่ท่านสือผานถัวคิดใคร่ฆ่าท่านเสฺวียนจั้งนี้ ถูกนำมาใช้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระถังซานจั้งและซุนอู้คงที่ปะทะขัดแย้งกันตลอดการเดินทางสู่ชมพูทวีป เพื่อสะท้อนให้เห็นความขัดแย้งระหว่างความหลง (อกุศลมูล 3) และ ปัญญา (ไตรสิกขา) ในใจมนุษย์
หลายบทหลายตอนในนิยายซีโหยวจี้ ซุนอู้คงถูกเรียกว่า “ซินหยวน”「19」หรือ วานรจิต เป็นการสื่อว่าซุนอู้คงมีสถานะเป็น “โพธิจิต” ของพระธยานิพุทธอักโษภยะ
คำ “อู้คง”《悟空》มีความหมายว่า ตื่นรู้ในความว่าง (อนตฺตา) ราชาวานรได้ชื่อว่า “อู้คง” เพื่อสื่อว่า จิตมีบทบาทสำคัญที่ทำให้มนุษย์ต้องเผชิญกับทุกข์หรือสุขในชีวิตของตน และมนุษย์จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ โดยการรู้แจ้งในความว่างนั่นเอง
ธรรมชาติของวานรนั้น “อยู่ไม่สุข” เช่นเดียวกันกับจิตมนุษย์ที่จะว่อกแว่กแกว่งไกวไปมาตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่ง การที่จะสยบจิตให้อยู่นิ่งได้ จึงต้องอาศัยสัมมาสมาธิ (ด้วยมหาสติปัฏฐาน) ไม่ต่างจากที่พระถังซานจั้งควบคุมซุนอู้คงโดยสวดมนต์เร้ารัดเกล้าให้บีบขมับของราชาวานร
ในอีกทางหนึ่ง ที่มาของนาม “อู้คง” เชื่อกันว่า น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากฉายาของหลวงจีนผู้เลื่องชื่อในสมัยราชวงศ์ถังนาม “อู้คง”「20」ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ. 1274-1355 ท่านมีชื่อฆราวาสว่า เชอเฟิ่งเฉา「21」สืบเชื้อสายมาจากชาติวงศ์ (clan) ทั่วป๋า「22」ในราชวงศ์เว่ยเหนือ「23」จากอำเภออฺวิ๋นเอี๋ยง「24」เมืองจิงเจ้า「25」ซึ่งปัจจุบันนี้ อยู่ในพื้นที่ของตำบลอฺวิ๋นเอี๋ยง「26」อำเภอจิงเอี๋ยง「27」มณฑลส่านซี
เชอเฟิ่งเฉาได้ร่วมคณะทูตของต้าถัง (จีน) เดินทางไปเจริญไมตรีกับอาณาจักรต่างๆ ในชมพูทวีป「28」 ในปีรัชศกจื้อเต๋อที่สอง (พ.ศ. 1300) เมื่อคณะทูตเสร็จสิ้นภารกิจในอาณาจักรเจียเวินหมีหลัว「29」 แต่บางแหล่งระบุว่าเป็นอาณาจักรเจี้ยนถัวหลัว หรือ อาณาจักรคันธาระ เชอเฟิ่งเฉาก็ล้มป่วยจนไม่อาจเดินทางกลับต้าถังพร้อมกับคณะทูตได้
เชอเฟิ่งเฉาจึงต้องพำนักอยู่ในอาณาจักรเจียเวินหมีหลัวต่อ โดยได้รับความช่วยเหลือในการรักษาอาการป่วยจากพระภิกษุในพุทธศาสนา ครั้นเมื่อหายป่วย ท่านจึงออกบวชเป็นพระภิกษุโดยได้รับฉายาว่า “อู้คง” และศึกษาพระสูตรรวมทั้งภาษาสันสกฤต จากนั้นเดินทางไปศึกษาพระสูตรและเผยแพร่พระธรรมในดินแดนต่างๆ อันมี
- อาณาจักรชูเลย「30」ซึ่งในสมัยราชวงศ์ฮั่นเป็น อำเภอฉีไท่「31」ปัจจุบันอยู่ในเขตคัชการ์「32」ในมณฑลซินเจียง
- อาณาจักรอวี๋เถียน อาณาจักรพุทธโบราณทางด้านใต้ของแอ่งทาริม ก่อตั้งโดยชาวไซเจียจากอิหร่าน「33」ตั้งอยู่บนทางสายไหมเส้นใต้ทางตอนใต้สุดของทะเลทรายทากฺลามากัน ปัจจุบันอยู่ในมณฑลซินเจียง
- อาณาจักรชิวฉือ อาณาจักรพุทธอีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนฝั่งใต้ของแม่น้ำมูซัท「34」บนทางสายไหมเส้นเหนือทางตอนเหนือของแอ่งทาริม ปัจจุบันอยู่บริเวณเมืองคูชาในเขตอัคซู「35」ในมณฑลซินเจียง
- อาณาจักรเจี้ยนถัวหลัว「36」หรืออาณาจักรคันธาระ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของประเทศอัฟกานิสถานและทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถานในปัจจุบัน อาณาจักรนี้เคยอยู่ภายใต้การปกครองของเมนันเดอร์แม่ทัพชาวกรีกมาซีโดเนีย หรือ “พระเจ้ามิลินทร์” ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชมอบหมายให้ดูแลเส้นทางเข้าสู่ชมพูทวีป ในเวลาต่อมา ดินแดนแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดประเพณีการสร้างพระพุทธรูปที่แพร่หลายไปทั่วโลก
ท่านอู้คงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุกลับถึงฉางอันในเดือนสองของรัชศกเจินหยวนปีที่หก (พ.ศ. 1333) พร้อมกับนำพระคัมภีร์ “สือลี่จิง”「37」 พระคัมภีร์ “สือตี้จิง”「38」 และ พระคัมภีร์ “หุยเซี่ยงหลุนจิง”「39」 มาเผยแพร่ในจีน ท่านอู้คงมรณะภาพในวันที่สิบสามเดือนสองของรัชศกหยวนเหอปีที่เจ็ด (พ.ศ. 1355) ที่วัดฮู่ฝ่าสื้อ「40」 ในเมืองฉางอัน
...
ยังมีต่อ
Footnote:
「1」Heruka สันสกฤต: हेरुक จีน: 呬嚕迦 ซี่หลู่เจีย
「2」淮渦水神無支祁
「3」石槃陀
「4」鎮國塔
「5」開元寺
「6」紫雲寺
「7」刺桐城 ปัจจุบันคือเมืองฉวนโจว 泉州
「8」佛母大孔雀明王經
「9」大刀
「10」สันสกฤต: हेरुक
「11」สันสกฤต: श्मशान ลานปลงซากอสุภะ
「12」สันสกฤต: अक्षोभ्य
「13」โกรธา-วิฆนันตกะ สันสกฤต: विघ्नान्तक Vighnataka
「14」孫
「15」悟空 แต้จิ๋ว: หงอคง
「16」胡
「17」胡僧 หูเซิง
「18」猢猻
「19」心猿 วานรจิต
「20」悟空法師
「21」車奉朝
「22」拓跋
「23」北魏
「24」雲陽縣
「25」京兆郡
「26」雲陽鎮
「27」涇陽縣
「28」ชาวจีนโบราณเรียกชมพูทวีปหรืออินเดียว่า 天竺 เทียนจู๋ แต้จิ๋ว: เทียนเต็ก
「29」迦溫彌羅國 ปัจจุบันนี้ ที่ตั้งของอาณาจักรเจียเวินหมีหลัวอยู่ในพื้นที่หุบเขาแคชเมียร์โดยครอบคลุมพื้นที่ 4 รัฐ 2 ประเทศคือ รัฐจัมมูและแคชเมียร์ รัฐลาดัค ของประเทศอินเดีย และ รัฐอาซัดแคชเมียร์ รัฐกิลกิต-บัลทิสถาน ของประเทศปากีสถาน บางแหล่งระบุว่าเป็นอาณาจักรเจี้ยนถัวหลัว หรือ อาณาจักรคันธาระ
「30」疏勒
「31」奇台縣
「32」喀什地區 คาเสินตี้ชิว ในมณฑลซินเจียง
「33」伊朗塞迦人 อีหล่างไซเจียเหริน
「34」木扎提河 มู่จาถีเหอ
「35」阿克蘇地區 อาเค่อซูตี้ชิว
「36」健馱邏國
「37」十力經
「38」十地經
「39」迴向輪經
「40」護法寺
#ไซอิ๋ว #ใครเขียนนิยายซีโหยวจี้
ประวัติศาสตร์
blockdit
ความรู้รอบตัว
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ใครเขียนนิยาย "ซีโหยวจี้" (ไซอิ๋วกี่)
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย