21 ส.ค. เวลา 13:07 • ความคิดเห็น

L1: Part A: นิยาม “พัฒนาแล้ว” แบบวัดได้ (Master KPIs) : (ตอน A.3.3)

A 3.3 ดัชนีการพัฒนามนุษย์ (Human Development Index – HDI)
1. บทนำ: ทำไม HDI คือ “ตัววัดคุณภาพความเจริญ” ที่แท้จริง
ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา การถกเถียงเรื่อง “ประเทศพัฒนาแล้ว” มักถูกผูกเข้ากับตัวเลข GDP ต่อหัว ภาพของความเจริญจึงมักแสดงออกผ่านตึกระฟ้า ระบบขนส่งทันสมัย หรือรายได้เฉลี่ยสูง แต่ในเชิงคุณภาพของชีวิต คำถามใหญ่ยังคงอยู่: หากประชาชนมีรายได้มากขึ้น แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบสุขภาพที่ดี ยังเรียนหนังสือได้ไม่สูงพอ หรือยังมีชีวิตที่สั้นกว่าค่าเฉลี่ยโลก—จะถือว่าเป็น “ประเทศพัฒนาแล้ว” จริงหรือ?
นี่คือสิ่งที่โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) มองเห็นมาตั้งแต่ปี 1990 เมื่อพวกเขาเสนอ Human Development Index (HDI) เพื่อท้าทายความเชื่อเดิม ๆ HDI วัดคุณภาพความเจริญโดยอาศัย 3 เสาหลักที่สะท้อนความเป็นมนุษย์:
1. Health (สุขภาพ): อายุขัยเฉลี่ย (Life Expectancy at Birth)
2. Education (การศึกษา): จำนวนปีการศึกษาเฉลี่ย (Mean Years of Schooling) และจำนวนปีการศึกษาที่คาดหวัง (Expected Years of Schooling)
3. Income (รายได้): รายได้ประชาชาติต่อหัวแบบปรับตามกำลังซื้อ (GNI per capita, PPP)
แนวคิดนี้เปลี่ยนเกมการวัด “การพัฒนา” เพราะไม่ใช่แค่รายได้ แต่คือศักยภาพของคนที่จะมีชีวิตยืนยาว เรียนรู้ และทำงานอย่างมีศักดิ์ศรี ประเทศที่มี HDI สูง เช่น นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ หรือออสเตรเลีย มักมีคะแนน 0.90 ขึ้นไป ซึ่งหมายถึงความสมดุลระหว่างสามมิติ ไม่ใช่การเน้นด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว
นอกจากนั้น HDI ยังถูกต่อยอดให้ละเอียดขึ้น เช่น IHDI (Inequality-adjusted HDI) ที่หักลบผลจากความเหลื่อมล้ำ และ Gender Development Index (GDI) ที่สะท้อนความต่างระหว่างชาย–หญิง ข้อถกเถียงเชิงวิชาการจึงมีอยู่ว่า HDI อาจยังไม่ครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม ความสุข หรือความมั่นคงทางสังคม
แต่ก็ถือเป็น “มาตรฐานกลาง” ที่ใช้เปรียบเทียบประเทศต่าง ๆ ได้ดีที่สุดในระดับโลก
สำหรับประเทศไทย หากเป้าหมายคือการเป็นประเทศพัฒนาแล้วจริง HDI ≥ 0.85 และติด Top 30 โลก คือหมุดหมายที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือการยืนยันว่าคนไทยส่วนใหญ่มีชีวิตที่ดีในทุกมิติ ไม่ใช่เพียงบางกลุ่ม
2. บริบทโลก: ประเทศที่ทำได้และบทเรียนสำคัญ
เมื่อดูรายงาน UNDP ปี 2022/23 ประเทศที่มี HDI สูงสุดล้วนมีจุดร่วมที่สำคัญ นั่นคือ การสร้าง ระบบสุขภาพและการศึกษาแบบถ้วนหน้า ควบคู่กับการยกระดับรายได้อย่างสมดุล
• สวิตเซอร์แลนด์ (HDI 0.96): อายุขัยเฉลี่ย 84 ปี การศึกษามีคุณภาพสูงถึงระดับอาชีวะ–มหาวิทยาลัย และรายได้ต่อหัวทะลุ 90,000 ดอลลาร์สหรัฐ สิ่งสำคัญคือระบบสวัสดิการที่ลดความเหลื่อมล้ำ และการลงทุนวิจัยที่ต่อเนื่อง
• นอร์เวย์ (HDI 0.96): ใช้รายได้จากน้ำมันและก๊าซจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) เพื่อลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันการศึกษาและสุขภาพเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน ภาษีแบบก้าวหน้าเป็นกลไกลดช่องว่างรายได้
• ไอซ์แลนด์ (HDI 0.95): เป็นประเทศเล็กแต่ลงทุนหนักในคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม ระบบสุขภาพ–การศึกษาเข้าถึงทุกคน ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
• ฮ่องกง (HDI 0.95): แม้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่กลับมีระบบการศึกษาที่เข้มแข็งมาก และอายุขัยเฉลี่ยสูงสุดในโลก (85 ปี) ส่วนหนึ่งเพราะระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ
• ออสเตรเลีย (HDI 0.95): สังคมเปิดกว้าง มีระบบสวัสดิการถ้วนหน้า ทั้งด้านสุขภาพ บำนาญ และการศึกษา ทำให้ดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากทั่วโลก
หากขยายมาที่เอเชีย จะเห็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ:
• เกาหลีใต้: จากประเทศยากจนในทศวรรษ 1960 ที่มี HDI เพียง 0.64 ปัจจุบันขยับขึ้นสู่ ~0.92 ภายในเวลาไม่ถึง 50 ปี ความสำเร็จเกิดจากการลงทุนด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง สร้างมหาวิทยาลัยชั้นนำ ผลักดันอุตสาหกรรมที่ใช้ทักษะสูง และมีระบบสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งประเทศ
• มาเลเซีย: มี HDI ประมาณ 0.81 ใกล้เคียงไทย แต่กำลังก้าวสู่ high-income ด้วยการลงทุนด้านการศึกษาและดิจิทัล ข้อสังเกตคือมาเลเซียใช้กลยุทธ์ลดความเหลื่อมล้ำเชิงชาติพันธุ์ควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ
บทเรียนจากประเทศเหล่านี้คือ การพัฒนาที่แท้จริงต้องเป็นสามเหลี่ยมสมดุล: สุขภาพ–การศึกษา–รายได้ การมีเพียงมุมหนึ่งไม่เพียงพอ และการกระจายผลประโยชน์ไปถึงทุกกลุ่มในสังคมคือหัวใจของการยั่งยืน
3. สถานะของไทย: อยู่ตรงไหนบนแผนที่การพัฒนา
ประเทศไทยในปัจจุบันมี HDI อยู่ที่ประมาณ 0.80–0.81 ซึ่งถือว่าอยู่ในกลุ่ม “สูง” (High Human Development) แต่ยังไม่ถึงขั้น “สูงมาก” (Very High Human Development) ที่เริ่มจาก 0.85 ขึ้นไป อันดับโลกอยู่ราว ๆ 66–70 ขึ้นลงเล็กน้อยในแต่ละปี ใกล้เคียงกับจีน ศรีลังกา และมัลดีฟส์
จุดแข็งของไทย คือระบบสาธารณสุขแบบถ้วนหน้า (UHC – 30 บาทรักษาทุกโรค) ที่แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องคุณภาพและงบประมาณ แต่ถือเป็นโมเดลที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศชื่นชม อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 77 ปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศรายได้ปานกลาง
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนสำคัญ อยู่ที่การศึกษาและรายได้:
• การศึกษา: จำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยเพียง 8.7 ปี ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประเทศพัฒนาแล้ว (12–13 ปี) ผลการทดสอบ PISA ของนักเรียนไทยอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย OECD อย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน
• รายได้: รายได้ประชาชาติต่อหัว (GNI per capita, PPP) อยู่ที่ราว 7,000–8,000 ดอลลาร์สหรัฐ ยังต่ำกว่าค่ามาตรฐาน high-income ของธนาคารโลกที่ ~13,205 ดอลลาร์ ความเหลื่อมล้ำยังสูง โดยเฉพาะระหว่างกรุงเทพฯ (HDI > 0.90) กับจังหวัดในภาคอีสานและภาคเหนือ (HDI < 0.70 ในบางพื้นที่)
• Trend 10 ปี: ค่า HDI ไทยแทบไม่ขยับจาก 0.78–0.80 ในทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่ประเทศคู่แข่งอย่างจีนและมาเลเซียขยับขึ้นชัดเจน
การที่ HDI ของไทย “นิ่ง” สะท้อนว่าเรากำลังติดอยู่ใน “กับดักคุณภาพชีวิต” เช่นเดียวกับที่ติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง แม้เศรษฐกิจขยายตัว แต่คุณภาพการศึกษาและรายได้ของคนส่วนใหญ่ไม่ได้ดีขึ้นมากพอที่จะขยับอันดับโลก
หากไม่สามารถขยับจาก 0.80 ไปสู่ 0.85 ในอีก 10 ปีข้างหน้า ไทยอาจต้องเผชิญกับผลกระทบหนัก ทั้งการสูญเสียคนเก่งออกนอกประเทศ ความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์ที่บานปลาย และความไม่มั่นคงทางสังคมที่กัดกร่อนการเติบโตในระยะยาว
4. กลไกนโยบายเพื่อยกระดับ HDI ของไทย
การจะขยับ HDI ไทยจาก ~0.81 ไปสู่ ≥0.85 ในระยะ 10 ปี ไม่ใช่แค่การเพิ่มงบประมาณ แต่ต้องเป็นการปฏิรูปเชิงโครงสร้างใน 4 มิติหลัก — สุขภาพ การศึกษา รายได้ และการลดความเหลื่อมล้ำ แต่ละมิติจำเป็นต้องมีกลไกที่ “ทำได้จริง” และมีตัวชี้วัดชัดเจน
4.1 สุขภาพ (Health) – จาก “เข้าถึง” สู่ “คุณภาพเท่าเทียม”
ไทยประสบความสำเร็จในเรื่อง การเข้าถึงบริการสุขภาพ ผ่าน UHC แต่ยังมีปัญหาคุณภาพไม่สม่ำเสมอ กรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่มีโรงพยาบาลมาตรฐานสูง ขณะที่ชนบทขาดบุคลากรและเครื่องมือแพทย์
แนวทางปฏิรูปจึงต้องเน้น:
• Primary Care Model: สร้างระบบแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและ digital health ในทุกอำเภอ เชื่อมข้อมูลผู้ป่วยด้วย EMR (Electronic Medical Record) เพื่อลดช่องว่างเมือง–ชนบท
• NCD Prevention: ลงทุนในระบบป้องกันโรคไม่ติดต่อ (เบาหวาน ความดัน มะเร็ง) ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตหลัก ผ่านการตรวจสุขภาพเชิงรุก การรณรงค์โภชนาการ และภาษีสุขภาพ (sugar tax, alcohol tax)
• Telemedicine & AI Health: ใช้เทคโนโลยีเพื่อลดปัญหาขาดหมอในพื้นที่ห่างไกล เช่น คลินิกออนไลน์ 24 ชั่วโมง การใช้ AI วิเคราะห์ผลเอกซเรย์หรือการตรวจโรคเบื้องต้น
เป้าหมายระยะ 10 ปี: อายุขัยเฉลี่ย ≥80 ปี, ลดอัตราตายจาก NCD ลง 20%, และทำให้คุณภาพบริการสุขภาพในชนบทใกล้เคียงเมืองใหญ่
4.2 การศึกษา (Education) – “ตัวคูณ” ของ HDI
การศึกษาคือมิติที่ทำให้ไทยไม่สามารถขยับ HDI ได้มากในทศวรรษที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยการศึกษาเพียง 8.7 ปีสะท้อนปัญหาการหลุดจากระบบการเรียน โดยเฉพาะในชนบท ขณะเดียวกันคุณภาพการศึกษาในเมืองก็ยังไม่แข่งขันได้กับ OECD
นโยบายหลักควรเป็น:
• ขยายปีการศึกษาเฉลี่ย: บังคับการศึกษาอย่างน้อย 12 ปีเต็ม โดยลดอุปสรรคด้านค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหารกลางวัน
• ปฏิรูปครู: ครูใหม่ต้องมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการสอน (model ฟินแลนด์) พร้อมระบบอบรมต่อเนื่อง
• Curriculum Overhaul: เน้น STEM, digital literacy, critical thinking และ soft skills ที่ตลาดแรงงานศตวรรษที่ 21 ต้องการ
• Lifelong Learning Credit: รัฐออก “เครดิตการเรียนรู้ตลอดชีวิต” ให้ประชาชนทุกวัยนำไปใช้เรียนหลักสูตรออนไลน์/ออฟไลน์ โดยร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและเอกชน
เป้าหมายเชิงปริมาณ: ปีการศึกษาเฉลี่ย ≥12 ปี, คะแนน PISA ≥ค่าเฉลี่ย OECD, และ 50% ของแรงงานมี digital skill พื้นฐานภายใน 10 ปี
4.3 รายได้ (Income) – จากค่าจ้างต่ำสู่ค่าจ้างที่สะท้อนทักษะ
รายได้ต่อหัวคือเสาหลักที่ยังฉุด HDI ไทยไม่ให้ก้าวสู่ “พัฒนาแล้ว” GNI ของไทยต่ำกว่าเกณฑ์ high-income ราว 40%
นโยบายสำคัญ:
• Productivity-based Wage: ปรับค่าจ้างขั้นต่ำผูกกับอัตราการเติบโตของผลิตภาพ (TFP) แทนการขึ้นแบบการเมือง
• Skill Ladder: สร้างเส้นทางอาชีพที่แรงงานสามารถเลื่อนขั้นค่าจ้างได้จริงเมื่ออัปทักษะ (เช่น จาก low-skill → technician → supervisor → specialist)
• Industrial Policy: ผลักดันอุตสาหกรรมที่ใช้ทักษะสูง เช่น EV, electronics, healthtech ให้ดูดซับแรงงานที่ผ่านการ upskill
เป้าหมาย: GNI per capita ≥15,000 ดอลลาร์ใน 10 ปี และทำให้รายได้เฉลี่ยโต ≥5% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง
4.4 ความเหลื่อมล้ำ (Inequality) – คานงัดสำคัญของ HDI
แม้ HDI เฉลี่ยของไทยสูง แต่การแตกต่างระหว่างกรุงเทพฯ กับชนบททำให้ IHDI ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
นโยบายลดความเหลื่อมล้ำ:
• Progressive Taxation: ปฏิรูปภาษีก้าวหน้าให้จริงจัง รวมถึงภาษีที่ดินและมรดก
• Universal Welfare: สวัสดิการพื้นฐานถ้วนหน้า เช่น บำนาญพื้นฐานสำหรับผู้สูงอายุ, child benefit สำหรับครอบครัว
• Regional Equity Fund: ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการศึกษาและสุขภาพในภูมิภาค โดยใช้ data-driven allocation เพื่อลดช่องว่าง HDI จังหวัด
เป้าหมาย: ลดความต่าง HDI เมือง–ชนบทให้น้อยกว่า 20% ภายใน 10 ปี
5. ความเสี่ยงถ้าไทยไม่ทำ
หากประเทศไทยไม่ปฏิรูปเพื่อขยับ HDI จะเผชิญกับความเสี่ยงเชิงโครงสร้างอย่างน้อย 3 ประการ:
5.1 Brain Drain: คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาเลือกทำงานต่างประเทศ เนื่องจากคุณภาพชีวิตในไทยต่ำกว่า การสูญเสียแรงงานทักษะสูงจะทำให้ไทยพัฒนาเศรษฐกิจฐานนวัตกรรมไม่ได้
5.2 Middle-Income Trap ถาวร: แม้รายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่หากสุขภาพและการศึกษาไม่ก้าวตาม การลงทุนจากต่างชาติจะหันไปประเทศที่มีคุณภาพแรงงานดีกว่า
5.3 ความเหลื่อมล้ำทางภูมิศาสตร์: หากกรุงเทพฯ มี HDI ระดับ 0.90 แต่ภาคอีสานยังอยู่ที่ 0.70 จะเกิดแรงเสียดทานทางการเมืองและสังคม นำไปสู่ความไม่มั่นคงในระยะยาว
6. KPI Framework ระยะ 10 ปี
เพื่อให้การยกระดับ HDI ไม่ใช่เพียงความฝัน จำเป็นต้องมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน:
• HDI ≥0.85 และติด Top 30 โลก
• Health: อายุขัยเฉลี่ย ≥80 ปี, อัตราตายจาก NCD ลดลง 20%
• Education: ปีการศึกษาเฉลี่ย ≥12 ปี, คะแนน PISA ≥ค่าเฉลี่ย OECD
• Income: GNI per capita ≥15,000 USD, ค่าจ้างโต ≥5%/ปี
• Equity: ความต่าง HDI เมือง–ชนบท <20%, Gini coefficient ลดลงต่อเนื่อง
7. ภาพชีวิตจริง
หากทำสำเร็จ: ครอบครัวในอีสานมีลูกสองคนที่เรียนจบมัธยมปลายฟรี เข้าถึงมหาวิทยาลัยโดยไม่ต้องกู้หนี้ ครอบครัวสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใกล้บ้านที่มีคุณภาพเท่ากรุงเทพฯ รายได้ของพ่อแม่เพียงพอซื้อบ้านเล็ก ๆ และมีเงินออม
หากไม่ทำ: เด็กในชนบทเรียนได้เพียง ม.3 เพราะครอบครัวไม่มีเงิน ต่อมาทำงานค่าแรงต่ำ รายได้ไม่พอใช้จ่าย เมื่อเจ็บป่วยต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อรักษา วงจรความยากจนจึงซ้ำซ้อนข้ามรุ่น
8. ข้อสรุปเชิงนโยบาย
HDI คือดัชนีที่สะท้อน “คุณภาพความเจริญ” ได้ครบถ้วนที่สุด หากประเทศไทยต้องการก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว HDI ≥0.85 ต้องถูกกำหนดเป็น เข็มทิศหลักของนโยบายชาติ ทุกกระทรวงต้องยึดเป้าหมายนี้ ไม่ใช่แค่กระทรวงการคลังหรือศึกษาธิการ แต่รวมถึงสาธารณสุข มหาดไทย แรงงาน และการพัฒนาสังคม
เพราะท้ายที่สุด ประเทศพัฒนาแล้วไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวยที่สุด แต่คือประเทศที่ประชาชนทุกคนมีคุณภาพชีวิตสูงพอที่จะฝัน ทำงาน และใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา