16 ส.ค. เวลา 13:35 • สุขภาพ

MBTI ไม่ได้แม่นยำอย่างที่หลายคนเข้าใจ

ช่วงเวลาประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา กระแสความสนใจด้านจิตวิทยาและความเจ็บป่วยทางอารมณ์ถูกพูดถึงและได้รับความสนใจในวงกว้างมากขึ้น
หนึ่งในสิ่งที่เจริญเติบโตขึ้นมาพร้อมๆกับยุคนี้ คือแบบจำลองที่ใช้จำแนกลักษณะนิสัย ความชอบ และบุคลิกภาพที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ
Myers-Briggs Type Indicator (MBTI)
หากสืบย้อนกลับไป MBTI เป็นแบบสอบถามที่ใช้ในการประเมินบุคลิกภาพที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง พัฒนาขึ้นโดย Isabel Myers และ Katharine Cook Briggs ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
Katharine Cook Briggs และ Isabel Briggs Myers ไม่ได้มีวุฒิปริญญาเอกหรือคุณวุฒิทางวิชาการด้านจิตวิทยาอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Katharine Briggs ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากทฤษฎีของ Carl Jung และได้พัฒนาระบบการจัดหมวดหมู่บุคลิกภาพของตนเองขึ้นมาก่อนที่หนังสือ "Psychological Types" ของ Jung จะได้รับการแปลอย่างแพร่หลาย
MBTI เผยให้เห็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการรับรู้ในปัจจุบันกับพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่ง เครื่องมือนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดยบุคคลที่ไม่มีพื้นฐานทางจิตวิทยาเชิงวิชาการอย่างเป็นทางการ และถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เชิงปฏิบัติ เช่น การปรับปรุงความสัมพันธ์ในที่ทำงานและการจัดตำแหน่งงานในภาวะสงคราม
ความนิยมที่ยั่งยืนและการนำ MBTI ไปใช้อย่างแพร่หลาย ดูเหมือนจะมาจากประโยชน์ที่รับรู้ในการส่งเสริมการตระหนักรู้ในตนเอง การสื่อสาร และพลวัตทางสังคม มากกว่าการยึดมั่นในมาตรฐานทางจิตวิทยาเชิงวิทยาศาสตร์ ทำให้เริ่มมีการศึกษาที่ตั้งข้อสังเกตถึงความน่าเชื่อถือในฐานะ "เครื่องมือทางจิตวิทยา" เพิ่มมากขึ้น
MBTI ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือแบบทดสอบซ้ำ ซึ่งหมายความว่าบุคคลมักจะได้รับประเภทบุคลิกภาพที่แตกต่างกันเมื่อทำการทดสอบซ้ำหลังจากช่วงเวลาสั้นๆ การวิจัยระบุว่าผู้เข้าร่วมมากถึง 50% อาจได้รับประเภทที่แตกต่างกันหลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ แม้แต่ผู้พัฒนา MBTI เองก็ยอมรับว่า 35% ของกลุ่มตัวอย่างได้รับประเภทที่แตกต่างกันหลังจากผ่านไปสี่สัปดาห์
ความสอดคล้องในการตัดสินใจที่ต่ำนี้บ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของ MBTI ในฐานะเครื่องมือวัดบุคลิกภาพที่มั่นคงและน่าเชื่อถืออย่างมีนัยสำคัญ นักวิจารณ์โต้แย้งว่าความไม่สอดคล้องกันดังกล่าวทำให้ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะสร้างข้อโต้แย้งที่แข็งแกร่งเพื่อสนับสนุนความเที่ยงตรงของมัน
MBTI มีเพียงมาตราส่วน Extraversion-Introversion (E-I) เท่านั้นที่แสดงความเที่ยงตรงที่แข็งแกร่งเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องมืออื่นๆ อย่างไรก็ตาม มาตราส่วน Sensing-Intuition (S-N) และ Thinking-Feeling (T-F) แสดงความเที่ยงตรงที่ค่อนข้างอ่อนแอ และเน้นย้ำถึงความไม่สอดคล้องกันที่น่ากังวลระหว่างความนิยมของ MBTI กับการขาดคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
American Psychological Association (APA) ไม่แนะนำให้ใช้ MBTI เพื่อวัตถุประสงค์ในการให้คำปรึกษา ซึ่งในแง่นี้ เครื่องมือสมัยใหม่อย่าง Big Five ซึ่งพบว่ามีการวัดเป็นระดับ (เช่น Extraversion สูง–ต่ำ) ให้ความแม่นยำที่สูงกว่า
การวิจัยหลายครั้งแสดงให้เห็นอย่างสม่ำเสมอว่าประเภท MBTI ไม่สามารถทำนายผลลัพธ์ที่สำคัญในชีวิตได้อย่างน่าเชื่อถือ เช่น ประสิทธิภาพในการทำงาน , ความสำเร็จในอาชีพ , หรือความสำเร็จในความสัมพันธ์ การขาดความน่าเชื่อถือในการทำนายพื้นฐานนี้ขยายไปถึงผลลัพธ์ทางคลินิก ซึ่งหมายความว่า MBTI ไม่สามารถให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือสำหรับการวินิจฉัย การพยากรณ์โรค หรือประสิทธิภาพของแนวทางการรักษาที่เฉพาะเจาะจงได้
การใช้ MBTI ในทางที่ผิดอาจนำไปสู่การเหมารวมที่ไม่เป็นธรรม ในบริบททางการแพทย์ สิ่งนี้อาจส่งผลให้เกิดการรับรู้ที่มีอคติต่อผู้ป่วย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพการดูแล การสื่อสาร หรือความสัมพันธ์ในการบำบัด ระหว่างผู้บำบัดและผู้ป่วยเอง
โดยสรุปก็คือ MBTI สามารถใช้เพื่อเข้าใจตนเองและผู้อื่นในระดับพื้นฐานได้ แต่ไม่สามารถใช้ในเชิงวิชาการ การศึกษาทางพฤติกรรมและจิตวิทยา รวมถึงการใช้เพื่อวินิจฉัยและรักษาทางการแพทย์ได้
และที่สำคัญ อย่างเที่ยวเอา MBTI ไปใช้ประกาศตนเป็นผู้รู้และใช้ตัดสินวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นโดยไม่มีเหตุผลนะครับ เพราะอย่างที่คำโบราณได้กล่าวไว้ว่า "ถ้าพูดมาก เดี๋ยวปากจะมีสีครับ"
อ้างอิง
โฆษณา