19 ส.ค. เวลา 13:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Demon Slayer -Kimetsu no Yaiba The Movie: Infinity Castle ความสงบอันไร้ขอบเขต

“ดำดิ่ง จุกอก สะเทือนสุด”
เป็นโมเมนต์ที่อะดรีนาลีนพุ่งพล่านไม่หยุด
พลังปราณในตัวคุกรุ่น หัวใจดีด
สูบฉีดจนแอบกำหมัด กัดปาก
วางป๊อบคอร์นลง
และเลือกที่จะไม่จิบน้ำสักหยดตลอดการรับชม
เพราะไม่อยากพลาดรายละเอียดใดๆ
แม้สักวินาทีเดียวเลย
สิ่งเหล่านี้นับเป็นความรู้สึก
ที่ยังคงอัดแน่นอยู่เต็มอก
แม้กลับบ้านมาก็ยังพกอารมณ์ต่างๆ
กลับมาด้วยแบบยากที่จะเอ่ย
หลังดู “ดาบพิฆาตอสูร: ปราสาทไร้ขอบเขต”
ที่เฝ้ารอคอยมานาน ไม่อ่านมังงะ
ไม่เข้าไปดูสปอยล์จากช่องใดๆ
เพื่อให้ดื่มด่ำกับมันเต็มอารมณ์
ซึ่งก็สมการรอคอยจริงๆ
เลยอยากจะร้อยเรียงเขียนมันออกมาทันที
ณ จุดนี้ขอไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร
เพียงอยากให้เหล่าเสาหลัก นักล่าอสูรทุกระดับ
มาหลับตากำหนดลมหายใจ เพ่งจิต
พินิจอยู่กับร่างกายทุกอณู
กำดาบนิจิรินในมือให้มั่น
แล้วระเบิดพลังปราณออกพลัน
บั่นหัวอสูรทั้งหลายให้ขาดสะบั้น
ไม่อาจคืนชีพมาทำร้ายใครได้อีกจริงๆ
ท่ามกลางปราสาทอันไร้ขอบเขตเป็นอนันต์
เอาล่ะนะ! ปราณวารี
กระบวนท่าที่ 11 ผิวน้ำสงบนิ่ง!!
ชวนอ่านแก่นทั้งหมดของภาคนี้อย่างละเอียด
สำหรับคนที่ดูแล้วเท่านั้นครับ 🌊🌊
.
.
.
.
.
1. “ปีกแห่งความพยายาม จะไม่มีวันจากไป” 🦋
- บางอย่างแม้จะคาดเดาและเตรียมใจมาแล้ว แต่ครั้นพอมันเกิดขึ้นจริง ก็ทำเอาหัวใจเราแตกสลายไม่มีชิ้นดี น้ำใสๆ ไหลพรากออกมาในพริบตา เพียงเมื่อได้รู้ว่าตัวละครที่เรารักมากอีกคน กำลังเดินมาถึงวาระสุดท้ายของตัวเอง เฉกเช่น “คุโจ ชินุโบ” เสาหลักแมลงผู้สง่างาม เต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน สติปัญญา และพิษแห่งโทสะที่ร่ำร้องระอุอยู่ข้างใน แม้ภายนอกเธอมักจะพริ้มตายิ้มออกมา พร้อมเสียงอันนุ่มละมุนก็ตาม
ยิ่งเมื่อได้มาเจอกับ “โดมะ” อสูรจันทราข้างขึ้นลำดับที่ 2 ผู้เป็นเจ้าของลัทธิสวรรค์นิรันดร์ และเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่คร่าชีวิตของ “คานาเอะ” พี่สาวผู้เป็นที่รัก คอยเทิดทูน และเป็นดั่งครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวก่อนจะรับคานาโอะเข้ามา แม้นยามหลับตาก็จะเห็นเพียงภาพบุปผางามที่ร่วงหล่นลงผืนดิน มีเพียงสีเลือดที่ฉาบกลีบจนจากไป พร้อมคำสั่งเสียว่าน้องอย่าเป็นนักล่าอสูรแบบพี่เลย แค่นึกภาพว่าถ้าตัวเราต้องใช้ชีวิตอยู่กับพิษแห่งความแค้นแบบชิโนบุขึ้นมา ก็นึกไม่ออกเลยว่าจะมีความสุขได้ยังไง
ยิ่งมองลึกลงไปในรายละเอียดจริงๆ เส้นทางกว่าที่เธอจะมาเป็นเสาหลักได้นั้นยากเย็นยิ่งกว่าใครๆ ตั้งแต่การที่เป็นผู้หญิง ตัวเล็ก สูงเพียง 151 ซม. มือเรียวเล็ก แรงน้อย เสียเปรียบด้านสรีระ ไม่อาจพิฆาตอสูรด้วยวิธีปกติได้เหมือนคนทั่วไป แม้แต่แผ่นหลังของพี่สาวก็ดูใหญ่โตห่างไกลเกินคว้ามา ทว่าเธอไม่เคยหยุดพยายามในแบบของตัวเองเลย ทำเอานึกถึง “ร็อคลี” จากนารูโตะที่แม้จะไม่สามารถใช้คาถาใดๆ แต่ก็ไม่เคยเอามาจำกัดตนเอง ฝึกฝนกระบวนท่าจนลึกซึ้งถึงแก่น ยืนหยัดได้อย่างภาคภูมิ
ชิโนบุพยายามตั้งแต่ขัดเคลาสติปัญญาและเคล็ดวิชาปราณแมลงที่อาศัยพิษร้ายนานาชาติพิฆาตอสูรให้ทรมานแดดิ้นเหมือนตกนรกทั้งเป็น และยังคงค้นคว้าวิจัยอยู่เรื่อยๆ ทั้งการมุ่งเน้นสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ให้บรรดาเด็กๆ ที่ยากไร้ สูญเสียพ่อแม่จากน้ำมืออสูรเหมือนที่เธอกับพี่เคยเจอ รวมถึงนักล่าอสูรต่างๆ ได้มาพักพิงฟื้นกายใจในคฤหาสน์หลังเดียวกัน เปรียบดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นหลังบ้านที่คอยขับเคลื่อนให้พวกทันจิโร่และหน่วยพิฆาตอสูรสามารถไปต่อได้ในระยะยาว เป็นทั้งเพื่อน พี่ และน้องสาวในอุดมคติของทุกคน
อีกทั้งยังเป็นคนที่รู้ในศักยภาพและข้อจำกัดของตัวเองดี เก่งด้านไหนก็ใช้ฝีมือให้ถูกทาง อย่างคราวที่บรรดาเสาหลักจัดการฝึกฝนให้เหล่านักล่าอสูรตามคำขอของนายท่าน ชิโนบุก็ยืนกรานมั่นที่จะไม่จัดฝึกเหมือนใครๆ ไม่ใช่เพราะอยากปฏิเสธจริงๆ ด้วยเหตุผลด้านโครงสร้างร่างกายที่ไม่อาจใช้ทักษะทางกายภาพได้ดีเท่าเสาหลักคนอื่น
การเน้นฝึดภาคสนามจึงไม่ใช่ทางสำหรับเธอและไม่ตอบโจทย์นักล่าทั่วไป อีกอย่างชิโนบุก็มีวิธีฝึกตามแบบฉบับของตน โดยเชื่อว่าทุกคนควรหาปราณที่เป็นตัวเอง แบบที่เธอสร้างปราณแมลงขึ้นมา รวมถึงการค้นคว้าปรุงพิษสูตรต่างๆ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อหน่วยมากกว่านั่นเอง
จนกระทั่งวันที่ชิโนบุได้ห้ำหั่นกับโดมะจริงๆ เราต่างได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังทุ่มเทรีดพลังปราณและความชำนาญทั้งชีวิตออกมาสู้อย่างสุดหัวใจ อาศัยทั้งอารมณ์โกรธแค้นและปัญญาอันเฉียบแหลม คอยประเมินสถานการณ์ อ่านจุดเด่นและจุดอ่อนของอีกฝ่าย พร้อมผสมพิษร้ายในฝักดาบและปรับกลยุทธ์การสู้อย่างเด็ดเดี่ยว
แม้ร่างกายและหัวใจจะถูกพัดคู่อันหนาวเหน็บเย็นยะเยือกเคลือบฉาบจนบาดเจ็บสาหัส ท้อถอย เตรียมยอมรับชะตา ทว่าพลังความรักจากคานาเอะ พี่สาวที่ส่งออกมาได้ทำให้เด็กสาวตัวเล็กระเบิดพลังปราณอันยิ่งใหญ่ ไม่ยอมแพ้จนถึงที่สุด กระแทกดาบเข้าที่คอของฆาตกรผู้เลือดเย็นบริสุทธิ์ จิตใจบิดเบี้ยว บ้าบอ เย็นชาจนแน่นิ่งไปครู่ใหญ่
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความพยายามมีคุณค่าอย่างแท้จริง แต่ใช่ว่าความสำเร็จจะอยู่คู่ด้วยเสมอไป เพราะศัตรูบางคนก็ยิ่งใหญ่และยากเกินจะปลิดชีพลง โดยเฉพาะโดมะที่อยู่มานับร้อยนับพันปี กระชากหัวนักล่าอสูรและเสาหลักมามากมาย ซ้ำร้ายนี่ยังเป็นโคตรอสูรที่ชิโนบุ “แพ้ทาง” เข้าอย่างจังทุกประตู ตั้งแต่วิชาน้ำแข็งที่มาพร้อมคุณสมบัติพิษเย็นเฉียบ หากเผลอสูดเข้าไปแม้เพียงนิดเดียว ระบบหายใจและการเคลื่อนไหวก็จะถูกรบกวน ให้ชิโนบุซึ่งตัวเล็กและแรงน้อย เสียเปรียบตั้งแต่ต้นทันที
ตามด้วยความสามารถในการฟื้นฟูที่เหนือชั้น รวดเร็วแบบไร้เทียมทาน แม้พิษของเธอจะรุนแรงเข้มข้นถึงขนาดฆ่าอสูรทั่วไปได้พริบตา แต่สำหรับโดมะ เขาสามารถฟื้นเซลล์ได้เร็วกว่าที่พิษจะกระจาย
แถมเลือดปีศาจของเขายัง “ทำลายพิษ” ได้ดีจนไม่อาจออกฤทธิ์ได้เต็มที่ เพราะพิษของชิโนบุจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดเมื่ออยู่ในสภาพร่างกายที่มีการไหลเวียนเลือดและเมตาบอลิซึมสูง แต่พลังน้ำแข็งและความเย็นจัดที่แผ่ซ่าน นับเป็นภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ช่วยชะลอการทำงานของพิษได้โดยตรง
อีกเรื่องคือต้องไม่ลืมว่าจุดเด่นของชิโนบุคือการพิฆาตอสูรด้วยความเร็วยิ่งยวดและการฉีดพิษโจมตีจุดสำคัญอย่างแม่นยำมาก แต่เมื่อโดมะตวัดพัดคู่ในมือสร้าง กำแพงน้ำแข็งและพายุหิมะ ปิดเส้นทางเข้าถึงตัว นั่นหมายความว่าเธอต้องพุ่งแทบจะหักล้างจุดเด่นทุกด้านของเธอ เป็นเหตุผลว่าแม้ชิโนบุจะวางแผนเก่งแค่ไหน โอกาสชนะโดยตรงนั้นแทบเป็นศูนย์
จนผมแอบคิดว่าถ้าคู่ถ้าคู่ต่อสู้ไม่ใช่โดมะ ผลอาจไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ แต่ก็ต้องเป็นอยู่ดีเพราะนี่คือชะตา และมันก็ร้ายกาจเกินกว่าความพยายามทั้งชีวิตของเธอ ก่อนที่ร่างอันบอบบางและปีกของผีเสื้อสาวตัวน้อยๆ จะถูกบดขยี้ ป่นกระดูก กลืนกินเข้าไปแบบน่าสะเทือนใจเหลือเกิน อีกครั้งและอีกครั้งเมื่อตัวละครที่เรารักต้องมาจากไปแบบไม่ทันตั้งตัว พร้อมตัดสลับไปที่ประโยคเตือนใจ
"บางทีเราก็อยากให้คนที่ตนเองรัก มีชีวิตยืนยาวอยู่ด้วยกันให้นานที่สุด น่าเสียดายที่ชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น น่าเสียดายจริงๆ"
เซนอิทสึ (พูดขณะที่กำลังหวดกับไกคาคุ) แต่ให้ความรู้สึกเหมือนอาจารย์ผู้แต่งกำลังถ่ายทอดความในใจให้คนดูเราๆ ว่ายอมรับเถอะว่านี่คือชีวิตจริง
แม้ชิโนบุจะจากไป แต่สิ่งที่เธอเหลือทิ้งไว้คือเจตจำนงอันงดงาม เพราะเธอคือยอดนักล่าอสูรแห่งความพยายามอย่างแท้จริง แม้แต่โดมะยังหลั่งน้ำตาด้วยความนับถือจากใจ ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ผู้สืบทอดอย่างคานาโอะที่กำลังต้องรับศึกหนักต่อจากผู้เป็นอาจารย์
2. “สายฟ้ากัมปนาทที่อ่อนโยน” ⚡
- คนเราร้อยพ่อพันแม่ย่อมแตกต่างกัน แม้แต่ฝาแฝดก็ยังต่างเลย นับประสาอะไรกับศิษย์ร่วมสำนักที่แม้จะมีอาจารย์คนเดียวกัน ฝึกวิชาปราณอัสนีเหมือนกัน แต่ข้างในช่างต่างกันสุดขั้วเหลือเกิน สำหรับคู่ปรับแห่งชะตาอีกมุมที่โคจรกลับมาเจอ ระหว่าง “เซนอิทสึ VS ไคกาคุ” อดีตศิษย์พี่ผู้ผันตัวขายวิญญาณเป็นอสูรข้างขึ้นลำดับที่ 6
ซึ่งศึกครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการพบกันระหว่างเด็กขี้แง อ่อนแอในวันวานผู้ใช้ปราณอัสนีได้เพียงกระบวนท่าที่ 1 ท่าเดียว กับศิษย์พี่ผู้สามารถใช้ปราณดังกล่าวได้ทุกกระบวนท่ายกเว้นท่าแรกอันเป็นพื้นฐานสำคัญ โดยทั้งคู่ต่างเป็นศิษย์ที่คุณปู่ “คุวาจิมะ จิโกโร่” อดีตเสาหลักอัสนี ต่างรักและฟูมฟัก หมายมั่นปั้นมือวางให้พวกเขาเป็นผู้สืบทอดร่วมกัน แต่สายฟ้าอันแรงกล้าทั้งสองคน กลับมิอาจผ่ามาบรรจบกันได้เลยสักคราเดียว
ด้วยข้อจำกัดหลายด้านของเซนอิทสึ ทั้งร่างกายที่อ่อนแอแต่เด็ก มีปัญหาด้านความทนทานและความฟิต ทำให้การฝึกฝนปราณอัสนีกระบวนท่าอื่นๆ ที่ต้องใช้ความต่อเนื่องและสมดุลร่างกายสูง มีการเคลื่อนไหวหลายจังหวะและเปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็ว ซึ่งกินแรงและต้องควบคุมลมหายใจซับซ้อน บวกกับความเป็นเด็กขี้กลัวและขาดความมั่นใจ ทำให้ตอนฝึกไม่สามารถจดจ่อพอที่จะเรียนรู้กระบวนท่าที่ซับซ้อนได้ครบจึงเป็นไปได้ยากสำหรับเด็กชายขี้แงในตอนนั้น
กลับกันกระบวนท่าที่ 1 สายฟ้าฟาด เป็นการพุ่งเส้นตรงระยะสั้นด้วยความเร็วสูงสุดที่เหมาะกับร่างกายของเขามากกว่า จึงทุ่มเทฝึกฝนเคี่ยวกรำท่าเดิมซ้ำๆ อย่างหนักจนชำนาญอย่างถึงที่สุด ดั่งคำปู่จ๋าเคยกล่าว “การทำสิ่งเดียวให้ถึงที่สุด ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางสู่ความแข็งแกร่ง” เกิดเป็นไม้ตาEท่าเดียวที่ทั้งเร็วดั่งสายฟ้าฟาดและทรงพลังกัมปนาทเกินปราณอัสนีทั่วไปจะเทียมได้
ส่วนไคกาคุผู้เป็นศิษย์พี่ที่แม้จะมีพรสวรรค์ด้านเทคนิค ใช้กระบวนท่าปราณอัสนีได้หลากหลายกว่า แต่ขาดสัญชาตญาณการเคลื่อนไหวรวดเร็วแบบฉับพลัน อันเป็นพื้นฐานและหัวใจสำคัญของกระบวนท่าที่ 1 ซึ่งต้องอาศัยการระเบิดแรงจากศูนย์สู่จุดสูงสุดในทันที ทั้งยังต้องมีความชำนาญในการวบคุมร่างกายขั้นสุด โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวแบบเส้นตรงด้วยความเร็วยิ่งยวดทะลวงขีดจำกัด เป็นท่าที่ต้องใช้ความเร็วเหนือกว่าท่าอื่นๆ เป็นจุดด่างพร้อยเดียวที่เขาไม่สามารถทำได้ตั้งแต่สมัยยังเป็นมนุษย์
พอไคกาคุกลายเป็นอสูร เขาได้พละกำลัง ความคงทน และความเร็วที่สูงขึ้น แต่การใช้ท่า 1 ยังติดปัญหาพื้นฐานเดิม คือ การเคลื่อนไหวแบบชาร์จพลังเป็นเส้นตรงในเสี้ยววินาทีไม่เข้ากับร่างกายและสไตล์เขา ทำให้เลือกฝึกและใช้ท่าอื่นทั้งหมดแทน มุ่งเน้นใช้พลังอันกล้าแกร่งและกระบวนท่าที่หลากหลายกว่าเข้าชิงชัย
ถ้าไคกาคุคือ “ผู้ที่รู้ปราณอัสนีทุกท่า แต่ไม่มีท่าไหนสมบูรณ์ที่สุด”
เซ็นอิตสึก็คือ “นักสู้ที่มีท่าเดียว แต่ฝึกซ้ำๆๆๆ จนบรรลุมันถึงขีดสุด!”
ดังนั้นนี่จึงเป็นบททดสอบที่สำคัญของทั้งคู่ ว่าใครกันแน่คู่ควรกับการเป็นผู้สืบทอดปราณอัสนีมากกว่า เมื่อคนหนึ่งเป็นดั่งสายฟ้าทมิฬอันดุดัน แข็งแกร่ง รุนแรง ทุกท่วงท่าล้วนฟาดฟันออกไปด้วยความเคียดแค้น อิจฉา ชิงชัง หวังพิสูจน์ความเป็นหนึ่งเดียว เป็นพลังด้านมืดอันโหดร้าย ไร้ความปราณีใดๆ สบโอกาสเมื่อไหร่จะสาดพลังฆ่าไอ้กระจอกอย่างแกให้ตาEอย่างทรมาน
เป็นอดีตนักล่าอสูรผู้ถูกอดีตอันยากจน ข้นแค้น จนต้องก่อวีรกรรมลักเล็กขโมยน้อย ดื่มน้ำโคลนแทนน้ำทั่วไป แม้จะอยู่ใต้ชายคาสำนักของอาจารย์ ก็กลับเปรียบเสมือนกล่องที่มีรูรั่ว จนความสุขไหลออกตลอดเวลา ปล่อยให้อารมณ์และความคิดด้านลบกลืนกินตัวเองช้าๆ ลงทุกวัน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความชั่วเป็นสิ่งดี และเห็นเจตนาดีเป็นร้ายไปแบบไม่มีอะไรกรอง มีชีวิตอยู่เพื่อให้ใครสักคนมายืนยันคุณค่าของตัวเอง มองว่าท่านมุซันและโคคุชิโบคือผู้มองเห็น พร้อมให้โอกาสเกิดใหม่แก่ตน
ทั้งที่จริงเขามีครบทั้งอาจารย์ที่แอบภูมิใจและศิษย์น้องที่ถึงจะเกลียด คอยตีกัน แต่ข้างในก็เคารพเขาเสมอมา ยอมกระทั่งไม่ให้ใครมานินทาแอบต่อว่าศิษย์พี่ตนที่ไม่อาจใช้ท่าที่ 1 ได้เลย
ในใจของเซ็นอิทสึจึงมีทั้งความโกรธ ผิดหวัง เสียใจ คำรามก้องไปมา เพราะทุกวินาทีที่สายฟ้าของพวกเขาฟาดฟันเข้าหากัน มันเหมือนเขากำลังทรยศต่อเจตจำนงของผู้เป็นอาจารย์ กระนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้อดีตศิษย์พี่ผู้หลงผิด ลบหลู่กระทั่งอาจารย์ที่เสียใจเมื่อรู้ว่ามีศิษย์กลายเป็นอสูรจนคว้านท้องตัวเองจากไปแบบไร้การปลิดศรีษะ อสูรร้ายแบบนี้ไม่ใช่ศิษย์พี่ และไม่อาจมีชีวิตก่อกรรมทำชั่วได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่ใช้กระบวนท่าที่ 1 สายฟ้าฟาดฟันต่อเนื่อง 6 7 8 ครั้ง ย่อมเปี่ยมไปด้วยพลัง
พลังใจของเด็กชายผู้อ่อนแอที่ผ่านการฝึกฝนตนเองจนแข็งแกร่ง คอยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกทันจิโร่-เนซึโกะ-อิโนะสุเกะ จนค่อยๆ เติบโตไปด้วยกัน คอยปกป้องฟาดฟันอสูรร้ายที่หมายชีวิตผู้อ่อนแอ แม้บางทีจะรู้หรือหลับไม่รู้ตัว ปล่อยสัญชาติญาณพาไปก็ตาม รวมถึงนิยามเป้าหมายชีวิตที่อยากจะเป็นเสาหลัก “เพื่อใครสักคน” นั่นคือปู่จ๋าที่จากไป อยากจะให้ท่านมองลงมาจากบนฟ้าด้วยความภูมิใจ ว่าผมยังคงสู้เพื่อทำให้ได้ในสักวัน
เช่นกันกับครั้งนี้ที่ทะลุขีดจำกัด ฝึกจนบรรลุปราณอัสนีกระบวนท่าที่ 7: เทพสายฟ้าโฮโนะอิคาซึจิ ซึ่งไม่มีในตำรา เป็นท่าเฉพาะของตัวเอง พลิกเกมสับคอไคกาคุหลุดจากบ่าแบบแทบจะไม่รู้ตัว ด้วยความยโส โอหัง เชื่อว่าตนเหนือกว่าศิษย์น้องที่กระจอกมาตลอด จึงทำให้อสูรจันทราข้างขึ้น ผู้สืบทอดลำดับที่ 6 จบชีวิตลงไปแบบเจ็บปวดใจที่สุด
“เซนอิทสึ ข้าภูมิใจในตัวเจ้ามากนะ” ขอบคุณนะครับปู่จ๋า ผมจะพัฒนาและก้าวต่อไป เป็นเสาหลักอัสนีให้ได้ในแบบของตัวเอง
3. “ความสำคัญของฝ่ายบุ๋นในสงคราม”
- แม้นายท่าน “คากายะ อุบุยาชิกิ” ผู้เป็นที่รักของทุกคนจะพลีชีพจากไป แต่จิตวิญญาณและเจตจำนงของเขาก็ยังคงสถิตอยู่ในคมดาบของหน่วยพิฆาตอสูรทุกกำลังพลไม่เสื่อมคลาย รวมถึงชีวิตน้อยๆ ผู้สืบสายเลือดอีก 3 คนที่ยังคงสานต่อสิ่งที่ท่านพ่อทำไว้ได้อย่างดี
ซึ่งกลยุทธ์ที่นายท่านวางไว้ มิได้มีแค่การวางตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้มุซันออกมาและเปิดโอกาสให้เหล่าเด็กๆ เสาหลักที่เขารักได้โต้กลับสับหัวมันแบบไม่ทันตั้งตัว เพราะเมื่อศึกสุดท้ายเริ่มขึ้นในปราสาทไร้ขอบเขตระอุขึ้นเป็นไฟ เหล่าผู้นำรุ่นใหม่ที่นำโดย “คิริยะ อุบุยาชิกิ” ก็ได้รับหน้าที่บัญชาการสูงสุดทันทีชนิดที่ไม่มีเวลาฝึกซ้อมหรือตั้งตัว
เขานั่งประจำในห้องบัญชาการ โดยมี "คานาตะ - คุอินะ" น้องสาวทั้งสองและหน่วย Kakushi คอยรับ-ส่งข้อมูลจากกาสื่อสารผู้สอดส่องในสนามรบ พร้อมยันต์ที่เชื่อมกับพลังของ “ยูชิโร่” อสูรฝ่ายดี ผู้ช่วยของทามาโยะ ช่วยให้ทีมฝ่ายบุ๋นสามารถมองเห็นความเป็นไปและสถานการณ์ต่างๆ ได้ตลอดเวลา
แล้วใช้วิจารณญาณจัดลำดับความสำคัญว่ากลุ่มใดต้องได้รับการช่วยเหลือก่อนหรือควรเปลี่ยนกลยุทธ์ยังไง รวมถึงการให้กาสื่อสารของรายงานความเคลื่อนไหวไปยังภาคสนาม ทั้งการสูญเสียเหล่านักล่าคนสำคัญอย่างชิโนบุที่แม้จะสร้างความเจ็บปวดให้กองทัพ แต่ก็เป็นการกระตุ้นกลุ่มคนที่ยังมีชีวิตอยู่ให้สู้เพื่อเธอจนถึงที่สุด หรือชัยชนะครั้งใหญ่ของทันจิโร่-กิยูเหนืออาคาสะ ก็ช่วยเรียกขวัญกำลังใจให้ทุกคนได้ดีในศึกที่แทบไม่เห็นหนทางคว้าชัย
พี่น้องทั้งสามและทีมงาน ยังคอยส่งคำสั่งไปยังจุดต่างๆ ผ่านเครือข่ายกาสื่อสาร และแจ้งเตือนเมื่อมีอสูรระดับสูงโดยเฉพาะหากมีจันทราข้างขึ้นเข้าใกล้หรือกำลังมีการเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญ พร้อมบันทึกรูปแบบการโจมตีหรือย้ายตำแหน่ง แล้วรายงานซึ่งกันและกัน
โดยพวกเขาแทบไม่มีโอกาสหยุดพักแม้แต่วินาทีเดียว เพราะความล่าช้าแม้เพียงสั้นๆ ก็อาจหมายถึงความเป็นความตาEของเหล่านักล่าอสูรในสนามรบได้เลย ดังนั้นความเยือกเย็นและความรวดเร็วในการสื่อสารของฝ่ายนี้จึงทำให้ทีมรบยังคงประสานงานกันได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่แปรปรวนตลอดเวลาเพราะปราสาทไร้ขอบเขตที่สร้างโดย “นาคิเมะ” อสูรจันทราข้างขึ้นลำดับที่ 4 สามารถบิดเบือนพื้นที่ได้ตลอดเวลา
หากไม่มีคนคุมภาพรวม นักล่าอสูรจะกระจายตัวและถูกกำจัดทีละกลุ่มอย่างง่ายดาย ข้อมูลตรงนี้จึงไม่เพียงช่วยลดความสุ่มเสี่ยงจากการถูกโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว ยังเพิ่มโอกาสให้ฝ่ายนักล่าอสูรสามารถดักโจมตีหรือโต้กลับ
พูดให้ง่ายขึ้นพวกเขาเปรียบเสมือนสมองและระบบประสาทส่วนกลางของกองทัพพิฆาตอสูรในศึกปราสาทไร้ขอบเขตที่ไม่ได้ต่อสู้ด้วยดาบ แต่เป็นกำลังสำคัญที่ทำให้การรบครั้งสุดท้ายไม่กลายเป็นความวุ่นวายไร้ทิศทาง ในสงครามที่ทุกวินาทีคือความเป็นความตาE การมีฝ่ายบัญชาการที่รวบรวม วิเคราะห์ และส่งต่อข้อมูลอย่างแม่นยำ ทำให้กองกำลังนักล่าอสูรยังคงเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียวจนถึงวินาทีสุดท้ายของการต่อสู้เลย
4. ถอดรหัส “โลกแห่งอนัตตา”
- อีกหนึ่งไฮไลท์ในภาคนี้คือการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ “คามาโดะ ทันจิโร่” ที่ได้เติบโตและพัฒนาขึ้นอย่างน่าทึ่งจากที่เก่งขึ้นมามากแล้วจากภาคการสั่งสอนของเสาหลัก มาครั้งนี้บททดสอบอันหนักหน่วงจาก “อาคาสะ” อสูรจันทราข้างขึ้นลำดับที่ 3 ศัตรคู่แค้นเก่าจากภาครถไฟนิรันดร์ที่ได้คร่าชีวิตเสาหลักเพลิงอย่าง “เรนโกคุ เคียวจูโร่” ไปก็ยิ่งเป็นเชื้อไฟจุดให้เขาก้าวไปไกลขึ้นอีกหลายจุดเลยทีเดียว
ด้วยฝีมือที่พัฒนาขึ้น บวกกับการได้ “โทมิโอกะ กิยู” เสาหลักวารีมาร่วมฟาดฟันไปด้วยกัน มองในภาพรวมย่อมเป็นการเพิ่มโอกาสคว้าชัย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย เพราะยิ่งสู้ยิ่งเสียเปรียบทั้งในด้านพละกำลังแห่งอสูร ความดุดัน ความเร็ว แรง แม่นยำ และวรยุทธ์อันเลิศล้ำที่ผสานเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์จนทั้งคู่เริ่มโรยแรง แม้จะมีลูกฮึดสู้และปรับจังหวะรับมือกับอาคาสะได้ตลอดเวลา
จนกระทั่งปานได้ตื่นขึ้นบนตัวกิยู ทว่านั่นก็ยังไม่เพียงพอจะโค่นอสูรสุดแกร่งที่เจนจัดการรบและเต็มไปด้วยความบ้าระห่ำ ภายใต้ศิลปะการต่อสู้ที่ทั้งแม่นและรัดกุมถึงขีดสุด แถมพลังฟื้นตัวสูงอีกต่างหาก มนต์อสูรโลหิตทำลายล้าง ช่างยากจะรับมือ ชนิดที่หากพลาดนิดเดียวชีวิตก็มีแต่จะสิ้นแตกดับในพริบตา
ทว่าด้วยความเป็นทันจิโร่ที่นอกจากจะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เขายังเป็นคนที่ใช้ทั้งหัวสมองและหัวใจผสานไปด้วยกันตลอดเวลา คอยตั้งคำถาม พยายาม “มองหา” และ “มองเห็น” สิ่งที่คนอื่นอาจยังไม่ทันมอง แล้วลองวิเคราะห์ ตั้งสมมติฐาน เขามักใช้ทุกการปะทะเพื่อเรียนรู้พฤติกรรม จังหวะ และเส้นดายแห่งช่องโหว่ของคู่ต่อสู้
คำนวณทุกปัจจัยรอบด้านและหาทางแก้ลำให้จงได้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายตึงมือหรือเสียเปรียบมากแค่ไหน หรือเสี่ยงถูกเอาชีวิตมาแล้วกี่หนเขาก็ยังคงตั้งคำถามได้ว่าทำไมอาคาสะถึงโจมตีแม่นยำแบบจับวางราวกับมีแม่เหล็กติดเอาไว้กับคู่ต่อสู้ อยู่มุมไหนก็โดนเล่นงานได้
เลยนึกถึงบทสนทนาประสาเพื่อน ในวันที่คุยกับ “อิโนะสุเกะ” ว่าทำไมหันหลังแล้วนายยังรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจะเล่นงานตรงไหน ก่อนจะพบว่ากล้ามเนื้อของเจ้าขุนเขาสัมผัสรับรู้ได้ถึง “จิตสังหาร” ที่แผ่ซ่านเข้ามา จึงปรับกระบวนท่ารับมือได้ทัน แต่กลับกันถ้าคนนั้นไม่มีจิตสังหารใดๆ แบบคุณยายที่เข้ามาเสิร์ฟอาหารให้ เขาก็ไม่มีทางรู้เลยว่ามีคนย่องเข้ามา
ทันจิโร่เลยปะติดปะต่อเพิ่มได้ว่าตอนที่อาคาสะสู้กับเคียวจูโร่ ก็พูดขึ้นมาว่า “อ่าา ข้าสัมผัสจิตต่อสู้ของเจ้าได้ชัดเลย” แสดงว่าอสูรจอมยุทธ์มือเปล่าตนนี้ ก็ใช้วิธีเดียวกันในการสู้อย่างแม่นยำ เลยนำมาใช้ได้ผลอย่างทันท่วงที เมื่อการเคลื่อนไหวของเขาหายไปจากเรดาห์การรับรู้ของอาคาสะ ณ ห้วงเวลานั้น ทั้งหลบการโจมตีพ้น และเข้าประชิดตัวได้อย่างที่ไม่เคยมีใครทำ
มากกว่านั้นคือการย้อนนึกถึงบทสนทนาที่เคยคุยกับพ่อเกี่ยวกับ “โลกแห่งอนัตตา” ซึ่งพูดอย่างเดียวย่อมไม่เห็นภาพ พ่อเลยพาเขาไปสาธิตให้ดูกับตาด้วย ท่ามกลางพายุหิมะอันหนาวเหน็บ และหมีตัวใหญ่ทรงพลังที่กำลังหิวโหยสุดๆ กลับถูกชายที่กำลังป่วยซูมผอมสุดๆ ใช้การเคลื่อนไหวที่แสนนุ่มนวลแต่แม่นยำ ตัดคอมันได้ในพริบตาเดียวโดยไม่ให้รู้ตัว มาวันนี้เมื่อลองดับจิตสังหารดู จิตใจที่เริ่มปลอดโปร่งมากพอจึงเข้าสู่ภาวะของโลกแห่งอนัตาได้แบบที่พ่อเขาเคยทำ
โดยโลกแห่งอนัตตาที่ว่าเป็นสภาวะรับรู้ขั้นสูงสุดของนักดาบ ผ่านกลไกสำคัญคือการละวางตัวตน และตัดความฟุ้งซ่านออกทั้งหมด ร่างกายและจิตใจประสานเป็นหนึ่ง เข้าสู่สภาวะนิ่งดุจผิวน้ำ ขณะเดียวกัน ประสาทสัมผัสทั้งหมดกลับเปิดกว้างอย่างไร้ขอบเขต ส่งผลให้ทันจิโร่สามารถมองทะลุได้ถึงเส้นเลือด กล้ามเนื้อ และจุดตาEของคู่ต่อสู้ และรับรู้จังหวะเคลื่อนไหวในความละเอียดระดับเสี้ยววินาที
เมื่ออยู่ในโลกนี้ การรับรู้ของเขาจึงเร่งขึ้นในเชิงประมวลผล ขณะที่สายตากลับมองเห็นทุกสิ่งช้าลง การโจมตีที่เร็วปานสายฟ้าของอาคาสะจึงดูเหมือนเคลื่อนในน้ำหนืด ทำให้เขาสามารถหลบและตอบโต้ได้อย่างแม่นยำ นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทันจิโร่สามารถโต้กลับได้ในจังหวะที่อาคาสะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ พลิกสถานการณ์จากการเป็นฝ่ายถูกล่า กลายเป็นผู้ตัดสินศึกได้อย่างเฉียบขาด จนถึงตอนท้ายที่อ่านการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้ราวกับอยู่ในใจเขา
รวมถึงความเก่งในด้านการทำงานเป็นทีม ศึกนี้เขาคงไม่อาจคว้าชัยได้เลยและคงถูกฆ่าไปหลายครา ถ้าไม่ได้การประสานงานอันยอดเยี่ยมกับกิยูที่คอยรับส่ง ช่วยกันรุก ช่วยกันรับ และช่วยกันแก้สถานการณ์ให้กันได้ทันท่วงที
เมื่อทันจิโร่เข้าสู่โลกแห่งอนัตตา ภาพรวมของสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เขามองเห็นทุกช่องว่าง ทุกเส้นทางที่สามารถโจมตีได้ และกิยูก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ จึงปรับการเคลื่อนไหวของตนให้เข้ากับจังหวะของทันจิโร่อย่างไร้รอยต่อ เหมือนสองกระแสน้ำที่ไหลบรรจบกันพอดี ผลคืออาคาสะถูกบีบให้ตอบสนองกับการโจมตีที่มาจากหลายทิศพร้อมกัน ไม่มีโอกาสตั้งสมาธิหรือใช้ได้พลังเต็มที่
ซึ่งการสอดประสานนี้ไม่เพียงแต่ตัดทอนความได้เปรียบของอาคาสะในด้านความเร็วและพลัง แต่ยังเปิดโอกาสให้ทันจิโร่เข้าใกล้พอจะลงคมดาบสุดท้ายได้ มากกว่านั้นคือจิตใจที่โอบอ้อมอารีของทันจิโร่ ที่แม้จะโกรธเกลียดเคียดแค้นอาคาสะเพียงใด ก็ยังคงแอบสัมผัสได้ถึงปมร้าวลึกในใจอีกฝ่ายที่ยังคงมีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่ ท่ามกลางการต่อสู้ที่เดือดดาล
ทันจิโร่กลับสะกิดบาดแผลในใจของอาคาสะโดยไม่ได้ตั้งใจ ความมั่นคงในสายตาและคำพูดสั้น ๆ กลายเป็นกระจกสะท้อนให้เขานึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งอดีตที่เคยรักและสูญเสียไป ซึ่งลืมเลือนไปแสนนาน จนปล่อยวางจากไปด้วยตนเอง เหมือนทันจิโร่ได้ปลดปล่อยอสูรร้ายจากคโซ่ตรวนแห่งชะตา ปลดปล่อยความทรมานทรกรรมที่กัดกินใจ ชี้ให้ดวงวิญญาณของชายที่หลงทางมาค้นพบสันติสุขข้างในได้อย่างแท้จริง
นี่คือการเดินทางของเด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยถูกอาคาสะดูถูกว่าอ่อนแอ ไร้พลังและไม่มีความสามารถพอจะเข้าถึง “โลกของยอดนักสู้” แต่ด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ และความเข้าใจในตัวเองและคู่ต่อสู้อย่างลึกซึ้ง ทันจิโร่ก็เติบโตจนกลายเป็นนักล่าอสูรที่แม้แต่อาคาสะ อสูรจันทราข้างขึ้นที่เย่อหยิ่งที่สุดคนหนึ่งยังต้อง ยอมรับจากใจจริง (ว่าแต่สนใจมาเป็นอสูรกับข้ามั้ย?)
5. “การกลับมาของอาคาสะ”
- ศึกสุดท้ายในชีวิตของอาคาสะ ได้สะท้อนอะไรออกมามากมาย ทั้งหัวใจรักของตัวร้ายผู้ผ่านอดีตมาด้วยความเจ็บปวดสุดๆ ตั้งแต่ชีวิตยากจนที่ไม่มีสิทธิ์เลือกอะไร ต้องดูแลพ่อที่ป่วยไข้ ลักขโมยเพื่อดิ้นรนให้พ่อมีทางรอด
แม้ตัวเองจะลำบาก โดนตราหน้าว่าเป็นอาชญากร ต้องต่อยตี โบยหลังก็ยังไม่เป็นไร มองว่า "ความแข็งแกร่ง" จะทำให้ชีวิตมีทางเลือกมากขึ้นได้เอง แต่แล้วพ่อก็มาฆ่าตัวตาEจากไป เพราะทนไม่ไหวที่เห็นลูกเดินผิดทาง
จนได้มาใช้ชีวิตใหม่ที่สำนักโซริว ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า จากคำเชิญด้วยกำปั้นของอาจารย์ผู้แสนดีและโคยูกิ ลูกสาวที่ป่วยเรื้อรังมานาน แต่เขาก็ดูแลเธออย่างดีไม่มีบกพร่อง ใจเย็น อ่อนโยน ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเธอตามที่อาจารย์มอบหมาย ตามความหมายชื่อ "ฮาคุจิ" ซึ่งอาจารย์เคย์โซเคยบอกว่า “ฮาคุจิ” (狛治) มีตัวสะกดพิเศษที่สื่อความหมายดีงาม
狛 (ฮะกุ/โคะมะ) หมายถึง “狛犬” หรือสิงโต-สุนัขผู้พิทักษ์ที่มักอยู่คู่กันหน้าศาลเจ้าในญี่ปุ่น เป็นสัญลักษณ์ของ “การปกป้องคุ้มครอง” และ “ความจงรักภักดี”
治 (จิ) แปลตรงตัวว่า “รักษา, ปกครอง, เยียวยา, ทำให้เรียบร้อย”
รวมกัน 狛治 (ฮาคุจิ) จึงตีความได้ว่า “ผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องและเยียวยา” หรือ “ผู้รักษาสันติ”ซึ่งสะท้อนตัวตนของเขาตอนเป็นมนุษย์ จากเด็กเกเรที่เคยทำผิดมากมาย กลับกลายเป็นศิษย์กตัญญูและคู่หมั้นที่ตั้งใจจะปกป้องคนสำคัญด้วยกำปั้นและหัวใจ
แม้โคยูกิจะขอให้ฮาคุจิออกไปดูเทศกาลดอกไม้ไฟใช้ชีวิตเองบ้าง เขาก็ยิ้มตอบกลับอย่างอ่อนโยนว่าไว้ท่านหายดีขึ้นเราค่อยไปกัน ปีนี้ไม่ได้ก็ปีหน้า ปีหน้าไม่ได้ก็ปีถัดไป ไม่ได้มองเธอที่ป่วยโรยแรงเป็นภาระ แต่เป็นดั่ง "อนาคต" ที่อยากใช้ไปด้วยกัน จนมีกำลังใจที่ดี หายดีขึ้นเรื่อยมา และคว้าใจเธอไปครอง
แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกอีกครา แค่แวะไปเคารพหลุมศพพ่อกลับมา ก็พบว่าอาจารย์และว่าที่ภรรยาได้ถูกสำนักคู่แข่งวางยาพิษในบ่อน้ำ ใช้วิธีสกปรกมาเล่นงาน เพราะอ่อนแอกว่า ไม่อาจชนะได้ตรงๆ
วันนั้นจึงทำให้อสูรร้ายปรากฏในร่างชายผู้แสนดี บุกไปสำนักนั้นคนเดียว อาศัยเพียงวรยุทธ์อันแข็งแกร่งทั้งหมัด เตะ ศอก สับ บดขยี้พวกมันกว่า 60-70 ชีวิต จนเลือดสาด ไส้ะลัก กระดูกป่นเป็นชิ้นๆ สิ้นชื่อในคืนเดียว จนมุซันที่ได้ยินชื่อเสียงตรงนี้ต้องลงทุนตามมาดูและมอบเลือดให้ หมายมั่นปั้นเป็น 1 ใน 12 อสูรจันทราที่แข็งแกร่งคอยรับใช้ตน
จากนั้นฮาคุจิตึงกลายเป็นอาคาสะโดยสมบูรณ์ ไล่เข่นฆ่าไม่ยั้ง เสพติดในพลังและความแข็งแกร่ง เกลียดความอ่อนแอแบบไม่มีข้อแม้ โดยกลไกทางจิตได้ปิดผนึกอดีตอันเจ็บปวดและขมขื่นนั้นไว้จนมิด ลองคิดดูสิครับถ้าใครบางคนลืมบางอย่างได้ขนาดนั้น แปลว่าหัวใจเขาต้องผ่านความเจ็บปวดมาเกินคณานับ
กระทั่งศึกกับทันจิโร่ได้ทำให้เขาค้นพบบางอย่างจนปล่อยวาง จากไปได้อย่างหมดห่วง เมื่อความทรงจำในอดีตค่อยๆ คืนกลับกลายเป็นภาพสะท้อนของชายผู้เจ็บปวดในอดีตและกรีดความรู้สึกจนหลงทางมาถึงปัจจุบัน แม้จะโดนสับหัวขาด ร่างแหลกเพียงใด ก็ยังจะฮึดสู้ใหม่ ต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้
เพราะร่างกายเองก็จำความรู้สึกนี้ว่ามีแต่ต้องแกร่งขึ้น ถึงจะปกป้องคนที่รักและตนเองได้ ด้วยความที่ลึกๆ ก็ยังรู้สึกผิดที่ชีวิตผิด timing นิดเดียวแค่ 2 ครั้ง ก็กลายเป็นตราบาป เป็นความอ่อนแอ ผิดหวังที่ไม่อาจทำตามสัญญาคนที่เขารักไว้ได้ ทั้งพ่อ อาจารย์ และคู่หมั้น
มาในภาคนี้ องก์แรกที่ชื่อ "การกลับมาของอาคาสะ" จึงไม่ใช่การกลับมาสู้ศึกใหญ่อีกครั้งหลังรถไฟนิรันดร์ แต่เป็นการกลับมาสู่ความเป็นรากเหง้าในตัวตน เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ยังมีหัวจิตหัวใจ ยังรักได้ เจ็บเป็น ยิ่งในวินาทีที่เขาหลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาต่อหน้าวิญญาณโคยูกิ ปล่อยวางอัตตาและความทะยานอยากไร้สิ้นสุดลงจนกลายเป็นฝุ่น ทำเอาโคคุชิโบถึงกับโกรธจัดที่อสูรจันทราข้างขึ้นด้วยกัน และหมายมั่นจะโค่นเบอร์ 1 อย่างเขามานาน กลับมาแสดงความอ่อนแอจากไปก่อนเสียเอง
ทั้งที่จริงสิ่งที่อาคาสะทำก่อนจากไป หาใช่ความอ่อนแอเสมอไป เพราะการ "ยอมแพ้" และ "ยอมรับ" พวกทันจิโร่ทั้งใจ ว่าเขาพ่ายแพ้โดยดุสดี และไม่มีความหมายที่จะไล่ตามความแข็งแกร่งเหมือนตามเงาแบบนี้ต่อไป การยอมรับว่าตัวเองพ่าย และอ่อนแอเป็น ปล่อยวางอัตตาลงไปบ้าง ก็คือความแข็งแกร่งในรูปแบบหนึ่งที่น่ายกย่องเช่นกัน Villans were not born, they are made: ตัวร้ายไม่ได้เลวแต่กำเนิด พวกเขาแค่มีเหตุให้ร้ายต่างหาก ประโยคนี้จึงไม่เกินจริงแต่อย่างใด
เป็นครั้งแรกเลยที่ผมหลั่งน้ำตาให้ตัวร้าย โดยเฉพาะอาคาสะที่เคยเกลียดนักหนาและสาปส่ง หลังบังอาจมาพรากเอาเสาหลักดาวรุ่งอย่างเคียวจูโร่ให้จากไปก่อนเงลาอันควร แต่มาวันนี้พอได้รู้ทุกอย่างก็ทั้งสงสารอาคาสะจับใจ พร้อมให้อภัย เข้าใจทุกความรู้สึก และมีแต่อวยพรให้การกลับมาครั้งนี้ จะทำให้เขาได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงในภพภูมิหน้าต่อไป
"พอเถอะนะคุณฮาคุจิ ไม่ต้องสู้ ไม่ต้องพยายามแกร่งไปกว่านี้อีกแล้ว ตัวตนของชายคนนั้นนั่นแหละคือคนที่ฉันรักที่สุด เรากลับมาอยู่ด้วยกันนะคะที่รัก"
โคยูกิ
หัวใจของชายผู้เจ็บปวดทุกข์ระทมมานานจากข้างใน วันนี้ได้รับการปลดปล่อย คืนสู่ความสงบไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง,,,
โฆษณา