17 ส.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ทำไมฉันถึงรู้สึกเยอะกว่าคนอื่น

คุณอาจเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าเสียงเพลงในร้านกาแฟที่คนอื่นว่าไพเราะ มันกลับดังเกินไปสำหรับคุณ หรือรู้สึกเหนื่อยล้าจนแทบหมดแรงทุกครั้งที่ต้องเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้าที่ผู้คนพลุกพล่าน
คุณอาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ บนใบหน้าหรือในน้ำเสียงของเพื่อนร่วมงานได้เสมอ หรืออาจจะรู้สึกซาบซึ้งกับบทกวีหรือภาพวาดภาพหนึ่งได้อย่างลึกซึ้งจนน้ำตาซึม
หากเรื่องราวเหล่านี้ฟังดูคุ้นเคย คุณอาจเคยถูกคนรอบข้างมองด้วยความไม่เข้าใจ หรืออาจจะเคยถูกตัดสินว่าเป็นคนคิดมากหรืออ่อนไหวเกินเหตุแต่ผมอยากจะชวนคุณมองสิ่งที่คุณเป็นในมุมใหม่ครับ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณนั้นไม่ใช่ข้อบกพร่องแต่มันคือลักษณะบุคลิกภาพที่มีอยู่จริงในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเรียกว่า "ความไวต่อสิ่งแวดล้อม" (Environmental Sensitivity)
1
นี่ไม่ใช่เพียงแนวคิดลอยๆ อีกต่อไป เพราะล่าสุดได้มีงานวิจัยชิ้นใหญ่ที่เปรียบเสมือนบทสรุปครั้งสำคัญในเรื่องนี้ นักวิจัยได้ทำการรวบรวมและวิเคราะห์ผลการศึกษาจากทั่วโลกถึง 33 ชิ้น ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการวิจัยรวมกันกว่า 12,000 คน เพื่อยืนยันถึงความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างลักษณะนิสัยที่อ่อนไหวง่ายนี้กับปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อยอย่างภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล
การทำความเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อตีตราใคร แต่มีไว้เพื่อให้เราได้รู้จักและโอบกอดธรรมชาติของตัวเองอย่างเข้าใจ เพื่อที่จะสามารถสร้างสรรค์ชีวิตที่แข็งแรงและมีความสุขได้อย่างแท้จริง
ลองจินตนาการว่าเราแต่ละคนเกิดมาพร้อมกับปุ่มปรับระดับเสียงในการรับรู้และประมวลผลข้อมูลจากโลกภายนอก คนส่วนใหญ่อาจมีปุ่มนี้ตั้งอยู่ที่ระดับกลางๆ พอดีๆ แต่สำหรับประชากรกลุ่มหนึ่งซึ่งมีอยู่ประมาณ 20-30% ปุ่มนี้จะถูกปรับให้ไวหรือดังกว่าคนทั่วไปตั้งแต่กำเนิด
1
นี่คือแก่นแท้ของความไวต่อสิ่งแวดล้อม มันไม่ใช่โรคหรือความผิดปกติ แต่เป็นลักษณะทางชีวภาพที่ทำให้ระบบประสาทของคุณทำงานในโหมดที่ละเอียดอ่อนและเข้มข้นกว่าคนอื่น
นั่นหมายความว่าสมองของคุณจะประมวลผลสิ่งเร้าต่างๆ ในระดับที่ลึกซึ้งกว่า ไม่ว่าจะเป็นแสงจ้า เสียงดัง กลิ่นที่รุนแรง ไปจนถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดในห้องประชุม หรือความเศร้าที่ซ่อนอยู่ในแววตาของใครสักคน การที่คุณรู้สึกท่วมท้นหรือหมดพลังได้ง่ายกว่า จึงไม่ใช่เรื่องที่คุณคิดไปเอง แต่เป็นผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผลจากการที่ระบบประสาทของคุณทำงานหนักกว่าคนอื่นอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
นักวิทยาศาสตร์ได้เปรียบเทียบลักษณะบุคลิกภาพนี้ว่าเป็นเหมือนดาบสองคมที่มีทั้งด้านที่เปราะบางและด้านที่ทรงพลังอย่างยิ่งในคนๆ เดียวกัน มีทฤษฎีหนึ่งที่อธิบายเรื่องนี้ได้อย่างเห็นภาพ
โดยเปรียบเทียบคนที่มีความอ่อนไหวง่ายว่าเป็นเหมือน "ดอกกล้วยไม้" ในขณะที่คนส่วนใหญ่เป็นเหมือน "ดอกแดนดิไลออน" ดอกแดนดิไลออนนั้นมีความแข็งแกร่งและทนทาน สามารถเติบโตได้ในทุกสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่ดอกกล้วยไม้นั้นต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ หากมันต้องเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่ดีในวัยเด็ก หรือต้องเผชิญกับความเครียดและความกดดันอย่างต่อเนื่อง มันก็จะเหี่ยวเฉาและเปราะบางกว่าดอกไม้ชนิดอื่น
แต่ในทางกลับกัน หากดอกกล้วยไม้นี้ได้รับการดูแลอย่างดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและเข้าใจ มันจะสามารถเบ่งบานและเผยความงามที่ซับซ้อนและน่าอัศจรรย์ออกมาได้อย่างที่ดอกแดนดิไลออนไม่อาจเทียบได้
ดังนั้น การค้นพบจากงานวิจัยชิ้นนี้จึงไม่ใช่ข่าวร้าย แต่เป็นเหมือนคู่มือการใช้งานสำหรับ "ชาวกล้วยไม้" ทุกคน มันบอกเราว่าการตระหนักรู้และยอมรับในธรรมชาติของตัวเองคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด
แทนที่จะพยายามฝืนตัวเองให้กลายเป็นดอกแดนดิไลออนที่ทนทาน เราควรเรียนรู้ที่จะสร้างเรือนกระจกที่เหมาะสมสำหรับตัวเราเอง ซึ่งอาจหมายถึงการจัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้สงบ การเลือกใช้เวลากับผู้คนที่ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับ การเรียนรู้เทคนิคในการจัดการกับภาวะท่วมท้นทางอารมณ์ เช่น การทำสมาธิหรือการฝึกหายใจ
และที่สำคัญที่สุดคือ การไม่ลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อรู้สึกว่าภาระทางใจนั้นหนักเกินกว่าจะรับมือได้เพียงลำพัง การเข้าใจในบุคลิกภาพของตัวเองนั้นเป็นก้าวแรกที่นำไปสู่การดูแลจิตใจที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงครับ
แหล่งอ้างอิง:
Falkenstein, T., Sartori, L., Malanchini, M., Hadfield, K., & Pluess, M. (2025). The Relationship Between Environmental Sensitivity and Common Mental-Health Problems in Adolescents and Adults: A Systematic Review and Meta-Analysis. Clinical Psychological Science. https://doi.org/10.1177/21677026251348428
โฆษณา