27 ส.ค. เวลา 07:14 • ความคิดเห็น

L1: Part A: นิยาม “พัฒนาแล้ว” แบบวัดได้ (Master KPIs) : (ตอน A.3.8)

A 3.8 Productivity in SME & Industry Competitiveness (Part 1)
1. บทนำ: ทำไม SME & Industry Competitiveness คือเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทย
หากพิจารณาโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างตรงไปตรงมา จะพบว่า “ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)” ไม่ได้เป็นเพียงองค์ประกอบเล็ก ๆ ของระบบเศรษฐกิจ แต่คือ โครงกระดูกสันหลัง ของการจ้างงานและการผลิตของประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยมีธุรกิจ SMEs มากกว่า 3 ล้านราย คิดเป็นกว่า 99% ของกิจการทั้งหมด และจ้างงานแรงงานกว่า 70% ของประชากรที่ทำงานในภาคเอกชน ตัวเลขนี้ชี้ชัดว่า ถ้า SMEs อ่อนแอ ประเทศก็จะอ่อนแอไปด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็น “จุดบอด” ของเศรษฐกิจไทยคือ แม้ SMEs มีจำนวนมาก แต่ ประสิทธิภาพการผลิต (Productivity) ต่ำ จนไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มหรือแข่งขันในตลาดโลกได้จริง ข้อมูลระบุว่า SMEs ไทยมีส่วนแบ่งเพียง 35–40% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานประเทศพัฒนาแล้วที่ SMEs มีส่วนร่วมในสัดส่วน 50–60% ของ GDP นั่นหมายความว่า แม้ SMEs จะเป็นเครื่องยนต์หลักในการจ้างงาน แต่กลับไม่ใช่เครื่องยนต์หลักในการสร้างความมั่งคั่ง
นี่คือ “กับดักเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตช้าและไม่ทั่วถึง เพราะเมื่อ SMEs ผลิตน้อย มูลค่าเพิ่มต่ำ ผลกำไรบาง → ไม่มีทุนสะสม → ไม่สามารถลงทุนต่อเพื่ออัปเกรดเทคโนโลยี → Productivity ไม่ขยับ ผลลัพธ์คือ SMEs ติดอยู่ใน Low Value Trap ทำธุรกิจแบบรับจ้างผลิต ขายสินค้าโภคภัณฑ์ หรือบริการพื้นฐานที่ไม่สร้างความแตกต่าง
ที่สำคัญ SMEs ยังเป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างประชาชนทั่วไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจมหภาค หาก SMEs ไม่สามารถยกระดับได้ การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะถูกจำกัดให้อยู่เฉพาะในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น ยานยนต์ ปิโตรเคมี หรืออิเล็กทรอนิกส์ที่มีทุนและเทคโนโลยีสูง แต่ประชาชนส่วนใหญ่ที่ทำงานใน SMEs จะไม่รู้สึกถึง “การพัฒนาแล้ว” เลย
อีกด้านหนึ่ง หากมองจากระดับมหภาค Industry Competitiveness หรือ “ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม” กำหนดว่าไทยจะยืนอยู่ตรงไหนในห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain: GVC) วันนี้คู่แข่งรอบบ้าน — จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย — กำลังไต่ระดับขึ้นมาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากไทยในหลายอุตสาหกรรม
โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ และอาหารแปรรูป หากประเทศไทยไม่สามารถเร่งปรับตัวและยกระดับความสามารถในการแข่งขัน อุตสาหกรรมไทยจะกลายเป็น “เศรษฐกิจเกษียณ” คือมีโครงสร้างที่ตกรุ่น แรงงานสูงวัย และไม่มีฐานใหม่รองรับการเติบโตในอนาคต
ดังนั้น Productivity ของ SMEs และ Industry Competitiveness จึงไม่ใช่เพียงประเด็นเชิงธุรกิจ แต่คือ เส้นเลือดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย หากไม่ยกระดับอย่างจริงจัง Blueprint Thailand → Developed จะเป็นเพียงภาพฝันที่ไม่สามารถลงหลักปักฐานในความจริงได้เลย
2. สถานะไทยปัจจุบัน
2.1 โครงสร้าง SME ไทย: ใหญ่ในปริมาณ เล็กในคุณภาพ
ธุรกิจ SMEs ของไทยมีจำนวนมหาศาลและเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญ แต่กลับมีบทบาทต่อ GDP และการส่งออกที่จำกัดมาก ปัจจุบัน SMEs ไทยจ้างงานกว่า 13 ล้านคน หรือราว 72% ของแรงงานเอกชน แต่มีส่วนร่วมเพียง 36% ของ GDP และมีส่วนในมูลค่าการส่งออกเพียง 25% ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศคู่แข่งในภูมิภาค
• สิงคโปร์: SMEs มีส่วนแบ่งส่งออกกว่า 40% ของทั้งหมด แม้จะเป็นประเทศที่พึ่งพา MNC สูง แต่ SMEs ได้รับการเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมระดับโลก
• เกาหลีใต้: SMEs มีสัดส่วนกว่า 99% ของกิจการเช่นเดียวกับไทย แต่พวกเขามี productivity สูงขึ้นอย่างมากเพราะเชื่อมโยงกับ Chaebol ในระบบ supplier network
• เยอรมนี: Mittelstand ซึ่งเป็น SMEs เชิงนวัตกรรม มีบทบาทมากกว่า 50% ของ GDP และเป็นผู้นำในตลาด niche ระดับโลก
ข้อเท็จจริงนี้ชี้ว่า ปัญหาของไทยไม่ใช่จำนวน SMEs น้อย แต่คือ SMEs “ไม่แข็งแรงพอ” และไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้
2.2 Productivity Gap: ช่องว่างที่ไม่ถูกปิด
หนึ่งในปัญหาที่เด่นชัดที่สุดคือ ช่องว่างผลิตภาพ (Productivity Gap) ระหว่าง SMEs กับบริษัทขนาดใหญ่ในไทย ข้อมูลชี้ว่า productivity ของ SMEs ต่ำกว่าบริษัทขนาดใหญ่ถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศพัฒนาแล้ว เช่น OECD ช่องว่างนี้อยู่ที่เพียง 2–3 เท่า แสดงให้เห็นว่าไทยยังตามหลังอยู่มาก
ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจ SMEs ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในสาขาที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ เช่น ค้าปลีก ร้านอาหาร บริการท้องถิ่น ขณะที่ SMEs ในภาคการผลิตที่มีศักยภาพสูงกลับมีสัดส่วนน้อยมาก อีกทั้งยังขาดการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามจาก low-value activity ไปสู่ high-value activity ได้
2.3 ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย: ติดอยู่กึ่งกลาง
ในภาพรวมด้านความสามารถในการแข่งขัน ไทยยังมีศักยภาพอยู่ในหลายภาคส่วน แต่เริ่มเห็นสัญญาณของการ ชะงักงัน (Stagnation)
• ใน Global Competitiveness Index 2023 ไทยอยู่อันดับที่ 34 ซึ่งแม้ดูไม่เลว แต่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย
• ใน Economic Complexity Index (ECI) ไทยเคยนำหน้าเวียดนาม แต่ปัจจุบันเวียดนามกำลังไต่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไทยแทบไม่ขยับ
• อุตสาหกรรมที่ไทยเคยแข็งแรง เช่น สิ่งทอและอิเล็กทรอนิกส์เชิงประกอบ กำลังสูญเสีย market share ให้เวียดนามและอินโดนีเซียที่มีแรงงานราคาถูกและนโยบายดึงดูด FDI เชิงรุกมากกว่า
กล่าวอีกอย่างหนึ่ง อุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญ “กับดักกึ่งกลาง” ไม่สามารถแข่งขันด้วยต้นทุนต่ำเหมือนประเทศที่ยากจนกว่า และก็ยังไม่สามารถแข่งขันด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว
3. บริบทโลก & Benchmark
3.1 เกาหลีใต้และญี่ปุ่น: การสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการที่เชื่อมโยง
เกาหลีใต้และญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่าการเติบโตของ SMEs ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเดี่ยว ๆ แต่ต้องอาศัยการสร้าง Cluster และ Supplier Network ที่ผูก SMEs เข้ากับบริษัทขนาดใหญ่หรือ MNC ซึ่งมีตลาดและเทคโนโลยีรองรับ ตัวอย่างเช่น
• ญี่ปุ่น: ระบบ Keiretsu ทำให้ SMEs ผู้ผลิตชิ้นส่วนเล็ก ๆ เชื่อมโยงเข้ากับบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ SMEs มีตลาดที่มั่นคง และมีแรงจูงใจในการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
• เกาหลีใต้: รัฐบาลสนับสนุนให้ Chaebol เช่น Samsung, Hyundai สร้างเครือข่ายผู้ส่งมอบ (supplier) ในประเทศ โดยมีการกำหนดมาตรฐานร่วมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทำให้ SMEs เกาหลีใต้สามารถยกระดับ productivity ไปพร้อมกับบริษัทใหญ่
3.2 เยอรมนี: พลังของ Mittelstand
กรณีเยอรมนีถือเป็นตัวอย่างระดับโลกของการใช้ SMEs เป็นฐานรากของความสามารถในการแข่งขัน “Mittelstand” หมายถึง SMEs เชิงนวัตกรรมที่เน้นคุณภาพและความเชี่ยวชาญในตลาดเฉพาะ (niche market) รัฐบาลเยอรมนีสนับสนุน Mittelstand ผ่านนโยบาย Industry 4.0, เงินทุนวิจัย, และเครือข่ายมหาวิทยาลัย–อุตสาหกรรม ผลคือ SMEs เยอรมนีจำนวนมากกลายเป็น “hidden champions” หรือบริษัทเล็กที่ครองตลาดโลกในผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เช่น เครื่องจักรอุตสาหกรรม หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์
3.3 สิงคโปร์: การยกระดับผ่านดิจิทัลและการเชื่อมโยงโลก
สิงคโปร์ในฐานะประเทศเล็กไม่มีทรัพยากร แต่สามารถทำให้ SMEs มีความสามารถแข่งขันสูงในตลาดโลกได้เพราะการลงทุนเชิงรุกใน SME Digitalization Grant ทำให้กว่า 70% ของ SMEs ใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น ERP, e-commerce, และ cloud services นอกจากนี้ยังมี National SME Export Program ที่ช่วย SMEs เข้าสู่ตลาดต่างประเทศผ่าน e-commerce platform ระดับโลก ผลลัพธ์คือ SMEs สิงคโปร์มีสัดส่วนใน global trade ที่สูงกว่าไทยอย่างมาก
3.4 บทเรียนตรงสำหรับไทย
กรณีศึกษาทั้งหมดสะท้อนบทเรียนร่วมกัน 3 ประการที่ไทยควรเรียนรู้:
1. SMEs ต้องไม่อยู่ลำพัง แต่ต้อง เชื่อมเข้ากับห่วงโซ่ใหญ่ (value chain) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
2. รัฐต้องลงทุนสร้าง ecosystem ที่ครบวงจร ทั้งการเงิน เทคโนโลยี และเครือข่ายธุรกิจ
3. ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม ไม่ได้ขึ้นกับบริษัทใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการยกระดับ SMEs ไปพร้อมกัน
4. จุดอ่อนเชิงโครงสร้างของไทย
แม้ไทยจะมีจำนวน SMEs มาก แต่โครงสร้างเชิงลึกกลับสะท้อนถึงปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผลิตภาพอย่างชัดเจน
1. SMEs ติด Low Value Trap
ส่วนใหญ่ทำธุรกิจค้าขาย บริการพื้นฐาน หรือรับจ้างผลิตในห่วงโซ่ที่มูลค่าเพิ่มต่ำ ไม่มีแรงจูงใจและความสามารถที่จะลงทุนในนวัตกรรมหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์
2. การเข้าถึงการเงินต่ำ (Access to Finance)
แม้ SMEs ต้องการลงทุนเพื่อยกระดับ แต่การเข้าถึงสินเชื่อยังเป็นปัญหาใหญ่ สถาบันการเงินของไทยเน้นการปล่อยสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทำให้ SMEs กว่า 60% ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
3. การนำเทคโนโลยีมาใช้ต่ำ (Technology Adoption)
ปัจจุบัน SMEs ไทยที่ใช้ digital tools จริงจังมีไม่ถึง 30% ส่งผลให้ productivity ไม่ขยับ และไม่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งที่ใช้เทคโนโลยีเข้มข้น
4. ตลาดแตกเป็นเสี่ยง (Fragmented Market)
SMEs ของไทยส่วนใหญ่ทำงานแบบแยกส่วน ไม่ได้รวมกลุ่มเป็น cluster หรือ network ทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้ร่วม ไม่เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และไม่สามารถเจรจาต่อรองกับ MNC ได้
5. ฐานอุตสาหกรรมสูงวัย (Aging Industrial Base)
ไทยยังพึ่งพาอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม เช่น ยานยนต์สันดาปหรืออิเล็กทรอนิกส์เชิงประกอบ ขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนไปสู่ EV, AI, Robotics และ Green Tech หากไม่เร่งปรับตัว ไทยจะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
5. กลไกนโยบาย (Core)
การแก้ไขจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของ SMEs และการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย จำเป็นต้องเป็น National Mission ที่มีทั้ง “แนวนโยบาย” และ “เครื่องมือเชิงปฏิบัติ” ที่ทำงานได้จริง ไม่ใช่เพียงคำประกาศเชิงวิสัยทัศน์เท่านั้น
การปรับตัวในยุคโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ต้องอาศัยการขับเคลื่อนพร้อมกันใน 6 ด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนา SMEs ให้ทันสมัย การบูรณาการเข้าสู่ value chain การเข้าถึงการเงิน การผลักดัน Digitalization การขยายตลาดสู่สากล และการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์
5.1 SME Upgrade Program: สร้างฐานรากใหม่ให้ธุรกิจเล็กโตจริง
SMEs ส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีการทำธุรกิจแบบดั้งเดิม และติดอยู่กับปัญหาคลาสสิก เช่น ต้นทุนสูง คุณภาพไม่สม่ำเสมอ และการจัดการไม่มีประสิทธิภาพ การปฏิรูปต้องเริ่มจากการให้ Productivity Toolkit แก่ผู้ประกอบการ เช่น การฝึกอบรมด้าน Lean Management, Kaizen, Digital Skill และการใช้ Data Analytics ในการตัดสินใจ
ข้อแตกต่างจากอดีตคือต้องไม่เป็นเพียงการจัดอบรมในห้องเรียน แต่เป็น Coaching Network ส่งผู้เชี่ยวชาญไปทำงานร่วมกับธุรกิจจริงแบบ on-site เพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นผลลัพธ์และสามารถนำไปปรับใช้ทันที
นอกจากนี้ควรตั้ง SME Academy ที่รวมการเรียนรู้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในรูปแบบ modular course ที่ยืดหยุ่น เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลาโดยไม่กระทบกับการทำธุรกิจประจำวัน
5.2 Cluster & Value Chain Integration: เชื่อม SMEs เข้ากับห่วงโซ่การผลิต
การพัฒนา SMEs ไม่สามารถทำแบบ stand-alone ได้อีกต่อไป แต่ต้องสร้าง Cluster และ Supplier Network ที่เชื่อม SMEs เข้ากับ MNC และบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์
แนวทางหนึ่งคือการจัดตั้ง SME–MNC Supplier Program ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้รับการ Matching กับบริษัทใหญ่ พร้อมกระบวนการ Certification ที่ทำให้ SMEs ผ่านมาตรฐานสากลและสามารถเป็นผู้ส่งมอบในห่วงโซ่ระดับโลกได้ เช่น ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV supply chain) หรือการแพทย์ขั้นสูง (MedTech)
รัฐบาลยังควรพัฒนา Regional Cluster ที่ตอบโจทย์จุดแข็งของแต่ละภูมิภาค เช่น เชียงใหม่–AgriTech, ขอนแก่น–MedTech, ภูเก็ต–Tourism Tech เพื่อกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจออกจากกรุงเทพฯ และ EEC
5.3 Finance & Incentive: ปลดล็อกเงินทุนให้ SMEs
ปัญหาการเข้าถึงทุนคือ “คอขวด” ที่สำคัญที่สุดสำหรับ SMEs การแก้ไขต้องประกอบด้วยสามมาตรการ:
1. Credit Guarantee ขนาดใหญ่ โดยขยายวงเงินของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ให้มากกว่า 500,000 ล้านบาท เพื่อค้ำประกันสินเชื่อให้ SMEs ที่มีศักยภาพแต่ขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน
2. Tax Credit เช่น หักภาษีได้ 200% สำหรับค่าใช้จ่ายที่ SMEs ใช้ในการลงทุน digitalization, green investment และการวิจัยพัฒนา
3. Venture Debt และ Equity Financing สำหรับ SMEs ที่อยู่ในช่วง growth stage เพื่อสร้างสะพานเชื่อมจากการกู้ยืมดอกเบี้ยสูงไปสู่การระดมทุนที่ยืดหยุ่นกว่า
5.4 Digitalization & Industry 4.0: ยกระดับ SMEs ด้วยเทคโนโลยี
Digitalization ไม่ใช่เพียงเครื่องมือเสริม แต่คือ เงื่อนไขของการอยู่รอด ในโลกการแข่งขันปัจจุบัน รัฐบาลต้องจัด Digital Voucher ให้ SMEs สามารถเข้าถึง software, cloud, และ AI tools ได้ในราคาที่เข้าถึงได้จริง รวมทั้งจัดตั้ง Smart Factory Grant เพื่อสนับสนุนให้โรงงาน SMEs ลงทุนใน automation และ IoT
อีกด้านหนึ่งคือการพัฒนาคน โดยการจัด โครงการฝึกอบรมแรงงาน 100,000 คนใน SMEs ให้มีทักษะด้าน AI, Data Analytics และ Robotics เพื่อปิดช่องว่างทักษะและทำให้ SMEs ใช้เทคโนโลยีได้จริง ไม่ใช่แค่ซื้อเครื่องจักรมาแล้ววางไว้
5.5 Export & Globalization: พา SMEs ไปสู่ตลาดโลก
SMEs ไทยมีสัดส่วนการส่งออกต่ำมากเพียง 25% ของทั้งหมด สาเหตุหลักคือขาดความรู้ด้านกฎระเบียบสากล โลจิสติกส์ และการเข้าถึงเครือข่ายการค้าโลก การแก้ไขต้องทำผ่าน SME Export Hub ที่ทำหน้าที่เป็น one-stop service ให้ SMEs เข้าถึงข้อมูล กฎหมาย มาตรฐานการค้า และการเงินเพื่อการส่งออก
ควรมี E-commerce Global Program ที่ช่วย SMEs ไทยขายสินค้าไปยังแพลตฟอร์มระดับโลก เช่น Amazon, Alibaba, Shopee Global เพื่อให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถเข้าถึงลูกค้าต่างประเทศได้โดยตรง
5.6 Industrial Policy: เลือกอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แล้วลงลึก
ท้ายที่สุด รัฐบาลต้องกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ 4–5 ด้านที่ไทยมีศักยภาพและตลาดโลกกำลังเติบโต เช่น EV, BioTech, AgriFood, Clean Energy, และ Digital Economy จากนั้นสนับสนุนแบบ “เจาะลึก” ทั้งในด้าน R&D, Industrial Park, Infrastructure และการใช้ Government Procurement เพื่อให้ SMEs ได้เป็นผู้จัดซื้อจัดจ้างในโครงการรัฐ
6. เป้าหมายเชิงปริมาณ (10 ปี)
การปฏิรูปที่แท้จริงต้องมีเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจนและวัดผลได้ เพื่อสร้างแรงจูงใจและ accountability ต่อสังคม ตัวอย่างเป้าหมายที่เป็นไปได้ใน 10 ปีข้างหน้า ได้แก่:
• ลด Productivity Gap ระหว่าง SMEs และบริษัทใหญ่ลงอย่างน้อย 50%
• เพิ่มสัดส่วน SME export share จาก 25% → 40% ของการส่งออกทั้งหมด
• ทำให้ ≥70% ของ SMEs ใช้ digital tools อย่างจริงจัง
• ยกระดับอันดับไทยใน Global Competitiveness Index ให้ติด Top 25 ของโลก
• ทำให้ ≥50% ของ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ (formal finance sector)
เป้าหมายเหล่านี้ไม่เพียงเป็นตัวเลข แต่จะสะท้อนว่า SMEs ไทยสามารถยกระดับจากเครื่องยนต์การจ้างงาน → เครื่องยนต์การเติบโตได้จริง
7. ภาพชีวิตจริง: จาก SMEs ที่อ่อนแอ → SMEs ที่แข็งแรง
การยกระดับ SMEs และ Industry Competitiveness ไม่ใช่เพียงเรื่องของนโยบายมหภาค แต่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของประชาชน เช่น:
• โรงงานอาหารท้องถิ่นในนครปฐม ที่เคยผลิตซอสขายในตลาดท้องถิ่น → ได้รับการสนับสนุน Smart Factory Grant เพื่อติดตั้ง automation line + blockchain traceability → สามารถส่งออกไปสหภาพยุโรปได้ในราคาพรีเมียม รายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า
• ร้านค้าชุมชนในเชียงใหม่ ที่เข้าร่วมโครงการ E-commerce Global Program → ใช้ digital marketing และ logistic hub → ขายสินค้าหัตถกรรมไปยังยุโรปและอเมริกา รายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
• บริษัทชิ้นส่วนยานยนต์เล็กในอยุธยา ที่เข้าร่วม Supplier Program และได้รับ certification → กลายเป็น supplier ใน EV cluster ของญี่ปุ่น → รายได้โต 300% ภายใน 5 ปี
ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนว่า ถ้า blueprint เดินหน้า SMEs จะไม่ใช่ “ธุรกิจเล็กที่อยู่รอดไปวัน ๆ” แต่คือ “เครื่องจักรผลิตความมั่งคั่ง” ที่กระจายไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่
8. ข้อสรุปเชิงนโยบาย
SMEs และ Industry Competitiveness ไม่ใช่เพียง sector ย่อย แต่คือ 70% ของแรงงานไทย หากไม่ยกระดับ productivity ของพวกเขา blueprint การพัฒนาเศรษฐกิจไทยทั้งหมดจะสะดุดกลางทาง การเติบโตจะกระจุกอยู่เพียงในภาคธุรกิจขนาดใหญ่และ MNC โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้สัมผัสถึง “การพัฒนาแล้ว” จริง ๆ
แต่หากไทยสามารถผลักดันนโยบายเหล่านี้ได้สำเร็จ เราจะเห็นเศรษฐกิจที่ inclusive มากขึ้น: SMEs แข็งแรง อุตสาหกรรมแข่งขันได้ และแรงงานไทยได้รับโอกาสสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น Blueprint Thailand → Developed จะไม่ใช่เพียงวิสัยทัศน์บนกระดาษ แต่จะกลายเป็น ความจริงที่จับต้องได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา