27 ส.ค. เวลา 07:13 • ความคิดเห็น

L1: Part A: นิยาม “พัฒนาแล้ว” แบบวัดได้ (Master KPIs) : (ตอน A.3.7)

A 3.7 นวัตกรรมและเทคโนโลยี (Innovation & R&D)
1. บทนำ: ทำไม Innovation & R&D คือ Game Changer
ไม่มีประเทศใดในโลกที่สามารถก้าวข้ามจาก “ประเทศรายได้ปานกลาง” ไปสู่ “ประเทศรายได้สูงและพัฒนาแล้ว” ได้โดยไม่พึ่งพา “นวัตกรรมและการวิจัยพัฒนา (Research & Development: R&D)” เป็นเสาหลักของการเติบโตระยะยาว องค์ประกอบทางเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม—ไม่ว่าจะเป็นแรงงานราคาถูก
ทรัพยากรธรรมชาติ หรือการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI)—อาจช่วยผลักดันเศรษฐกิจได้ในระยะหนึ่ง แต่จะไปถึงเพดานทันทีที่ค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น ต้นทุนทรัพยากรเพิ่มขึ้น หรือเมื่อเทคโนโลยีโลกเปลี่ยนแปลงเร็วเกินกว่าที่โครงสร้างเก่า ๆ จะปรับตัวทัน
หากมองในเชิงเศรษฐศาสตร์การเติบโต (growth economics) จะพบว่า นวัตกรรมคือปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อน ผลิตภาพรวมเศรษฐกิจ (Total Factor Productivity: TFP) ซึ่งถือเป็นตัวแปรที่อธิบายความแตกต่างระหว่างประเทศร่ำรวยกับประเทศยากจนได้ชัดเจนที่สุด หาก TFP โตช้า แม้แรงงานและทุนจะถูกอัดฉีดมากเพียงใด เศรษฐกิจก็จะติดเพดานอยู่แค่ “โตจากปริมาณ” ไม่ใช่ “โตจากคุณภาพ”
ตัวอย่างที่มักถูกยกขึ้นมาคือเกาหลีใต้ อิสราเอล และสิงคโปร์ สามประเทศนี้ต่างไม่มีทรัพยากรธรรมชาติมากนัก แต่สามารถสร้างเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมาด้วยพลังของ R&D และระบบนวัตกรรม (innovation system) เกาหลีใต้ทุ่มงบวิจัยมากกว่า 4% ของ GDP ต่อเนื่องยาวนาน จนจากประเทศเกษตรกรรมยากจนหลังสงคราม
กลายเป็นผู้นำโลกในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่อิสราเอลเปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นศูนย์กลาง Deep Tech และ Cybersecurity ของโลก และสิงคโปร์จากเมืองท่าขนาดเล็กก็กลายเป็น Global Hub ของ AI และ Biomedical
ประเทศไทยในวันนี้ยังคงใช้โมเดล “การผลิตรับจ้าง (OEM)” และ “การท่องเที่ยวเชิงปริมาณ” เป็นฐานหลักของเศรษฐกิจ ซึ่งไม่สามารถพาไทยไปสู่ระดับประเทศพัฒนาแล้วได้ หากไม่เปลี่ยนเข้าสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (Innovation-driven Economy) โอกาสที่ไทยจะติดอยู่ใน กับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ตลอดไปมีสูงมาก
2. สถานะไทยปัจจุบัน
เมื่อมองภาพรวมการลงทุนด้านวิจัยและนวัตกรรมของไทย จะพบว่าสถานะปัจจุบันยังห่างไกลจากประเทศพัฒนาแล้วในหลายมิติ
2.1 การลงทุนด้าน R&D
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า ไทยใช้จ่ายด้าน R&D เพียง 1.1% ของ GDP (ปี 2022) ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศผู้นำ OECD ที่อยู่ระหว่าง 2.5–3.0% หรือเกาหลีใต้ที่สูงถึง 4.8% และอิสราเอลที่มากกว่า 5.6% การลงทุนต่ำเช่นนี้หมายความว่าการสร้างองค์ความรู้ใหม่ (knowledge creation) และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในประเทศยังไม่เพียงพอที่จะเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจ
ยิ่งไปกว่านั้น โครงสร้างการลงทุน R&D ของไทยยังมีปัญหาสำคัญคือ ภาคเอกชนลงทุนต่ำเกินไป ปัจจุบันภาคเอกชนมีสัดส่วนประมาณ 60% ของค่าใช้จ่าย R&D ทั้งหมด ขณะที่ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ตัวเลขนี้เกิน 75% ขึ้นไป แสดงให้เห็นว่าระบบนวัตกรรมไทยยังขับเคลื่อนโดยรัฐเป็นหลัก ไม่ใช่เอกชนที่ควรจะเป็น “ผู้สร้างเทคโนโลยีจริง”
2.2 ผลลัพธ์ด้านนวัตกรรม
จำนวนการจดสิทธิบัตร (patent filing) เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สะท้อนผลลัพธ์จากการลงทุน R&D ไทยมีการจดสิทธิบัตรเฉลี่ยเพียง 1,500 รายการต่อปี และส่วนใหญ่เป็น Utility Patent หรือสิทธิบัตรการใช้ประโยชน์ มากกว่าจะเป็นสิทธิบัตรเชิงเทคโนโลยีใหม่ เทียบกับเกาหลีใต้ที่มีมากกว่า 200,000 รายการต่อปี ความแตกต่างมหาศาลนี้สะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนวิจัยของไทยยังไม่สามารถแปลงเป็นนวัตกรรมที่ใช้จริงในเชิงพาณิชย์ได้
ในระดับภาพรวม ไทยอยู่อันดับที่ 43 ของโลก ในดัชนีนวัตกรรมโลก (Global Innovation Index: GII) ปี 2023 และมีแนวโน้มตกลงจากอันดับ 40 ในปีก่อน ๆ การที่ไทยไม่สามารถรักษาหรือขยับอันดับได้ต่อเนื่อง แสดงถึงความล้มเหลวเชิงระบบในการสร้าง ecosystem ที่เชื่อมโยงระหว่างรัฐ มหาวิทยาลัย และเอกชน
2.3 Ecosystem Startup
แม้ Startup ไทยจะเติบโตขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมา แต่ ecosystem โดยรวมยังเล็กและเปราะบาง ปัจจุบันไทยมี unicorn เพียง 2 ราย (Flash Express และ Bitkub) ขณะที่สิงคโปร์ซึ่งมีประชากรเพียง 1/10 ของไทย กลับมีมูลค่าการลงทุน Venture Capital มากกว่า US$10 พันล้านต่อปี เทียบกับไทยที่อยู่ราว US$500 ล้าน การขาดแคลนเม็ดเงินลงทุนสะท้อนความไม่มั่นใจในศักยภาพของ tech ecosystem ไทย
ที่สำคัญ Startup ไทยส่วนใหญ่ยังเป็นธุรกิจ e-commerce, logistics หรือบริการแพลตฟอร์ม แต่ยังขาด Deep Tech Startup ที่สร้างเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI, Biotech หรือ Advanced Material ซึ่งเป็นสาขาที่สร้างมูลค่าสูงและแข่งขันในระดับโลกได้
2.4 Talent และสมองไหล (Brain Drain)
อีกหนึ่งจุดอ่อนสำคัญคือทุนมนุษย์ด้านวิจัยและวิศวกรรม ปัจจุบันไทยมีนักวิจัยเพียง 15 คนต่อประชากร 10,000 คน ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วใน OECD มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 60–80 คน และเกาหลีใต้มีเกิน 90 คนต่อ 10,000 คน ช่องว่างนี้หมายความว่าประเทศไทยไม่มีบุคลากรเพียงพอที่จะขับเคลื่อนการวิจัยเชิงลึก
นอกจากนี้ ไทยยังประสบปัญหา Brain Drain อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักวิจัยรุ่นใหม่ที่เลือกไปทำงานต่างประเทศ เพราะโอกาสในการทำงานวิจัยเชิงลึกในไทยมีน้อย เงินทุนจำกัด และระบบราชการขาดความยืดหยุ่น ตัวอย่างเช่น นักวิจัยด้าน AI หรือ Biotech ที่จบปริญญาเอกจากต่างประเทศ มักเลือกทำงานในสหรัฐฯ หรือสิงคโปร์มากกว่าจะกลับมาไทย
3. บริบทโลก: การแข่งขันด้านเทคโนโลยี
หากมองไปทั่วโลก จะเห็นได้ชัดว่าการแข่งขันเชิงเทคโนโลยีกลายเป็น สนามยุทธศาสตร์ (strategic battlefield) ที่กำหนดทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของประเทศ
3.1 สหรัฐฯ vs จีน
การแข่งขันใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบันคือระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทั้งสองมหาอำนาจทุ่มงบมหาศาลในสาขายุทธศาสตร์ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เซมิคอนดักเตอร์ (semiconductor), เทคโนโลยีชีวภาพ (biotech), และคอมพิวเตอร์ควอนตัม (quantum computing)
• สหรัฐฯ มีจุดแข็งคือ Big Tech Company ที่ครองตลาดโลก เช่น Google, Apple, Microsoft, NVIDIA รวมถึงระบบ Venture Capital ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
• จีนมีจุดแข็งด้านตลาดภายในขนาดมหาศาล รัฐอุดหนุนอย่างเข้มข้น และ supply chain ที่ครบวงจร ตั้งแต่ upstream ถึง downstream ทำให้สามารถ scale-up เทคโนโลยีใหม่ได้เร็ว
3.2 ยุโรป
ยุโรปเลือกเส้นทางที่แตกต่าง โดยเน้นไปที่ Green Tech และ Digital Regulation จุดแข็งของยุโรปคือการกำหนดมาตรฐานและกฎเกณฑ์ระดับโลก เช่น EU AI Act หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ซึ่งกลายเป็น “กฎทอง” ที่ประเทศอื่น ๆ ต้องปฏิบัติตามหากอยากเข้าถึงตลาดยุโรป
3.3 เอเชียตะวันออก
ประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ มุ่งเน้นการพัฒนา Deep Tech เป็นหลัก ญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่งในสาขาหุ่นยนต์และยานยนต์ เกาหลีใต้เป็นศูนย์กลางเซมิคอนดักเตอร์และจอแสดงผล ส่วนสิงคโปร์ใช้ยุทธศาสตร์การเป็น Regional Tech Hub ดึงดูด global talent และทุนวิจัยจากทั่วโลก
👉 บทเรียนที่สำคัญสำหรับไทยคือ หากไม่ “เลือกสนามแข่งขันที่ชัดเจน” และไม่ “ลงทุนเชิงลึก” ประเทศไทยจะกลายเป็นเพียงผู้บริโภคเทคโนโลยี (technology user) ไม่ใช่ผู้สร้าง (technology creator)
4. จุดอ่อนโครงสร้างไทย
เมื่อพิจารณาลึกลงไป ไทยไม่ได้ขาดเพียง “ปริมาณเงินลงทุน” เท่านั้น แต่ยังติดกับดักเชิงโครงสร้างหลายประการที่ทำให้ระบบนวัตกรรมไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
ประการแรก งบประมาณวิจัยกระจายตัวเกินไป ปัจจุบันมีหน่วยงานรัฐจำนวนมากที่ได้รับงบด้าน R&D ไม่ว่าจะเป็น สวทช., วช., สกสว., กรมวิทยาศาสตร์บริการ และอีกนับสิบองค์กร ปัญหาคือแต่ละหน่วยงานมักดำเนินโครงการตามกรอบที่ไม่เชื่อมโยงกัน ทำให้การลงทุนขาดการบูรณาการและเกิดการซ้ำซ้อน เช่น งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับอาหารอาจมีหลายหน่วยงานทำพร้อมกัน แต่กลับไม่เชื่อมกับภาคเอกชนเพื่อผลักดันเชิงพาณิชย์
ประการที่สอง ความต่อเนื่องต่ำ โครงการวิจัยจำนวนมากเปลี่ยนแปลงตามรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถสร้าง ecosystem ที่ใช้เวลานานได้ ขณะที่การพัฒนาเทคโนโลยีลึก (Deep Tech) เช่น AI หรือ Semiconductor ต้องใช้เวลามากกว่า 10–15 ปีในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ความไม่มั่นคงทางนโยบายทำให้นักวิจัยและนักลงทุนไม่มั่นใจ
ประการที่สาม มหาวิทยาลัยแยกตัวจากเอกชน งานวิจัยในมหาวิทยาลัยไทยจำนวนมากยังคงเป็น “งานวิจัยเพื่อการตีพิมพ์” มากกว่าจะเป็นงานที่นำไปใช้จริงในอุตสาหกรรม การขาดกลไก IP Sharing ที่ชัดเจนระหว่างมหาวิทยาลัยกับเอกชนทำให้ภาคธุรกิจไม่กล้าเข้าไปลงทุนร่วม เพราะกังวลว่าจะไม่มีสิทธิ์ในผลงานวิจัย
ประการที่สี่ เอกชนไทยไม่ลงทุนเพียงพอ ส่วนใหญ่ของเอกชนยังคงพึ่งพาเทคโนโลยีที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากการทำ R&D มีความเสี่ยงสูง และไม่มี incentive ที่ชัดเจน เช่น การลดหย่อนภาษี หรือการสนับสนุนทางการเงินโดยตรง ความเสี่ยงและต้นทุนที่สูงนี้ทำให้เอกชนไทยจำนวนมากเลือกที่จะ “ซื้อเทคโนโลยี” แทนที่จะ “สร้างเทคโนโลยี”
ประการที่ห้า Talent ขาดแคลนและสมองไหล ปัญหาทั้งหมดนี้ทำให้บุคลากรวิจัยขาดแรงจูงใจที่จะอยู่ในประเทศ หลายคนเลือกไปทำงานในต่างประเทศที่มีสภาพแวดล้อมดีกว่า เช่น เงินทุนวิจัยที่มากกว่า อิสระในการทำงาน และระบบประเมินที่โปร่งใสกว่า
ผลลัพธ์คือ Brain Drain อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยต้องการที่สุด เช่น วิศวกรรมไฟฟ้า วิทยาศาสตร์ชีวภาพ และคอมพิวเตอร์ขั้นสูง
กล่าวโดยสรุป โครงสร้างนวัตกรรมไทยในปัจจุบันยังมีลักษณะ “ลงทุนไม่พอ เชื่อมไม่ติด ผลลัพธ์ต่ำ” ซึ่งทำให้ประเทศไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้ได้จริง
5. กลไกนโยบาย (Core of Blueprint)
การแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถทำได้แบบ “ปรับเล็กน้อย” แต่ต้องใช้วิธี Mission-oriented Innovation Policy เหมือนที่เกาหลีใต้หรือสิงคโปร์ใช้ กล่าวคือ เลือกเป้าหมายใหญ่ไม่กี่เรื่องที่ประเทศต้องการจะเป็นผู้นำ แล้วทุ่มทรัพยากรและกำหนดทิศทางทั้งระบบให้เดินไปทางเดียวกัน
5.1 National R&D Mission
ประเทศไทยจำเป็นต้องตั้งเป้าให้ชัดเจนว่าใน 10 ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่าย R&D/GDP ต้องไม่ต่ำกว่า 3% และในจำนวนนั้น ภาคเอกชนต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 70% เพื่อลดการพึ่งพารัฐ ขณะเดียวกันรัฐบาลควรจัด “Flagship Programs” ที่เลือกมาอย่างรอบคอบว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ เช่น
1. ปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์ (AI & Robotics) ครอบคลุม automation, healthcare, smart city
2. เทคโนโลยีชีวภาพและสุขภาพ (Biotechnology & HealthTech) เช่น precision medicine, วัคซีน, ยาชีวภาพ
3. พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ (Clean Energy & Battery Tech) โดยเฉพาะ EV supply chain และ hydrogen economy
4. FoodTech และ AgriTech เพื่อยกระดับฐานการเกษตรดั้งเดิมของไทยให้มีมูลค่าเพิ่มสูง
5.2 University–Industry Link
จำเป็นต้องปฏิรูปมหาวิทยาลัยวิจัยไทยให้มุ่งสู่ Applied Research มากขึ้น เช่น การออกกฎหมาย IP Sharing ให้สิทธิ์การใช้ผลงานระหว่างนักวิจัย มหาวิทยาลัย และเอกชนร่วมกันได้อย่างยืดหยุ่น ขณะเดียวกันควรตั้ง Research Parks และ Innovation Districts รอบมหาวิทยาลัยใหญ่ เช่น จุฬาฯ มหิดล เชียงใหม่ และขอนแก่น เพื่อเชื่อมโยงกับบริษัท Startup และอุตสาหกรรมในพื้นที่
5.3 Innovation Finance
การวิจัยและนวัตกรรมต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลและมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นรัฐควรจัดตั้ง กองทุน Deep Tech Venture Capital มูลค่าอย่างน้อย 100,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพที่ลงทุนในเทคโนโลยีเชิงลึก นอกจากนี้ควรให้ สิทธิ์หักภาษี 300% สำหรับค่าใช้จ่าย R&D ของเอกชน และปรับปรุงตลาดทุนให้เอื้อต่อการ exit ของ Startup เช่น การเข้าตลาด IPO หรือการควบรวมกิจการ (M&A)
5.4 Talent & Brain Gain
ด้านทุนมนุษย์ ไทยควรใช้ทั้งมาตรการดึงดูดและรักษาบุคลากร เช่น
• จัดทำ Global Talent Visa เพื่อดึงดูดนักวิจัยและวิศวกรต่างชาติ
• จัดตั้ง Reverse Brain Drain Program ดึงนักวิจัยไทยกลับประเทศ ด้วยทุนวิจัยและ fast-track promotion
• สร้าง STEM Pipeline ให้สามารถผลิตวิศวกรและนักวิจัยเพิ่มขึ้นสองเท่าใน 10 ปี ผ่านการปรับหลักสูตรและเพิ่มแรงจูงใจ
5.5 Ecosystem Startup
เพื่อสร้าง Startup ที่แท้จริง รัฐบาลควรจัดทำ Innovation Sandbox ที่อนุญาตให้ทดลองเทคโนโลยีใหม่ภายใต้กฎพิเศษ และใช้ Government Procurement for Innovation (GPI) ให้รัฐเป็นลูกค้ารายแรกของ Deep Tech Startup ขณะเดียวกันควรสร้าง Regional Tech Hub ในจังหวัดใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น และภูเก็ต เพื่อไม่ให้ระบบนวัตกรรมกระจุกอยู่แต่กรุงเทพฯ
6. เป้าหมายเชิงปริมาณ (10 ปี)
หากประเทศไทยสามารถเดินตาม Blueprint ได้อย่างต่อเนื่อง ในอีก 10 ปีข้างหน้า ควรบรรลุเป้าหมายดังนี้:
• ค่าใช้จ่าย R&D/GDP ไม่ต่ำกว่า 3%
• ภาคเอกชนลงทุน ≥ 70% ของ R&D ทั้งหมด
• จำนวนการจดสิทธิบัตร (patent filing) ไม่ต่ำกว่า 20,000 รายการต่อปี
• ไทยติดอันดับ Top 30 ของ Global Innovation Index
• มี Unicorn ไม่ต่ำกว่า 20 ราย
• จำนวน STEM researcher ≥ 40 คนต่อประชากร 10,000 คน
7. ภาพชีวิตจริง
เพื่อให้เห็นผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ลองเปรียบเทียบภาพชีวิตจริงของประชาชนในกรณีที่นโยบายสำเร็จและกรณีที่ล้มเหลว
หากนโยบายสำเร็จ ครอบครัวนักวิจัยไทยที่เคยไปทำงานต่างประเทศอาจได้รับทุนกลับมาสร้างห้องปฏิบัติการด้านชีววิทยา (Biotech Lab) ในกรุงเทพฯ ผลงานวิจัยของเขาสามารถผลิตวัคซีนใหม่ที่ส่งออกไปทั่วอาเซียน ขณะเดียวกัน SME เกษตรในอีสานอาจได้ใช้เทคโนโลยี AgriTech ของ Startup ไทย ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 30% และสามารถส่งออกเป็น premium food ไปยุโรปหรือญี่ปุ่น
ในอีกด้านหนึ่ง หากระบบยังล้มเหลว ครอบครัวนักวิจัยรุ่นใหม่จะยังคงเลือกทำงานต่างประเทศต่อไป Startup ไทยจะอยู่เพียงระดับบริการ ไม่สามารถสร้างเทคโนโลยีใหม่ได้จริง และไทยก็ยังคงติดอยู่ในวงจร OEM ผลิตสินค้าให้ต่างชาติด้วย margin ต่ำ
8. ข้อสรุปเชิงนโยบาย
นวัตกรรมและ R&D ไม่ใช่ “อีกหนึ่ง KPI” ของการพัฒนาประเทศ แต่คือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยง Blueprint ทั้งหมด หากไทยไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้สร้างเทคโนโลยี” (technology creator) ได้ การยกระดับแรงงาน การปฏิรูปการศึกษา หรือแม้แต่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจก็จะไม่เพียงพอที่จะพาประเทศพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
ในทางกลับกัน หากประเทศไทยสามารถทำให้ Innovation & R&D กลายเป็นวัฒนธรรมเชิงระบบ ไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างศักยภาพใหม่ให้กับประชาชนทุกระดับ และเป็นหัวใจของการก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างแท้จริง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา