Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
1 ก.ย. เวลา 13:30 • สุขภาพ
แก้ท้องผูก...อาจช่วยชะลอไตเสื่อม ความหวังครั้งใหม่จากยาเก่า ที่อาจเปลี่ยนการรักษาโรคไตไปตลอดกาล
โรคไตเรื้อรังเป็นภาวะที่น่ากลัวเพราะความเสื่อมถอยของไตนั้นเกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ไม่อาจย้อนกลับคืนได้ และความจริงที่เจ็บปวดที่สุดในทางการแพทย์ปัจจุบันก็คือ เรายังไม่มียาใดๆ ที่สามารถ "ฟื้นฟู" การทำงานของไตที่เสียไปแล้วให้กลับมาดีดังเดิมได้
การรักษาที่เรามีอยู่จึงเป็นเพียงการพยุงอาการ ชะลอความเสื่อมให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งสำหรับผู้ป่วยจำนวนมาก ปลายทางของการเดินทางสายนี้ก็คือการฟอกไตไปตลอดชีวิต
แต่จะเป็นอย่างไรครับ ถ้าผมจะบอกว่ามีความหวังครั้งใหม่ที่น่าตื่นเต้นอย่างยิ่งได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว และมันไม่ได้มาจากยาตัวใหม่ที่ล้ำสมัยหรือมีราคาแพงลิบลิ่ว แต่มาจาก "ยาแก้ท้องผูก" ธรรมดาๆ ที่เราอาจเคยเห็นหรือเคยใช้กันอยู่แล้ว นี่คือเรื่องราวของการค้นพบที่อาจจะมาพลิกโฉมหน้าการรักษาโรคไตไปตลอดกาล ซึ่งผมอยากจะนำมาเล่าให้ทุกท่านได้ฟังในวันนี้
เรื่องราวทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นจากข้อสังเกตเล็กๆ ที่แหลมคมของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ประเทศญี่ปุ่น พวกเขาสังเกตเห็นความเชื่อมโยงที่น่าสนใจว่า ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังส่วนใหญ่มักจะมีอาการ "ท้องผูก" เป็นปัญหาร่วมด้วยเสมอ
แทนที่จะมองข้ามมันไปในฐานะอาการข้างเคียงที่ไม่สำคัญ พวกเขากลับตั้งสมมติฐานที่ท้าทายและกล้าหาญขึ้นมาว่า หรือแท้จริงแล้ว "ลำไส้" และ "ไต" อาจจะมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งกว่าที่เราเคยคิด?
พวกเขาเชื่อว่าอาการท้องผูกนั้นได้ไปรบกวนสมดุลของเหล่าจุลินทรีย์ดีๆ ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเรา และความเสียสมดุลนี้เองที่ส่งผลร้ายย้อนกลับไปทำลายการทำงานของไต และหากสมมติฐานนี้เป็นจริง การคิดย้อนกลับอย่างมีเหตุผลก็คือ ถ้าเราสามารถรักษาอาการท้องผูกและฟื้นฟูสุขภาพของลำไส้ได้ เราก็น่าจะสามารถช่วย "ปกป้อง" ไตจากการเสื่อมสภาพเพิ่มเติมได้เช่นกัน
นี่คือแนวคิดที่แตกต่างไปจากการรักษาโรคไตแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง ซึ่งมักจะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมความดันโลหิต การควบคุมระดับน้ำตาล และการลดของเสียในเลือดเป็นหลัก
แต่การหันมามองที่ "ลำไส้" ในฐานะจุดเริ่มต้นของการรักษาโรคไตนั้น ถือเป็นการเปิดประตูสู่มิติใหม่แห่งความหวัง เพื่อพิสูจน์แนวคิดนี้ ทีมวิจัยจึงได้ทำการทดลองทางคลินิกครั้งสำคัญในกลุ่มผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระดับปานกลางจำนวน 150 คน โดยได้นำยาที่ใช้รักษาอาการท้องผูกเรื้อรังที่มีชื่อว่า "ลูบิพรอสโตน" (Lubiprostone) มาใช้ในการศึกษา ผู้ป่วยกลุ่มหนึ่งได้รับยาจริงในขนาดต่างๆ ในขณะที่อีกกลุ่มได้รับยาหลอก แล้วทีมวิจัยก็ได้เฝ้าติดตามดูค่าการทำงานของไต หรือค่า eGFR อย่างใกล้ชิด
ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมานั้นน่าทึ่งและเกินความคาดหมายอย่างยิ่ง ในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก ค่าการทำงานของไตยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของโรค
แต่ในกลุ่มที่ได้รับยาลูบิพรอสโตน อัตราการเสื่อมของไตกลับถูก "เหยียบเบรก" ให้ช้าลงอย่างมีนัยสำคัญ และยิ่งได้รับยาในขนาดที่สูงขึ้น ผลในการชะลอความเสื่อมก็ยิ่งชัดเจนขึ้น นี่คือหลักฐานชิ้นแรกในประวัติศาสตร์การแพทย์ที่แสดงให้เห็นว่ายาแก้ท้องผูกสามารถช่วยปกป้องการทำงานของไตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้จริง แต่คำถามสำคัญที่ตามมาคือ แล้วมันทำงานได้อย่างไร?
ทีมวิจัยได้เจาะลึกลงไปในระดับโมเลกุลเพื่อไขปริศนานี้ และก็ได้ค้นพบกลไกอันน่ามหัศจรรย์ที่เชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกันเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์
พวกเขาพบว่าเมื่อยาลูบิพรอสโตนเข้าไปช่วยแก้ปัญหาท้องผูกและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในลำไส้ มันได้ส่งผลให้สมดุลของ "จุลินทรีย์ชนิดดี" เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และจุลินทรีย์ที่ดีเหล่านี้ก็ได้ตอบแทนร่างกายของเราด้วยการผลิตสารสำคัญที่เรียกว่า "โพลีเอมีน" (Polyamines) ออกมาในปริมาณที่มากขึ้น
1
2
สารโพลีเอมีนนี้เองที่เป็นเหมือนอาหารเสริมชั้นเลิศสำหรับ "ไมโทคอนเดรีย" ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาดจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกายเรา มีหน้าที่สร้างพลังงานหล่อเลี้ยงให้เซลล์มีชีวิตอยู่ได้ เมื่อไมโทคอนเดรียในเซลล์ต่างๆ โดยเฉพาะเซลล์ลำไส้และเซลล์ไต ได้รับการบำรุงจนกลับมาแข็งแรงและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มันจึงส่งผลในการปกป้องไตโดยรวม ลดการอักเสบ และชะลอความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นี่คือภาพที่ชัดเจนของ "แกนเชื่อมโยงลำไส้-ไต" (Gut-Kidney Axis) ที่สุขภาพที่ดีของลำไส้สามารถส่งต่อพลังแห่งการปกป้องไปถึงไตได้อย่างไม่น่าเชื่อ
การค้นพบนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความก้าวหน้าทางวิชาการเท่านั้น แต่มันได้มอบความหวังที่เป็นรูปธรรมให้กับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังทั่วโลก มันได้เปิดประตูสู่แนวทางการรักษาใหม่ที่ไม่ต้องรอให้ไตเสื่อมแล้วค่อยรักษา
แต่เป็นการป้องกันและชะลอความเสื่อมตั้งแต่ต้นทางด้วยการดูแลสุขภาพของลำไส้ ทีมวิจัยกำลังวางแผนที่จะทำการศึกษาในระยะต่อไปที่ใหญ่ขึ้นเพื่อยืนยันผลลัพธ์เหล่านี้ และค้นหาสารบ่งชี้ที่จะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกผู้ป่วยที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรักษานี้ได้ เพื่อก้าวไปสู่ยุคของการรักษาแบบจำเพาะบุคคลอย่างแท้จริงครับ
แหล่งอ้างอิง:
1. Tohoku University. (2025, August 29). Clinical trial shows constipation drug can treat patients with chronic kidney disease. Medical Xpress. Retrieved from
https://medicalxpress.com/news/2025-08-clinical-trial-constipation-drug-patients.html
2. Watanabe, S., et al. (2025). Lubiprostone in Chronic Kidney Disease: Insights into Mitochondrial Function and Polyamines from a Randomized Phase 2 Clinical Trial. Science Advances. DOI: 10.1126/sciadv.adw3934
การแพทย์
สุขภาพ
เภสัชกรรม
1 บันทึก
10
4
4
1
10
4
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย