22 ส.ค. เวลา 11:37 • ความคิดเห็น

L1: Part A: นิยาม “พัฒนาแล้ว” แบบวัดได้ (Master KPIs) : (ตอน A.3.6)

A 3.6 ความยั่งยืนสิ่งแวดล้อมและ Climate Readiness
1. บทนำ: ทำไม Climate Readiness คือตัวชี้ชะตาประเทศไทย
โลกศตวรรษที่ 21 ไม่ได้เผชิญเพียงความท้าทายด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่ยังเผชิญ “วิกฤติคู่” ที่รุนแรงและเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ได้แก่ วิกฤติภูมิอากาศ (climate crisis) และวิกฤติความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity loss) ทั้งสองปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่เป็นภัยคุกคามที่กำลังเร่งเข้ามาและอาจทำให้ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ–สังคมของประเทศถดถอยลงในเวลาไม่กี่ทศวรรษ
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในโลก องค์ประกอบเชิงภูมิศาสตร์ เช่น การตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้นที่มีความแปรปรวนของปริมาณน้ำฝนสูง การมีพื้นที่ราบลุ่มขนาดใหญ่ เช่น ภาคกลางและกรุงเทพมหานครที่เสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วม รวมทั้งการพึ่งพิงเศรษฐกิจเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวเป็นสัดส่วนสูง ล้วนทำให้ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง
ธนาคารโลก (World Bank) จัดอันดับให้ไทยอยู่ใน 10 ประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสูงที่สุดในโลก ความเสี่ยงเหล่านี้ไม่เพียงคุกคามความมั่นคงของรายได้เกษตรกรหรือความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมส่งออกเท่านั้น แต่ยังคุกคามฐานรากความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
ดังนั้น “Climate Readiness” หรือความพร้อมในการปรับตัวและเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจ–สังคมที่ยั่งยืน จึงไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยหรือภาพลักษณ์ที่สวยหรู หากแต่คือ ความมั่นคงแห่งชาติ และ การอยู่รอดทางเศรษฐกิจ หากไทยไม่เร่งลงทุนเชิงรุกเพื่อสร้างความพร้อมตั้งแต่วันนี้ เศรษฐกิจทั้งระบบอาจเข้าสู่จุดเปราะบางถาวรภายใน 20–30 ปีข้างหน้า
2. สถานะไทยปัจจุบัน
แม้ประเทศไทยจะตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมา แต่หากพิจารณาตัวชี้วัดสำคัญ จะพบว่าสถานะปัจจุบันยัง “รับผลกระทบสูง” แต่ “ความพร้อมต่ำ”
2.1 การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 350 ล้านตัน CO₂e ต่อปี ซึ่งถือว่าอยู่ในลำดับต้น ๆ ของอาเซียน โดยภาคพลังงานเป็นตัวการหลัก คิดเป็นร้อยละ 70 ของการปล่อยทั้งหมด ขณะที่ภาคเกษตรมีสัดส่วนราว 20% และภาคอื่น ๆ อีกประมาณ 10% แม้ไทยได้ประกาศเป้าหมาย “Carbon Neutrality” ภายในปี 2050 และ “Net Zero” ภายในปี 2065 แต่หากเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วที่ตั้งเป้า Net Zero ในปี 2050 ไทยถือว่ายังมีความล่าช้าอย่างมาก และเสี่ยงที่จะเสียความสามารถในการแข่งขันทางการค้าในตลาดโลก
2.2 คุณภาพสิ่งแวดล้อม
ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะ PM2.5 ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และเมืองใหญ่อื่น ๆ ทำให้ไทยติดอันดับหนึ่งในสิบเมืองที่มีคุณภาพอากาศเลวร้ายที่สุดของโลกเกือบทุกปี ขณะที่ปัญหาขยะพลาสติกทะเล ไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกสู่มหาสมุทรมากที่สุด 10 อันดับแรกของโลก แม้งบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น แต่ผลลัพธ์ด้านคุณภาพชีวิตประชาชนยังไม่สะท้อนความก้าวหน้า
2.3 ความเปราะบางด้านภูมิอากาศ
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจริงในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาเป็นหลักฐานชัดเจน เช่น น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่สร้างความเสียหายกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ภัยแล้งปี 2563 ที่ทำให้ผลผลิตการเกษตรเสียหายกว่า 50,000 ล้านบาท และแนวโน้มการทรุดตัวของกรุงเทพฯ ที่มีอัตราลดลงราว 2 เซนติเมตรต่อปี หากไม่มีมาตรการเชิงรุก ภายในปี 2050 พื้นที่บางส่วนของกรุงเทพฯ และปริมณฑลอาจจมอยู่ใต้น้ำอย่างถาวร
3. บริบทโลก: ประเทศที่เตรียมตัวสำเร็จ
บทเรียนจากประเทศที่สามารถปรับตัวได้สำเร็จสะท้อนให้เห็นว่า “การเปลี่ยนผ่านสีเขียว” ไม่ได้ทำลายเศรษฐกิจ แต่กลับสร้างการเติบโตแบบใหม่
• เดนมาร์ก ลงทุนมหาศาลในพลังงานลม จนกลายเป็นผู้ผลิตกังหันลมระดับโลก และพิสูจน์ว่า GDP สามารถเติบโตควบคู่ไปกับการลดการปล่อยคาร์บอนได้
• เยอรมนี ดำเนินโครงการ Energiewende ที่เน้นพลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน และการกำหนดราคาคาร์บอน ทำให้โครงสร้างพลังงานเปลี่ยนผ่านอย่างเป็นระบบ
• สิงคโปร์ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรธรรมชาติ เลือกลงทุนระบบ water resilience เช่น การทำน้ำทะเลเป็นน้ำจืดและโครงการ NEWater จนกลายเป็นประเทศที่มีระบบจัดการน้ำมั่นคงที่สุดประเทศหนึ่ง
• เกาหลีใต้ ใช้นโยบาย Green New Deal ที่ผสานการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเขียวเข้ากับการสร้างงานใหม่จำนวนมาก
• จีน แม้ยังพึ่งถ่านหินสูง แต่ลงทุนอย่างก้าวกระโดดในพลังงานแสงอาทิตย์ กังหันลม และรถยนต์ไฟฟ้า จนกลายเป็นผู้ผลิตเทคโนโลยีพลังงานสะอาดรายใหญ่ที่สุดของโลก
บทเรียนเหล่านี้บอกเราว่า การลงทุนด้านความยั่งยืนไม่เพียงลดความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
4. ความเสี่ยงถ้าไทยไม่ทำ
หากประเทศไทยยังคงเดินหน้าแบบ “ธุรกิจตามปกติ” ความเสียหายในอนาคตจะรุนแรงและกว้างขวาง
ภาคเกษตรอาจประสบปัญหาผลผลิตข้าวลดลง 20–30% ภายในปี 2050 จากความแปรปรวนของสภาพอากาศ ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักเศรษฐกิจจะเผชิญชายหาดเสื่อมโทรม มลพิษทางอากาศสูง และความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ทำให้นักท่องเที่ยวลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมส่งออกอาจเผชิญมาตรการกีดกันทางการค้าใหม่ เช่น Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าที่มีคาร์บอนฟุตพรินต์สูง ซึ่งจะทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน
ที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน PM2.5 ที่เกินมาตรฐานและ heat stress จากคลื่นความร้อนจะส่งผลให้อายุขัยเฉลี่ยลดลง และภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด หากไม่มีการรับมือ กรุงเทพฯ อาจเผชิญการอพยพครั้งใหญ่เมื่อพื้นที่ส่วนล่างจมใต้น้ำ และนั่นจะกลายเป็น “วิกฤติความมั่นคงของชาติ” โดยแท้จริง
5. กลไกนโยบาย: Blueprint การเปลี่ยนผ่านเขียวของไทย
การสร้าง Climate Readiness ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยโครงการย่อยแยกส่วน แต่ต้องออกแบบ “นโยบายบูรณาการ” ที่ขับเคลื่อนทุกภาคส่วนพร้อมกัน ตั้งแต่พลังงาน เกษตร อุตสาหกรรม ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานและการเงิน โดยมีกลไกหลักดังนี้
5.1 พลังงาน (Energy Transition)
หัวใจของการลดการปล่อยคาร์บอนอยู่ที่การเปลี่ยนผ่านระบบพลังงาน ปัจจุบันไทยยังพึ่งพาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติคิดเป็นกว่า 70% ของการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งหมด ซึ่งไม่เพียงสร้างก๊าซเรือนกระจกสูง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงด้านความมั่นคงพลังงานจากการนำเข้าก๊าซ LNG ราคาสูง
• ไทยจำเป็นต้องลดสัดส่วนพลังงานฟอสซิลเหลือไม่เกิน 30% ในอีก 20 ปี และเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่าครึ่ง
• ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน Smart Grid และ Energy Storage เพื่อแก้ปัญหาความไม่เสถียรของพลังงานลม–แสงอาทิตย์
• ส่งเสริม “Prosumer” หรือครัวเรือนและธุรกิจที่สามารถติดตั้ง Solar Rooftop และขายไฟฟ้าคืนสู่ระบบได้จริง นโยบายนี้จะไม่เพียงช่วยลดคาร์บอน แต่ยังสร้างรายได้ใหม่ให้ครัวเรือน
5.2 คมนาคม (Green Mobility)
ภาคคมนาคมเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับสองของไทย การเปลี่ยนยานพาหนะไปสู่ไฟฟ้า (EV) จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ
• ตั้งเป้าให้การขายรถยนต์ใหม่อย่างน้อย 50% เป็น EV ภายในปี 2035 พร้อมลงทุนสถานีชาร์จไฟทั่วประเทศ
• ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ทั้งรถไฟความเร็วสูงและรถไฟภูมิภาค เพื่อดึงดูดให้คนเลิกใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ลดการปล่อยคาร์บอนและลดการจราจร
• ส่งเสริมการเดินเท้าและจักรยานในเมืองผ่าน Urban Redesign ให้ถนนปลอดภัยและเชื่อมต่อกับขนส่งมวลชน
5.3 เกษตรกรรมยั่งยืน
การเกษตรปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์จำนวนมาก หากไม่ปรับตัว ภาคเกษตรไทยจะถูกกีดกันทางการค้าและรายได้เกษตรกรจะตกต่ำ
• ใช้เทคนิค Alternate Wetting and Drying (AWD) ในการทำนาข้าวเพื่อลดการปล่อยมีเทน
• ส่งเสริม Precision Farming ผ่าน IoT, Drone และ Big Data เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่และลดต้นทุน
• ขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ พร้อมสร้างกลไก Carbon Credit for Farmers ที่ให้เกษตรกรมีรายได้เสริมจากการลดคาร์บอน
5.4 เมืองและโครงสร้างพื้นฐาน
เมืองไทยโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ต้องเผชิญความเสี่ยงจากน้ำท่วมและคลื่นความร้อน
• ลงทุนโครงการ Flood Defense เช่น Bangkok Dike, ระบบคลองอัจฉริยะ และพื้นที่รับน้ำขนาดใหญ่
• ใช้ Urban Heat Mitigation โดยเพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างอาคารที่ใช้วัสดุสะท้อนความร้อน และออกแบบผังเมืองที่ลด “Urban Heat Island Effect”
• ขับเคลื่อน Circular Economy ตั้งเป้าให้รีไซเคิลพลาสติกได้ไม่น้อยกว่า 70% เพื่อลดมลพิษทางทะเล
5.5 อุตสาหกรรมและการเงิน
• เริ่มต้นด้วย Carbon Tax ที่มีอัตรา 300–500 บาท/ตัน CO₂ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจลดการปล่อย
• ขับเคลื่อน Green Finance โดยให้ธนาคารและสถาบันการเงินปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับโครงการพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีเขียว
• พัฒนาอุตสาหกรรม Green Tech ของไทยเอง เช่น Solar Panel, Wind Turbine, Battery และ Supply Chain ของ EV เพื่อสร้างงานและลดการพึ่งพาการนำเข้า
5.6 ความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศ
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง แต่กำลังเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง
• ต้องตั้งเป้าปกป้องพื้นที่ป่าและทะเลไม่น้อยกว่า 30% ตามข้อตกลง COP15
• ลงทุน Restoration Project ฟื้นฟูป่าชายเลนและป่าต้นน้ำ
• ส่งเสริม Eco-tourism ที่สร้างรายได้จากการอนุรักษ์แทนการทำลาย
6. เป้าหมายเชิงปริมาณ (10–20 ปี)
เป้าหมายต้องชัดเจน วัดได้ และเปรียบเทียบกับมาตรฐานโลกได้ เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วมกัน
• ขยับเป้า Net Zero จากปี 2065 มาเป็นปี 2050
• เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ≥ 50% ภายในปี 2040
• ยานยนต์ไฟฟ้า ≥ 50% ของการขายรถใหม่ภายในปี 2035
• ลดค่าเฉลี่ย PM2.5 ประจำปีเหลือ ≤ 15 µg/m³
• เพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้ครอบคลุม ≥ 45% ของประเทศ
• ขยะอย่างน้อย 70% ต้องถูกรีไซเคิลและกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน
7. ภาพชีวิตจริง
ถ้าทำสำเร็จ:
กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองสีเขียว มีสวนสาธารณะและคลองที่ฟื้นฟูใหม่ ระบบ Flood Defense ลดความเสียหายจากน้ำท่วมได้จริง อากาศสะอาดขึ้นจากการลด PM2.5 ประชาชนหันมาใช้จักรยานและ EV เกษตรกรขาย “ข้าว low-carbon” ได้ราคาพรีเมียมในตลาด EU อุตสาหกรรม Green Tech กลายเป็นแหล่งงานใหม่ → ไทยถูกยกระดับเป็น “Green Hub ของเอเชีย”
ถ้าไม่ทำ:
กรุงเทพฯ เผชิญน้ำท่วมซ้ำทุกปี พื้นที่เพาะปลูกในภาคกลางหายไปนับล้านไร่ ข้าวไทยถูกกีดกันเพราะคาร์บอนฟุตพรินต์สูง ภาคท่องเที่ยวเสื่อมถอยเพราะชายหาดและอากาศเป็นพิษ เศรษฐกิจหดตัวถาวร และประเทศกลายเป็น “ผู้ตาม” ที่ไม่สามารถแข่งขันได้
8. ข้อสรุปเชิงนโยบาย
ความยั่งยืนสิ่งแวดล้อมและ Climate Readiness ไม่ใช่ “ภารกิจเสริม” แต่คือ เส้นเลือดใหญ่ของการอยู่รอดชาติไทย ถ้าประเทศไทยยังเดินช้า ไม่เพียงจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังอาจสูญเสียฐานรากเศรษฐกิจที่ประชาชนพึ่งพามานานหลายชั่วอายุคน
Blueprint Thailand → Developed ต้องยก Climate Readiness เป็น ภารกิจระดับชาติ (National Mission) ที่บังคับให้ทุกกระทรวง ทุกภาคเอกชน และทุกชุมชนปรับตัว โดยรัฐบาลต้องเป็น ผู้นำการเปลี่ยนผ่าน (Transition Leader) ไม่ใช่ผู้ตาม การลงทุนใน Climate Readiness ไม่เพียงปกป้องประเทศจากภัยพิบัติ แต่ยังเป็นการสร้าง “New Growth Engine” ที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในศตวรรษที่ 21

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา