27 ก.ย. เวลา 02:10 • ไลฟ์สไตล์

ไขรหัสกองทุนรวม เลือกอย่างไรให้เหมาะกับเรา

กองทุนรวมคือช่องทางการลงทุนที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนฝากเงินไว้กับผู้จัดการกองทุน เพื่อให้มืออาชีพนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หรือตลาดต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับนโยบายของกองทุนนั้น ๆ
การเลือกลงทุนในกองทุนรวมจึงไม่ใช่เพียงการมองที่ชื่อกองทุนเท่านั้น แต่ควรศึกษาให้ลึกถึงระดับนโยบายการลงทุน (Investment Policy) และโครงสร้างของกองทุน เช่น กองทุนที่เป็น Feeder Fund ซึ่งนำเงินไปลงทุนในกองทุนแม่ต่างประเทศ หรือกองทุนที่ลงทุนโดยตรงในสินทรัพย์ รวมถึงต้องพิจารณาสัดส่วนการลงทุน ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ผลการดำเนินงานย้อนหลัง และเปรียบเทียบกับดัชนีอ้างอิง เพื่อประเมินว่ากองทุนทำผลงานได้ดีกว่าหรือต่ำกว่าตลาด
ในเชิงกลยุทธ์ กองทุนรวมแบ่งออกเป็นสองแนวทางหลักคือ Active Fund และ Passive Fund
กองทุนแบบ Active อาศัยผู้จัดการกองทุนในการคัดเลือกและบริหารพอร์ตเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาด แต่ก็มาพร้อมกับค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า ในขณะที่กองทุนแบบ Passive ลงทุนตามดัชนีหรือ ETF โดยไม่เน้นการเลือกหุ้นรายตัว ทำให้มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าและในระยะยาวมักได้เปรียบด้านต้นทุน จึงสร้างผลตอบแทนได้ใกล้เคียงหรือบางครั้งเหนือกว่า Active Fund
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามหลักการของการทำกำไรจะต้อง “ซื้อของถูก เพื่อขายแพง” การลงทุนแบบ Passive ที่กระจายซื้อหุ้นทั้งดัชนีก็ดูจะย้อนแย้งกับหลักดังกล่าว เพราะเมื่อเรากว้านซื้อทั้งดัชนี หุ้นส่วนใหญ่ที่เราได้มานั้นจะเป็นหุ้นที่มี Market cap. อยู่ในระดับสูง หรือก็คืออยู่ในช่วงที่ราคาอยู่ในโซนแพงนั่นเอง ดังนั้น การเลือก Active หรือ Passive จึงต้องพิจารณาตามความเชื่อมั่นและความถนัดของนักลงทุน ไม่ใช่เพียงตามสถิติอย่างเดียว
นอกจากการเลือกลักษณะการลงทุนแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือ การเลือกชนิดของกองทุนรวม ที่นักลงทุนมักจะเจอรหัสต่อท้ายชื่อกองทุนอย่างเช่น -A, -D หรือ -R ซึ่งแม้ว่ากองทุนเหล่านี้จะลงทุนในสินทรัพย์เดียวกัน แต่สิ่งที่ต่างกันจริง ๆ คือ “วิธีการส่งผลตอบแทนกลับคืนให้ผู้ถือหน่วยลงทุน” ซึ่งจะส่งผลต่อกระแสเงินสดที่ได้รับ ภาษีที่ต้องจ่าย และต้นทุนค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง การทำความเข้าใจเรื่องนี้อย่างถ่องแท้จึงเป็นก้าวสำคัญในการเลือกกองทุน
  • ​กองทุนรวมชนิด -A ( Accumulation )
กองทุนชนิดนี้เป็นแบบสะสมมูลค่า ผลกำไรทั้งหมดที่กองทุนทำได้จะถูกเก็บสะสมไว้และนำไปลงทุนต่อ ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนค่อย ๆ เพิ่มขึ้น นักลงทุนจะไม่ได้เงินสดระหว่างทาง แต่จะได้รับผลตอบแทนก็ต่อเมื่อขายคืนหน่วยลงทุน จุดเด่นคือเหมาะสำหรับผู้ที่ลงทุนระยะยาวและไม่ต้องการใช้เงินสดเป็นรายได้ทันที ผลตอบแทนจะถูกปล่อยให้โตเต็มศักยภาพในกองทุน
  • ​กองทุนรวมชนิด -D ( Dividened )
กองทุนแบบจ่ายปันผล นักลงทุนจะได้รับเงินสดเป็นระยะตามที่กองทุนกำหนด เงินที่โอนเข้ามาจะถือเป็นเงินปันผลซึ่งถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% โดยอัตโนมัติ ทำให้ผู้ถือหน่วยมีภาระภาษีแน่นอนตั้งแต่แรก ข้อดีคือทำให้นักลงทุนรู้สึกได้จับเงินสดจริงระหว่างปี เหมาะกับผู้ที่ต้องการรายได้เสริมจากการลงทุน แต่ผลเสียคือราคา NAV จะลดลงตามเงินที่จ่ายปันผลออกมา และยังมีต้นทุนการจัดการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากกระบวนการจ่ายปันผล ซึ่งสะท้อนอยู่ในค่าใช้จ่ายของกองทุน
  • ​กองทุนรวมชนิด -R ( Auto Redemtion )
กองทุนชนิดนี้เเป็นแบบขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ กลไกคือกองทุนจะตัดหน่วยลงทุนของผู้ถือออกไปตามสัดส่วนและโอนเงินสดกลับมาให้ วิธีนี้ทำให้ NAV ต่อหน่วยยังสะท้อนมูลค่าจริงเช่นเดิม ต่างเพียงว่าจำนวนหน่วยลงทุนของผู้ถือค่อย ๆ ลดลงเรื่อยๆ จุดสำคัญคือเงินที่ได้รับไม่ถือว่าเป็นปันผล แต่เป็นเงินจากการขายคืนหน่วย นักลงทุนจึงไม่ต้องเสียภาษี ส่งผลให้แบบ -R มีความยืดหยุ่นด้านภาษีเหนือกว่าแบบ -D และในเชิงค่าธรรมเนียมยังไม่มีต้นทุนพิเศษเพิ่มเติม เพราะใช้กระบวนการขายคืนหน่วยซึ่งเป็นระบบปกติของกองทุน
ฉะนั้นแล้วการเลือกชนิดกองทุนให้เหมาะสมควรพิจารณาตามช่วงวัยของนักลงทุน วัยเริ่มทำงานและวัยกลางคนตอนต้นเหมาะกับกองทุนชนิด -A เพราะช่วยสะสมมูลค่าให้เงินงอกเงยเต็มศักยภาพ เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนจนถึงใกล้เกษียณที่ต้องการกระแสเงินสดเพื่อการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจึงสลับเป็นกองทุนชนิด -R จะตอบโจทย์มากกว่าเพราะให้เงินสดกลับมาเป็นงวด ๆ ในรูปการขายคืนหน่วยอัตโนมัติและยังบริหารภาษีได้ยืดหยุ่นกว่า
ส่วนผู้ที่เข้าสู่วัยเกษียณควรเลือกกองทุนชนิด -D ที่จ่ายปันผลเป็นเงินสดโดยตรง แม้ถูกหักภาษีทันที แต่ให้ความสบายใจด้วยการมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอโดยที่จำนวนหน่วยลงทุนไม่ลดลง เพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงและมีเงินใช้อย่างต่อเนื่อง
โฆษณา