Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
JTSK.Korn
•
ติดตาม
30 ส.ค. เวลา 02:10 • ความคิดเห็น
บทวิเคราะห์: มุมมองส่องทางไทย
[คดีถอดถอนนายกฯ แพทองธาร สู่จุดตัดความมั่นคงแห่งชาติ การเมืองภายใน และการทูตส่วนบุคคล]
กรณีที่กลุ่ม สว. ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่ง อันเนื่องมาจากคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน นับเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญอย่างยิ่ง มันไม่ใช่แค่เรื่องอื้อฉาวทางการเมือง แต่เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงจุดตัดที่เปราะบางระหว่าง การเมืองภายในประเทศ (Domestic Politics), ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations), และ หลักนิติรัฐ (Rule of Law) คดีนี้ได้ลากเอาประเด็นที่ซับซ้อนอย่างอธิปไตย, จริยธรรมผู้นำ, และความชอบธรรมของสถาบันการเมือง มาสู่ใจกลางของวาทกรรมสาธารณะ
ในฐานะผู้สังเกตการณ์/ติดตามดูมาตลอด ผมขอวิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้ผ่านประเด็นสำคัญดังนี้
1. ดาบสองคมของ "การทูตเชิงสัมพันธ์" (Relationship Diplomacy)
หัวใจของข้อกล่าวหานี้ คือ การใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้นำในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางที่เรียกว่า "การทูตเชิงสัมพันธ์" หรือ "การทูตระดับผู้นำ" (Summit Diplomacy) ในเวทีโลก การที่ผู้นำมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันสามารถเป็น "ทางลัด" ในการแก้ไขความขัดแย้ง, สร้างความไว้วางใจ, และขับเคลื่อนความร่วมมือได้อย่างรวดเร็วเกินกว่ากลไกราชการปกติ
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ได้เผยให้เห็น "ด้านมืด" ของการทูตลักษณะนี้อย่างชัดเจน คือ
1) เส้นแบ่งที่เลือนลาง: เมื่อความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง มันทำให้เส้นแบ่งระหว่าง ผลประโยชน์ของชาติ (National Interest) กับ ผลประโยชน์ส่วนตน/ตระกูล (Personal/Dynastic Interest) พร่ามัวในสายตาสาธารณะ การเรียก "ลุง" และการรับปากว่า "จะจัดการให้" สามารถถูกตีความได้ทันทีว่า นายกฯ อาจกำลังให้ความสำคัญกับสายสัมพันธ์ส่วนตัวมากกว่าจุดยืนที่เป็นทางการของประเทศ
2) ขาดความโปร่งใสและตรวจสอบได้: การเจรจาที่เป็นทางการต้องผ่านกระทรวงการต่างประเทศ, สภาความมั่นคงแห่งชาติ, และกองทัพ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ถูกออกแบบมาเพื่อคานอำนาจและกลั่นกรองผลประโยชน์ของชาติอย่างรอบด้าน การสนทนาส่วนตัวได้ข้ามขั้นตอนเหล่านี้ทั้งหมด ทำให้ขาดการตรวจสอบ และสร้างความหวาดระแวงให้แก่กลไกของรัฐเอง โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง
2. "การทูตหลังบ้าน" (Back-channel Diplomacy) ที่ผิดพลาดมหันต์
การเจรจานอกรอบหรือ "การทูตหลังบ้าน" เป็นเครื่องมือที่จำเป็นในทางการทูต ใช้เพื่อหยั่งท่าที, ลดความตึงเครียด, หรือหาทางออกในประเด็นที่ละเอียดอ่อนโดยไม่ต้องผูกมัดตัวเองในเวทีสาธารณะ เจตนาของนายกฯ แพทองธารอาจเป็นการใช้ช่องทางนี้เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนอย่างรวดเร็ว
แต่ความผิดพลาดร้ายแรงคือ การขาดความระมัดระวังในเนื้อหาและการสื่อสาร คำพูดอย่าง "ฝั่งตรงข้าม" ที่ใช้อ้างถึงกองทัพของตนเองในบทสนทนากับผู้นำประเทศคู่กรณี ถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่อาจให้อภัยได้ในทางการทูตและความมั่นคง มันไม่เพียงแต่ทำลายขวัญและกำลังใจของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ แต่ยังส่งมอบ "อาวุธ" ทางการเมืองชิ้นโตให้ฝ่ายตรงข้ามนำไปใช้โจมตีได้อย่างง่ายดาย และที่สำคัญที่สุด มันทำให้ "การทูตหลังบ้าน" ที่ควรจะเป็นความลับ กลายเป็นหลักฐานมัดตัวเองในที่สาธารณะ
3. บริบทของ "การทูตตระกูล" (Dynastic Diplomacy) และความเปราะบาง
ความสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่างตระกูลชินวัตรและฮุน เซน เคยถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ทางการทูตที่สำคัญของไทย แต่คดีนี้พิสูจน์แล้วว่ามันคือ "ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง" ที่รอวันปะทุ มันสร้างการรับรู้ว่านโยบายต่อกัมพูชาอาจไม่ได้ถูกกำหนดโดยยุทธศาสตร์ชาติ แต่ถูกกำหนดโดยพลวัตของสองตระกูล ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในสายตาประชาคมโลกและประชาชนในชาติ
ฝ่ายกัมพูชาเองก็อาจใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์นี้เพื่อสร้างความได้เปรียบ การปล่อยคลิป (หากเป็นความจริง) อาจเป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างแรงกดดันและสร้างความแตกแยกภายในของไทย เพื่อให้ตนเองอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าบนโต๊ะเจรจา
4. เมื่อความมั่นคงของชาติกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ประเด็นเขตแดนและอธิปไตยเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวสูงสุด(High Politics) การยื่นถอดถอนโดย สว. โดยอ้างอิงประเด็นนี้จึงมีพลังทำลายล้างสูง เพราะมันเชื่อมโยงกับความรู้สึกรักชาติของคนในสังคม และทำให้ข้อกล่าวหามีน้ำหนักมากกว่าเรื่องทุจริตคอร์รัปชันทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าบทบาทของ สว. ในกรณีนี้ถูกมองได้สองแง่ได้เช่นกัน:
1) มุมมองการตรวจสอบถ่วงดุล: คือการทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติอย่างแข็งขัน เมื่อเห็นว่าฝ่ายบริหารมีการกระทำที่สุ่มเสี่ยง
2) มุมมองเกมการเมือง: คือการใช้ประเด็นความมั่นคงเป็นเครื่องมือเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากขั้วการเมืองตรงข้าม ซึ่งสะท้อนถึงความขัดแย้งทางการเมืองเชิงโครงสร้างที่ฝังรากลึกในสังคมไทย
ฉากทัศน์และผลกระทบในมิติระหว่างประเทศ
ไม่ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาในรูปแบบใด ผลกระทบต่อสถานะของประเทศไทยในเวทีโลกจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
* กรณีรอด (ยกคำร้อง): นายกฯ แพทองธารจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่สถานะและความน่าเชื่อถือในฐานะผู้นำสูงสุดด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงจะถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง ประเทศคู่เจรจา โดยเฉพาะกัมพูชา จะมองเห็น "จุดอ่อน" และความแตกแยกภายในของฝ่ายไทย ซึ่งอาจทำให้การเจรจาในอนาคตเป็นไปได้ยากและไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
* กรณีร่วง (พ้นจากตำแหน่ง): จะเกิดสุญญากาศทางการเมืองและความไร้เสถียรภาพ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายต่างประเทศของไทยในทุกมิติ การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลอย่างกะทันหันจะทำให้ความต่อเนื่องของนโยบายหยุดชะงัก และอาจทำให้ภาพลักษณ์ของไทยในสายตานานาชาติดูอ่อนแอและคาดเดาไม่ได้
บทสรุปและคำถามถึงอนาคต
วิกฤตการณ์ครั้งนี้ เป็นบทเรียนราคาแพงที่สังคมไทยต้องร่วมกันหาคำตอบ มันได้ตั้งคำถามสำคัญว่า:
1. ขอบเขตของอำนาจผู้นำ: ผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจในการดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวได้มากน้อยเพียงใด? และจะสร้างกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพแต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทูตที่ยืดหยุ่นได้อย่างไร?
2. มาตรฐานทางจริยธรรม: เราจะสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระดับสูงสุดอย่างไร ที่ไม่ใช่เพียงแค่ตัวบทกฎหมาย แต่เป็นจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง?
3. ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา: ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ความสัมพันธ์กับกัมพูชาจะยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนต่อไป เราจะเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้เพื่อสร้างแนวทางการเจรจาที่เป็นเอกภาพ, มียุทธศาสตร์, และไม่ตกเป็นเครื่องมือของความขัดแย้งทางการเมืองภายในได้อย่างไร?
ท้ายที่สุด คดีนี้ไม่ใช่แค่ชะตากรรมของนักการเมืองคนหนึ่ง แต่คือบททดสอบวุฒิภาวะของระบบการเมืองไทยทั้งหมดในการจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งมีเดิมพันเป็นความมั่นคงและเกียรติภูมิของประเทศครับ.
การเมือง
ต่างประเทศ
ความเชื่อ
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย