25 ส.ค. เวลา 05:53 • การศึกษา

อาจารย์นิรันดร์ นวมารค : แบบอย่างครูภาษาไทยที่มีเทคนิคการสอนยอดเยี่ยม

อาจารย์นิรันดร์ นวมารค เกิดที่บ้านในตรอกบวรรังษี ถนนตะนาว จังหวัดพระนคร เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ เป็นบุตรของ นายพันตํารวจตรี หลวงสมัครโยธีการ (ขัน นวมารค) และนางสมัครโยธีการ (เจียร นวมารค)
เมื่อเยาว์วัยเรียนหนังสือกับมารดาจนพออ่านออกจึงไปเข้าเรียนที่โรงเรียน ใกล้บ้านชื่อ “ดรุณศึกษา” จนจบชั้นประถมปีที่ ๑ แล้วไปเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสตรีวิทยาจนจบชั้นประถมปีที่ ๓ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของประโยคประถมศึกษาและเป็นชั้นสูงสุดที่อนุญาตให้นักเรียนชายเข้าเรียนได้ แล้วไปเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปีที่ ๑ แผนกภาษาฝรั่งเศสที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล ซึ่งขณะนั้นอาจารย์นิรันดร์ อายุได้ ๘-๙ ขวบ
เมื่อนายนิรันดร์เรียนถึงชั้น ๕ ได้เรียนภาษาไทยกับมหาฟู อาจารย์นิรันดร์เกิดศรัทธาในการสอนและวิธีสอนภาษาไทยของมหาฟูมาก ซึ่งเป็น เหตุหนึ่งที่ทําให้อาจารย์นิรันดร์รักภาษาไทยและเป็นครูสอนภาษาไทยมาตลอดชีวิต ดังข้อความตอนหนึ่งที่อาจารย์นิรันดร์เขียนเล่าในบทความเรื่อง ผมต้องสอนภาษาไทย ซึ่งพิมพ์อยู่ในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ ตอนหนึ่งว่า
“...มาถึงชั้นห้านี้สิครับ ผมได้ครูภาษาไทยคนหนึ่งชื่อ ฟู เป็นมหามาแต่เดิม... ท่านมหาฟูสอนภาษาไทยทั้งไวยากรณ์และกวีนิพนธ์ นี่เรียกแบบโบราณนะครับ
ก่อนสอน ท่านมหาจะต้องเขียน โคลง กลอน ฉันท์ บนกระดานก่อนสักบทสองบทโดยคิดแต่งขึ้น สดๆ ผมยังจําท่าท่านมหาได้ ท่านนุ่งผ้าพื้นโจงกระเบน เสื้อราชประแตน ยืนที่หน้ากระดานดํา จับชอล์กเหมือนจับปากกาดินสอ จดแล้วยก จดแล้วยกสักสองทีก็เขียนลงวรรคหนึ่ง ทําอย่างนี้ทุกทีที่เข้าสอน ผมไม่ทราบว่าท่านมหาฟูจะท่องมาก่อนหรือเปล่า แต่ออกจะนับถือความเป็นกวีอยู่เต็มหัวใจ และเริ่มเอาอย่างท่านตั้งแต่นั้นมา...”
เมื่ออาจารย์นิรันดร์เรียนถึงชั้น ๗ ก็ต้องการสอบชั้นมัธยมปีที่ ๘ ของกระทรวงฯ จึงไปเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนสุนทรภาษิตของขุนสุนทรภาษิต (ถนอม เกยานนท์) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสนามกีฬาแห่งชาติในปัจจุบัน สามารถสอบชั้นมัธยมปีที่ ๘ แผนกวิทยาศาสตร์ได้
จากนั้นได้ไปสมัครสอบเข้าเรียนแพทย์ แต่เมื่อทราบว่าผลสอบ วิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่เรียนมาเป็นคนละแบบกับของกระทรวงฯ จึงได้กลับไปเข้าเรียนชั้น ๘ แผนกภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียลอีกปีหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้ขุนสุนทรภาษิตได้มาเป็นครูสอนวิชาภาษาไทยชั้น ๘ ทั้งแผนกภาษาอังกฤษและแผนกภาษาฝรังเศสที่โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียลแล้ว
อาจารย์นิรันดร์เห็นว่าการสอนภาษาไทยน่าสนุกเพราะขุนสุนทรภาษิตสอนสนุกมาก ถึงสิ้นปีอาจารย์นิรันดร์ สอบได้ทั้งชั้นมัธยมปีที่ ๘ แผนกภาษาและสอบได้ชั้น ๘ แผนกภาษาอังกฤษของ โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียลด้วย จึงได้ไปเรียนต่อที่คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังข้อความอีกตอนหนึ่งที่อาจารย์นิรันดร์เขียนเล่าไว้ใน บทความเรื่องเดิมว่า
“...ผมก็มาจินตนาการว่า เราก็มีประกาศนียบัตร ม.๘ ตั้งสี่ฉบับ เข้าเรียน อักษรศาสตร์ดีกว่าเรื่องมันก็ง่ายแล้วที่จะเป็นครูสอนภาษาไทย ยังครับยัง ความจรรโลงใจ มีอีก คือได้เห็นอาจารย์ท่านทองทีฆายุ อาจารย์รอง อาจารย์เจ้าคุณอุปกิต ฯ อาจารย์ เจ้าคุณอนุมานฯ อาจารย์เหล่านี้ท่านเล็กเชอร์เรื่อย ไม่เห็นดูหนังสือหนังหาอะไร บางทีก็มีกระดาษแผ่นเล็กๆ บันทึกข้อความไว้นิดหน่อยช่วยความจํา ผมก็เลยเอามั่ง
แล้วก็เมื่ออยู่โรงเรียนฝรั่งนั้น บรรดามาสเตอร์ บราเดอร์ทั้งหลายเคี่ยวเข็ญให้ท่องจําบทเรียนอย่างสาหัสจนจะทําอะไรก็ท่องจําได้เสมอ เลยท่องจําอะไรต่ออะไรเรื่อยมา...”
อาจารย์นิรันดร์เรียนสําเร็จได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ และเรียนต่อประโยคครูมัธยม (ป.ม.) อีก ๑ ปี สําเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ พอดีเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ทุกกระทรวงปิดรับไม่บรรจุตําแหน่งใหม่ เว้นแต่กระทรวงศึกษาธิการเพียงแห่งเดียว
อาจารย์นิรันดร์จึงไปสมัครเป็นครู หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ผู้อํานวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จําอาจารย์นิรันดร์ได้จึงให้เป็นครูลูกจ้างที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาระยะหนึ่ง จนมีตําแหน่งว่างจึงได้บรรจุเข้ารับราชการ อาจารย์นิรันดร์ เล่าถึงการสอนหนังสือครั้งแรกๆ ไว้ในบทความเรื่องเดิมว่า
“...ผมก็งัดเอาบรรดากิริยาท่าทางอัธยาศัยเท่าที่ผมพอจะจําได้จากอาจารย์ ทุกท่านที่ผมเคยเรียนกับท่านมา นําออกใช้ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ผมสอนเลย ผมสอนประวัติวรรณคดีโดยมีกระดาษเล็กๆ เขียนตัวเลข พ.ศ. และชื่อบุคคลไว้สองสามชื่อ แล้วผมก็ว่าเรื่อยไปช้า ๆ พอให้นักเรียนจดทัน
ทําอย่างนี้สักเดือนหนึ่งต่อไปก็พูดเร็วๆ อย่างเล็กเชอร์นักเรียนก็จดทัน ผมบอกว่าฝึกไว้ไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัย นักเรียนเขาก็เห็นดีด้วย... เวลาสอนเวสสันดร ตะเลงพ่าย ผมก็เรียนมาตั้งแต่ชั้นเจ็ดชั้นแปดจนจําได้เกือบหมดแล้ว พอมาสอนผมก็ดูหนังสือบ้างไม่ดูบ้าง แต่พอนักเรียนอ่านผิดผมก็ท้วงทันที่ไม่ปล่อยให้ผิด แม้แต่ตัวควบกล้ํา ตัว ร ล นักเรียนหาว่าผมเข้มงวดเกินไป ผมก็ยอมรับโดยดี แต่ก็ไม่ยอมลดให้...”
พ.ศ. ๒๔๘๗ สงครามทวีความรุนแรงขึ้น โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาจึง ต้องย้ายไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ อาจารย์นิรันดร์ต้องย้ายตามไปด้วย ขณะเดินทาง หนังสือตําราต่างๆ ของอาจารย์นิรันดร์ถูกน้ํามันเครื่องรถบรรทุกหกรดเสียหาย อาจารย์ นิรันตร์จึงสอนโดยไม่มีตําราเนื่องจากจําได้ทั้งหมด จนสงครามสงบใน พ.ศ. ๒๔๘๘ จึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่เดิม
วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๐ กระทรวงศึกษาธิการมีคําสั่งให้จัดตั้ง แผนกฝึกหัดครูมัธยมขึ้นในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาอีกแห่งหนึ่ง (เรียกกันย่อๆ ในภายหลังว่า ฝค.ตอ.) หม่อมเจ้าวงษ์มหิป ชยางกูร ทรงดํารงตําแหน่งหัวหน้าแผนก อาจารย์
นิรันดร์ได้รับมอบหมายให้มาสอนวิชาภาษาไทยที่แผนกนี้ด้วย และสอนตลอดมาจนแผนกฝึกหัดครูมัธยมโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษายกฐานะขึ้นเป็น วิทยาลัยวิชาการศึกษาปทุมวัน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ และยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรตปทุมวัน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ โดยที่ยังสอนวิชาภาษาไทยที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาด้วย และเมื่ออาจารย์สอนวิชาฝรั่งเศสของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาได้ทุนไปศึกษาต่อ อาจารย์นิรันดร์ก็ได้รับมอบหมายให้สอนวิชาภาษาฝรั่งเศส อีกวิชาหนึ่ง
อาจารย์นิรันดร์มีความเชี่ยวชาญในการสอนวิชาภาษาไทยมาก เวลาสอนหลักภาษาไทยก็จะใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้าช่วย เช่น สอนให้สั้น กระชับ และจําได้ง่าย เป็นต้น เวลาสอนแต่งคําประพันธ์ก็จะแต่งคําประพันธ์เป็นคําถามง่ายๆแล้วให้นักเรียนแต่งตอบ ดังข้อความอีกตอนหนี่งที่อาจารย์นิรันดร์เขียนเล่าไว้ในบทความเดิมว่า
“ผมสอนหลักภาษาไทยโดยเอาหลักวิทยาศาสตร์เข้าจับ คือพยายามทําคําอธิบาย ให้ตรงเป้า สั้น กระชับ ให้ท่องได้น้อยที่สุด จําได้ง่ายที่สุด เช่น คํานิยามเรื่องคําครุ ผมให้ นักเรียนจดไว้ว่า คําครุ คือ คําทุกคําที่มีเสียงตัวสะกดและคําที่ผสมกับสระเสียงยาวใน แม่ ก. กา รวมทั้งสระอํา ไอ ใอ เอา เห็นไหมครับผมตัดปัญหาเรื่องมาตราตัวสะกดแม่อะไรๆ หมดเลย นักเรียนเขาก็พอใจ
หรืออย่างคํานิยาม คําตาย คือ คําที่มีเสียงตัวสะกด ในแม่กก แม่กด แม่กบ แล้วคําที่ผสมกับสระเสียงสั้นในแม่ ก.กา ยกเว้นสระ อํา ไอ ใอ เอา แต่ถ้านักเรียนตอบเอาเรื่องตัวสะกดมาไว้หลังข้อความยกเว้นในสระเสียงสั้นละก็ผมไม่ยอม และชี้แจงว่าถ้าเอาคําที่มีเสียงตัวสะกดมาไว้หลังข้อความยกเว้น มันก็กลายเป็น ยกเว้นไปหมด แล้วก็เลยพูดถึงการผูกประโยคในการเรียงความต่อไปเลย
เวลาผมสอนแต่งคําประพันธ์ ผมก็ทําคล้ายแบบครูฟูของผม ผมสั่งงานเป็นคําประพันธ์ชนิดที่กําลังสอนและจะให้ทําการบ้าน พอตอนตรวจผมก็แต่งติชมลงเป็น คําประพันธ์... ผมสอนพวก ว.ศ. ปทุมวัน ผมก็ทําอย่างนี้อีก นักเรียนไม่เบื่อ ดีกว่าให้คะแนน บางทีผมก็แต่งคําถามง่ายๆ เป็นคําประพันธ์ให้นักเรียนตอบ บางทีครี้มๆ ก็ให้นัก เรียนแต่งคําถามเป็นคําประพันธ์ ผมจะตอบเป็นคําประพันธ์อย่างเดียวกัน ทีนี้ใครๆ ก็อยากจะถามให้ครูตอบ แย่งกันแต่งออกมาเขียนถามที่กระดานดํา ครูตอบแทบไม่ทัน...”
นอกจากจะสอนวิชาความรู้แล้ว อาจารย์นิรันดร์ยังสอนจรรยามารยาทให้นักเรียนเป็นคนดีด้วย ดังที่อาจารย์นิรันดร์เขียนเล่าไว้ใน บทความเรื่อง เราก็ศิษย์อาจารย์ พิมพ์ลงในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพ ตอนหนึ่งว่า
“ ข้อสำคัญครูต้องอบรมจริยาด้วย ครูน่ะจะสอนแต่วิชาอย่างเดียวเห็นจะไม่ได้เป็นครูของชาติ เป็นได้แค่ผู้สอนเพราะไม่ได้ทําอะไร ได้แต่บอกว่าอะไรเป็นอย่างไร แต่ถ้า เป็นครูต้องทํางานหนักกว่านั่นแยะ ต้องสอนวิชาการแล้วต้องสอนใจคนให้ดีขึ้นละเอียดขึ้นด้วย... ถ้าสอนวิชาให้ลูกศิษย์เอาวิชาไปทําชั่วเอาไปเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ผู้สอนวิชานั้นก็ไม่น่าเรียกว่าครู เพราะไม่บอกวิธีใช้วิชาในทางชอบให้ศิษย์”
พอกรมวิสามัญศึกษาตั้งให้มีหน่วยศึกษานิเทศก์ และให้มีศึกษานิเทศก์ขึ้น อาจารย์นิรันดร์ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นศึกษานิเทศก์พิเศษของกรมวิสามัญศึกษาด้วย ตอนออกไปปฏิบัติงานนิเทศการศึกษาอาจารย์นิรันดร์ได้เขียนตําราให้ครู โดยเฉพาะคู่มือครู การสอนแต่งคําประพันธ์ และต้องออกไปนิเทศการสอนตามโรงเรียนในจังหวัดต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ในส่วนภูมิภาคได้มีการแบ่งการนิเทศเป็นสายๆตามภาคการศึกษา(ต่อมาเรียกเขตการศึกษา)ทั้ง 12 ภาคการศึกษาทั่วประเทศ
หลังเกษียณอายุราชการแล้ว อาจารย์นิรันดร์ยังได้รับเชิญไปสอนตามสถาบันการศึกษาหลายแห่ง โดยเฉพาะที่ โรงเรียนจิตรลดาสอนจนอายุได้ ๘๓ ปี และถึงแก่กรรมด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหาร เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ สิริอายุได้ ๘๓ ปี ๔ เดือน ๑๙ วัน
ธเนศ ขำเกิด เขียน
#เอกสารอ้างอิง
1. หนังสือพระราชทานเพลิงศพ นายนิรันดร์ นวมารค ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันเสาร์ที่ 23 มกราคม 2542
2. หนังสือประวัติครูของคุรุสภา 16 มกราคม 2543
โฆษณา