23 ส.ค. เวลา 00:43 • สุขภาพ

ดื่มน้ำวันละหลายลิตร ดีจริงหรือ? ไขข้อข้องใจเรื่องน้ำกับไต ที่หลายคนเข้าใจผิด

หลายคนคงเคยได้ยินคำแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว หรือ 2 ลิตร บางคนก็บอกว่าต้องดื่มให้ได้เยอะๆ ยิ่งมากยิ่งดี! เพราะเชื่อว่าจะช่วยล้างสารพิษในร่างกาย ทำให้ผิวสวยใส หรือช่วยลดน้ำหนักได้ แต่คำถามคือ… การดื่มน้ำมากๆ แบบนี้ ดีต่อร่างกายจริงหรือ? แล้วไตของเราโอเคไหม?
วันนี้เราจะมาหาคำตอบจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลจากงานวิจัยกัน
ทำไมถึงมีคนแนะนำให้ดื่มน้ำเยอะๆ?
คำแนะนำยอดนิยมที่บอกให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้วหรือประมาณ 2 ลิตรนั้น มาจากคำแนะนำของสถาบันสุขภาพในอดีต ซึ่งเป็นการแนะนำโดยรวมสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีโรคประจำตัว เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำที่เพียงพอในแต่ละวัน นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อที่แพร่หลายในโลกออนไลน์ว่าการดื่มน้ำมากๆ ช่วยล้างพิษออกจากร่างกาย ทำให้ผิวพรรณดีขึ้น หรือช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งบางส่วนก็เป็นความจริง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด และการตลาดของธุรกิจน้ำดื่มและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็มีส่วนในการสร้างความเชื่อนี้ให้แพร่หลายออกไป
ความจริงที่ควรรู้: ดื่มน้ำมากเกินไป (Overhydration) อันตรายกว่าที่คิด!
ตามข้อมูลจากบทความวิชาการ (review article) ที่อ้างอิงจาก Kalra, D. (2023) ระบุไว้ชัดเจนว่า “การดื่มน้ำมากเกินความจำเป็นอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ (Hyponatremia) ซึ่งเป็นอันตรายร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้
เมื่อเราดื่มน้ำมากเกินไป ไตจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อขับน้ำส่วนเกินออก เพราะว่าน้ำหรือของเหลวทั้งหมดที่เข้าสู่ร่างกายจะต้องถูกส่งไปที่ไตเสมอ และถ้าดื่มน้ำมากจนเกินกำลังของไต ไตจะไม่สามารถขับน้ำส่วนเกินได้ทัน ทำให้ความเข้มข้นของโซเดียมในเลือดลดต่ำลง ซึ่งอาจส่งผลให้เซลล์ในสมองบวมได้ อาการที่พบได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ไปจนถึงอาการรุนแรงอย่างชัก หมดสติ หรือเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
นอกจากนี้ การดื่มน้ำมากเกินความจำเป็นเป็นประจำ อาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้นในระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของไตได้
สัญญาณเตือนที่บอกว่าคุณอาจกำลังดื่มน้ำมากเกินไป
ข้อมูลจากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า หากคุณดื่มน้ำมากเกินความจำเป็น ร่างกายจะเริ่มส่งสัญญาณเตือนออกมา ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นเรื่องใกล้ตัวที่คุณอาจเคยรู้สึก หรือสามารถรู้สึกได้
1) อาการทางสมองและจิตใจ: รู้สึกมึนงง สับสน หรือไม่ค่อยมีสมาธิ
2) อาการทางร่างกาย: มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว และอาจมีอาการตะคริวหรือกล้ามเนื้อกระตุก เนื่องจากความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย
3) การทำงานของระบบย่อยอาหาร: การดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในทันทีหลังมื้ออาหาร อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่ เพราะไปขยายแรงดันในลำไส้และทำให้เอนไซม์ย่อยอาหารเจือจางลง
4) ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ: โดยเฉพาะช่วงกลางคืน (nocturia) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่นำไปสู่ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำและภาวะดื่มน้ำเกิน
ดื่มน้ำมากเกินไป เสี่ยงต่อโรคอื่นๆ หรือไม่?
ข้อมูลจากบทความวิจัยยังระบุว่า การดื่มน้ำมากเกินไปไม่ได้ส่งผลกระทบแค่กับไตและภาวะโซเดียมในเลือดต่ำเท่านั้น แต่ยังอาจเชื่อมโยงกับภาวะสุขภาพอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น:
1) ภาวะผิดปกติทางจิต (Psychogenic polydipsia): ในบางกรณี การดื่มน้ำมากเกินไปอาจเป็นอาการของความผิดปกติทางจิตที่ทำให้เกิดพฤติกรรมกระหายน้ำผิดปกติ
2) ปัญหาระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal dysfunction): การดื่มน้ำในปริมาณมากอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มที่
3) ความเสี่ยงของลิ่มเลือดอุดตัน (Deep Vein Thrombosis, DVT): มีงานวิจัยที่ระบุว่า การดื่มน้ำมากเกินไปอาจทำให้เลือดมีความหนืดลดลง (โดยปกติ ทำให้ความเข้มข้นของเกล็ดเลือดและปัจจัยการแข็งตัวของเลือดลดลง ซึ่งมีผลทำให้เลือดแข็งตัวได้ยากขึ้น) แต่ถ้ามีภาวะน้ำเกินรุนแรงจนเกิดอาการ เช่น ซึมมาก, อ่อนแรง, ชัก, หรือหมดสติ ผู้ป่วยจะ นอนนิ่งๆ ไม่ขยับตัวเป็นเวลานาน ก็จะเป็น ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของ DVT เพราะทำให้เลือดในขาไหลเวียนช้า (Stasis)
4) ความเสี่ยงในผู้ป่วยโรคไตวาย (Peritoneal dialysis): สำหรับผู้ป่วยโรคไตวายที่ต้องฟอกไต การดื่มน้ำมากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงขึ้น เช่น ภาวะความดันโลหิตสูงและภาวะหัวใจล้มเหลว
แล้วควรดื่มน้ำวันละเท่าไหร่ถึงจะพอดี?
คำตอบคือ ไม่มีปริมาณที่ตายตัวสำหรับทุกคน เพราะความต้องการน้ำของแต่ละคนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น:
1) น้ำหนักตัว: คนที่มีน้ำหนักตัวมาก ยิ่งต้องการน้ำมากขึ้น
2) กิจกรรมในแต่ละวัน: คนที่ออกกำลังกายหนักๆ หรือต้องทำงานที่ต้องใช้แรงงานมาก จะเสียเหงื่อมากและต้องการน้ำเพิ่มขึ้น
3) สภาพอากาศ: ในสภาพอากาศร้อนชื้น ร่างกายจะเสียน้ำทางเหงื่อมากกว่าปกติ
4) ภาวะสุขภาพ: คนที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคหัวใจ หรือโรคไต ควรปรึกษาแพทย์เพื่อจำกัดปริมาณการดื่มน้ำให้เหมาะสม
วิธีสังเกตง่ายๆ ว่าคุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง
วิธีที่ดีที่สุดในการตรวจสอบว่าร่างกายของคุณได้รับน้ำเพียงพอหรือไม่ คือการสังเกตจากตัวคุณเอง โดยเฉพาะจากสีของปัสสาวะ:
*** ปัสสาวะสีเหลืองอ่อนๆ (ภาพหลอดทดลองด้านซ้ายมือหลอดแรก) : แสดงว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอแล้ว
*** ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม: แสดงว่าร่างกายขาดน้ำ ควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้น
ภาพแสดงสีของปัสสาวะ ในสภาวะต่างๆ ของการดื่มน้ำ ดีที่สุด คือ ด้านซ้ายมือ (Photo: Shutterstock)
สรุป: ดื่มให้พอดี ดีที่สุด
การดื่มน้ำเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย แต่การดื่มน้ำมากเกินความจำเป็นก็อาจส่งผลเสียได้ ไม่มีงานวิจัยชิ้นใดที่ระบุว่าการดื่มน้ำเกินความจำเป็นแล้วดีต่อร่างกาย การฟังเสียงร่างกายและสังเกตจากปัสสาวะ คือวิธีที่ง่ายและดีที่สุดที่จะบอกคุณว่าคุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง
อ้างอิง
Kalra, D. (2023). Overhydration: A boon or bane. Indian Journal of Pharmacy and Pharmacology, 10(2), 73-75.
โฆษณา