Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Techy Dad
•
ติดตาม
23 ส.ค. เวลา 04:22 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ในวัย 40+ ทำยังไงไม่ให้ AI แย่งงานไปได้
คุณเคยตื่นขึ้นมาแล้วคิดไหมว่า "วันหนึ่ง AI จะมาแย่งงานเราไปรึเปล่า?" 🤔 ถ้าคุณเป็นคนวัยทำงาน โดยเฉพาะอายุ 40+ ที่ทำงานออฟฟิศมานาน คำถามนี้คงอยู่ในหัวบ่อยๆ ตามด้วย content จาก social media อีกมากมาย ที่คอยบอกว่า AI จะฉลาดกว่าคน และ แทนที่คนในทุกๆด้านในที่สุด
จริงๆ แล้ว AI ไม่ได้มาเพื่อแย่งงาน แต่มาเพื่อเปลี่ยนวิธีการทำงาน คนที่รอดได้คือคนที่ปรับตัวได้ ส่วนคนที่ยังคิดว่า "เรายังทำได้ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก" อาจจะเป็นกลุ่มแรกที่โดนกระทบ
จากประสบการณ์ที่ทำงานด้านไอทีมากว่า 20 ปี ในการ implement ระบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็น software หรือ hardware มักถูกต่อต้านก่อนเสมอ ด้วย หลายๆ เหตุผล เหตุผลหนึ่งที่เจอเสมอ คือ ระบบเก่าก็ทำงานได้อยู่แล้ว ทำไมต้องเปลี่ยน ทำไมจะต้องเสี่ยงออกจจาก comfort zone ด้วย แต่สุดท้ายเมื่อ implement สำเร็จผู้ปฏิบัติก็จะเห็นถึงความแตกต่าง ของระบบเดิม และ ระบบใหม่ ว่าแบบไหนมีประสิทธิผล (Productivity) และประสิทธิภาพ (Efficiency) มากกว่า ซึ่งใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะเปลี่ยนกรอบความคิดกันได้ (Paradigm Shift)
มาดูกันว่าเราจะทำตัวอย่างไรให้รอดและเติบโตไปกับ AI ได้
เรียนรู้เครื่องมือ AI ให้เป็น
เริ่มจากสิ่งง่ายๆ ก่อน ลองใช้ ChatGPT ช่วยเขียนอีเมล หรือ Claude ช่วยสรุปเอกสาร 💻 ไม่ต้องเก่ง coding อะไรหรอก แค่รู้ว่าจะใช้มันช่วยงานยังไงให้ได้ผล
ตัวอย่าง: แทนที่จะใช้เวลา 2 ชั่วโมงเขียนรายงาน ลองให้ AI ช่วยสร้าง outline แล้วเราเติมรายละเอียด เวลาลดเหลือ 30 นาที คุณก็มีเวลาไปทำงานอื่นที่สำคัญกว่า หัวหน้าจะเห็นว่าคุณทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพ แทนที่จะคิดว่าคุณล้าสมัย กลับจะคิดว่าคุณก้าวทันเทคโนโลยี
หากไม่ได้ AI ช่วย ผมคงไม่มีบทความมาลงใน Blockdit มันช่วยย่นระยะเวลาในการหาข้อมูลจากวัน เป็น นาทีได้ ให้ช่วยเขียนบทความแบบที่ต้องการได้ จะสั้นกระชับ หรือ ลงรายละเอียดก็ได้ ระหว่างรอ AI เขียนบทความ เราก็ทำงานอย่างอื่น ได้ หรือ จะจิบกาแฟ เสร็จแล้ว ก็มานั่งรีวิวปรับแก้ ตามที่ต้องการได้
หาจุดแข็งที่ AI ทำแทนไม่ได้
งานที่ต้องใช้ประสบการณ์ชีวิต การเจรจาต่อรอง หรือการคิดเชิงกลยุทธ์ AI ยังทำได้ไม่ดีเท่าคน 🧠 เน้นพัฒนาสกิลเหล่านี้ สร้างงานที่มี dependency ต่อคุณ ถ้าไม่มีคุณก็ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น AI หรือคนอื่นก็ตาม
ตัวอย่าง: ถ้าคุณเป็น HR อย่าไปทำแต่งาน admin เช่น บันทึกข้อมูลพนักงาน (ที่ AI ทำได้) แต่ไปโฟกัสที่การแก้ปัญหาความขัดแย้งในทีม การออกแบบวัฒนธรรมองค์กร หรือการสัมภาษณ์คัดเลือกคน
งานพวกนี้ต้องอาศัยการอ่านอารมณ์ การเข้าใจคน และการตัดสินใจแบบซับซ้อนที่ AI ยังทำไม่ได้
กลายเป็นคนที่นำ AI เข้ามาใช้
แทนที่จะกลัว AI ทำให้เราตกงาน ทำไมไม่เป็นคนที่นำ AI มาใช้ในองค์กรล่ะ 🚀 เสนอไอเดียการใช้ AI ให้หัวหน้า หรือเป็นคนที่ช่วยเทรนเพื่อนร่วมงาน ซึ่งการเทรน หรือ คอยให้คำแนะนำคนอื่นๆ จะเป็น การทบทวนความรู้ และ skill up ไปด้วย สุดท้ายคุณจะกลายเป็น Expert ในสายตาผู้บริหารและเพื่อร่วมงาน
ตัวอย่าง: เห็นว่าทีมการตลาดใช้เวลานานในการทำ content ลองเสนอใช้ AI ช่วยสร้างไอเดีย คิดแคมเปญ หรือเขียน copy แล้วให้คนมาปรับปรุง คุณจะกลายเป็น "AI Expert" ของบริษัท
คนแบบนี้จะเป็นคนสุดท้ายที่โดนไล่ออก เพราะบริษัทต้องการคนที่เข้าใจ AI และสามารถนำมาใช้ได้ ไม่มีผู้บริหารคนไหนไล่ Expert ออกหรอกครับ หากมีประโยชน์ต่อองค์กร
สร้างรายได้หลากหลายช่องทาง
อย่าพึ่งพาเงินเดือนจากที่เดียว ลองหาช่องทางสร้างรายได้เสริม เช่น คอนซัลติ้ง งานฟรีแลนซ์ หรือการลงทุน เล่นหุ้น Crypto ก็ได้ 💰 แต่อย่าลืมที่จะลงทุนเวลาในการเรียนรู้ก่อน ไม่ใช่ ลงทุนตามคนอื่นบอกอย่างเดียว ติดดอยแน่นอน
ตัวอย่าง: ถ้าคุณเป็นนักบัญชี นอกจากทำงานประจำ อาจรับงานทำบัญชีให้ SME ในช่วงสุดสัปดาห์ หรือเปิด course สอนการใช้ Excel ขั้นสูง
เมื่อมีรายได้หลายช่องทาง แม้จะถูกเลิกจ้าง คุณก็ยังมีเงินต้นพออยู่ได้ระหว่างหางานใหม่ เก็บไข่ไว้ในตะกร้าหลายๆใบ แตกไปสักใบ ยังคงเหลือใบอื่นๆอีก เป็นการกระจายความเสี่ยงไปเหมือนกับการลงทุนนั้นเอง
สร้างเครือข่ายและเพิ่มการมองเห็น
อย่าได้แต่นั่งทำงานเงียบๆ ลองเล่น LinkedIn บ้าง แชร์ผลงาน หรือเขียนโพสต์เล่าประสบการณ์ 📱 เวลามีโอกาสดีๆ คนจะได้นึกถึงเรา
ตัวอย่าง: เขียนโพสต์เล่าว่าเราใช้ AI ช่วยทำงานอะไรได้บ้าง มีปัญหาอะไร แก้ยังไง คนอื่นจะเห็นว่าเราเป็นคนที่ก้าวทันเทคโนโลยีและสามารถนำ AI มาใช้งานได้จริง ไม่ได้เป็นแค่ Hype เท่านั้น
เวลาบริษัทอื่นหาคนที่เข้าใจ AI เขาจะนึกถึงเราก่อนใคร
สังเกตสัญญาณเตือนในบริษัท
ถ้าเห็นว่างานเราเริ่มซ้ำๆ เบื่อๆ หรือบริษัทเริ่มพูดเรื่อง automation บ่อยๆ อาจถึงเวลาต้องเปลี่ยนโฟกัส ⚠️
ตัวอย่าง: พนักงาน data entry เริ่มเห็นบริษัททดลองใช้ระบบอัตโนมัติ แทนที่จะนั่งรอ ควรไปขอเรียนรู้การดูแลระบบ วิเคราะห์ข้อมูล หรือฝึกงานตำแหน่งอื่นที่มีอนาคตกว่า
อันนี้ผมมีประสบการณ์จริงอยากแชร์ บริษัทแรก ที่ทำงานคือ IBM Storage Product Thailand ผลิต Hard Disk Drive ส่งออกทั่วโลก ก่อนผม ออกจากงาน 1 ปี ผมได้ข่าวว่า ทางบริษัทแม่ จะขายธุรกิจ Storage Division ออกไปทั้งหมด ซึ่งรวมถึง Hard Disk Drive ผมก็เริ่มเรียนรู้ skill ใหม่ๆด้าน software มากขึ้น และเมื่อบริษัทถูกขายไปจริง ผมก็ได้ย้ายไปทำงานกับบริษัท Software ในเครือ Fujitsu แทน โดยไม่ได้เดือนร้อนอะไร ซึ่งก็เป็นสายงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
การสังเกตและปรับตัวก่อนจะช่วยให้เราไม่ตกใจเวลาการเปลี่ยนแปลงมาถึงจริงๆ มีแผนสำรองไว้เสมอก็ดีนะครับ
เตรียมตัวทางการเงิน
สะสมเงินไว้ 6-12 เดือน เผื่อต้องหางานใหม่ เจรจาขอขึ้นเงินเดือนในตำแหน่งปัจจุบัน และลงทุนในสิ่งที่เติบโตได้ 💵
ตัวอย่าง: แทนที่จะซื้อของฟุ่มเฟือย เอาเงินส่วนนั้นไปเรียนคอร์ส upskill หรือซื้อหุ้นในบริษัทเทคโนโลยี เช่น 7 นางฟ้า Magnificent 7 Stocks Apple/Microsoft /Alphabet/Amazon/NVIDIA/Meta/Tesla (หาจังหวะซื้อด้วยนะครับ ไม่งั้นก็ดอยได้เหมือนกัน) การเตรียมตัวแบบนี้จะทำให้เรามั่นใจมากขึ้นในการต่อรองหรือเปลี่ยนงาน
เงินในบัญชีจะให้อำนาจเราในการเลือก ไม่ต้องยอมทำงานที่ไม่ชอบเพียงเพราะกลัวไม่มีเงินใช้ ได้ทำงานที่ชอบและมีรายได้เลี้ยงชีพด้วย คงเป็นความฝันของหลายๆคน หนึ่งในนั้นก็มีผมอยู่ด้วย ถ้าเราได้ทำงานที่เราชอบ เหมือนเราได้ Buff Item ตรงกันข้าม ทำงานที่ไม่ชอบ จะเหมือนถูก Nerf เนือยๆ รอเวลาเลิกงานไปวันๆ
ใช้ AI ช่วยงานประจำวัน
อย่าแค่รู้จัก AI ต้องเอามาใช้จริงๆ ให้ AI ช่วยสรุปเอกสาร วิเคราะห์ข้อมูล หรือแก้ปัญหาเทคนิค 🤖
ตัวอย่าง: ใช้ AI ช่วยเขียนแผนการตลาด ปรับปรุงเสนอขาย หรือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า แล้วเอาเวลาที่เหลือไปโฟกัสงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์
ลูกค้าหรือหัวหน้าจะเห็นว่าผลงานเราดีขึ้น แม่นยำขึ้น และทำได้เร็วขึ้น
เปิดใจเรียนรู้และขอ feedback
อย่าคิดว่าอายุมากแล้วเรียนไม่ได้ ยุคนี้ 60 ยังเรียน coding ได้ เอาจริงๆ 📚 ขอ feedback จากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานว่าเราต้องพัฒนาอะไรบ้าง
ตัวอย่าง: ถ้าคนรุ่นใหม่ในทีมใช้ tool ใหม่ๆ ได้เก่ง อย่าอายที่จะขอให้สอน แลกกับการแบ่งปันประสบการณ์การทำงานที่เรามี
การเรียนรู้แบบสองทางนี้จะทำให้ทุกคนในทีมได้ประโยชน์ และเราจะไม่ถูกมองว่าล้าสมัย
เป็นพี่เลี้ยงและเรียนรู้จากรุ่นน้อง
ช่วยสอนงานให้น้องใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ จากเขาด้วย 🤝 การแลกเปลี่ยนแบบนี้จะทำให้เราทั้งคู่เติบโตไปด้วยกัน
ตัวอย่าง: สอนน้องใหม่เรื่องการวางแผนโปรเจ็ค หาลูกค้า หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ในขณะเดียวกันให้เขาสอนเราใช้ app ใหม่ๆ หรือ AI tools ที่เขาถนัด จะ Slack , Discord ลองใช้มันให้หมด อันไหนดีก็เอามาใช้งานต่อ
ความรู้และประสบการณ์ที่เราสะสมมานานเป็นสมบัติล้ำค่า แค่เติม skill ใหม่ให้ทันสมัย เราจะกลายเป็น "super employee" ที่ไม่มีใครแทนที่ได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับ mindset จาก "AI จะมาแย่งงาน" เป็น "AI จะทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น" คงเคยได้ยินกันบ่อยๆ ในวิกฤตมักมีโอกาส เราจะใส่หมวกสีไหน ก็แล้วแต่เรา คุณจะเลือกใส่หมวกสีดำอย่างเดียว ที่เห็นแต่ข้อเสียและความเสี่ยง หรือ ใส่หมวกสีเหลืองด้วย ที่มองเห็นข้อดีและโอกาส (Six Thinking Hats)
คนที่รอดในยุค AI จะเป็นคนที่รู้จักใช้ AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่คนที่สู้กับมัน เริ่มตั้งแต่วันนี้ก็ไม่สาย ลองปฏิบัติทีละข้อ รับรองว่าอนาคตการงานของเราจะสดใสขึ้นแน่นอน 🌟
Credit
Writer : Claude Sonnet 4/ Grok3
Image : Sora
Editor : Techy Dad
พัฒนาตัวเอง
ai
เทคโนโลยี
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย