4 ก.ย. เวลา 05:55 • ธุรกิจ

🧠 “คิดแบบเถ้าแก่” = ปรัชญา ‘เลือก-เลี้ยง-ใช้’ คน ที่ HR ยุคใหม่ต้องเรียนรู้

(ทำไมการดูแลพนักงานเหมือน “คนในบ้าน” ไม่ใช่ “ทรัพยากร” ถึงกลายเป็นความได้เปรียบเชิงวัฒนธรรมที่องค์กรยุคใหม่ตามหากันทั้งโลก)
====
💥 คำถามที่ใหญ่กว่าแค่เรื่อง “การบริหาร”
ในยุคที่ระบบ HR เต็มไปด้วย AI, Dashboard, KPI, OKR และ HRIS…
คำถามหนึ่งที่หลายองค์กรยังตอบไม่ได้คือ
* ทำไมคนดี ๆ ถึงลาออกเร็วขึ้น?
* ทำไมคนเก่งถึงหมดไฟเร็วกว่าเดิม?
บางทีคำตอบอาจไม่ได้อยู่ในทฤษฎีล่าสุดจาก Silicon Valley แต่อยู่ในวิธีคิดดั้งเดิมแบบ “เถ้าแก่” ที่เคยทำธุรกิจโดยใช้หัวใจ…ไม่ใช่แค่ Excel
เถ้าแก่ไม่รู้จักคำว่า Reskilling, Retention Rate หรือ Employee Engagement Score แต่พวกเขาเข้าใจมนุษย์ ผ่านหลักคิดที่ไม่ซับซ้อนแต่ลึกซึ้ง
“ถ้าคุณดูแลคนของคุณให้ดี...คนของคุณจะดูแลธุรกิจให้เอง” และนั่นไม่ใช่คำพูดลอย ๆ แต่มันคือหัวใจของวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืนที่สุด
====
👨‍🏭 “ผู้จัดการ” vs. “เถ้าแก่” ต่างกันตรงไหน?
* ผู้จัดการมองคนเป็น “ทรัพยากร” ที่ต้องบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนเถ้าแก่มองคนเป็น “มนุษย์” ที่มีอารมณ์ ความคิด และศักยภาพเฉพาะตัว
* ผู้จัดการจะจัดวางคนตาม “กล่อง” ที่ระบบมีอยู่ เช่น ตำแหน่ง งาน หน้าที่ที่กำหนดไว้ ส่วนเถ้าแก่จะ “สร้างกล่องใหม่” ตามศักยภาพของคน ให้คนได้ทำในสิ่งที่เขาเก่งและรัก
* ผู้จัดการเน้นการประเมินผลตามระบบ เช่น KPI, OKR หรือ Scorecard ขณะที่เถ้าแก่จะใช้การ “สังเกต พูดคุย และเข้าใจ” เพื่ออ่านใจคน และปรับสิ่งแวดล้อมให้คนทำงานได้ดีที่สุด
* ผู้จัดการมักให้คนทำงานตาม “Job Description” ที่ตายตัว แต่เถ้าแก่จะค่อยๆ ปรับบทบาทและภารกิจให้ “ตรงกับจริต” และพลังในตัวคนคนนั้น
“ผู้จัดการ” คือคนที่ทำให้ระบบเดินได้ราบรื่น แต่ “เถ้าแก่” คือคนที่รู้ว่าระบบที่ดีที่สุด ก็ไร้ความหมาย ถ้าคนในระบบหมดใจ
====
📖 การสร้างพนักงานแบบเถ้าแก่เริ่มยังไง?
เถ้าแก่ที่แท้จริง ไม่ได้แค่จ้างคน แต่เขา “สร้างทีมชีวิต” ขึ้นมาจากศูนย์
นี่คือ 5 หลักคิดของเถ้าแก่ ที่ยังใช้ได้จริงในยุค ChatGPT
1. “คัด” คน ไม่ใช่แค่ “รับ” คน
การรับคนไม่ใช่แค่กรอกตำแหน่งว่างในระบบ
แต่คือการคัด “เสาหลัก” ที่จะอยู่กับเราในวันที่ล้ม “ไม่ใช่แค่ในวันที่โต”
* เถ้าแก่เลือกคนจากใจ: เขาดูนิสัย ทัศนคติ ความอดทน ไม่ใช่แค่ปริญญา
* พวกเขาเลือกคนที่ “ไม่ต้องเก่งที่สุด” แต่ “เรียนรู้ได้ไว และไว้ใจได้จริง”
2. “ใช้” คนให้ถูกกับงาน
คนเก่งที่วางผิดที่ = เสียของ
แต่คนธรรมดาที่วางถูกที่ = แปลงร่างได้อย่างเหลือเชื่อ
* เถ้าแก่ไม่ยัดคนลงกล่อง แต่ปรับกล่องตามศักยภาพของคน
* เขารู้ว่า “คนพูดเก่ง” ไม่ต้องเอาไปนั่งหลังบ้าน และ “คนทำงานละเอียด” ไม่ควรเอาไปวิ่งเซลส์
3. “ปลุก” พลังด้วยงานที่ใช่
ทุกคนมีพลังซ่อนอยู่ ถ้าถูกจุดติดด้วยงานที่เขาอินและอินเนอร์
* เถ้าแก่เข้าใจว่า “บางคนไม่เก่งตอนเริ่มต้น” แต่จะเก่งเมื่อได้ลองทำในสิ่งที่ใช่
* การให้โอกาสลองหลายบทบาทก่อน fix position คือเคล็ดลับของการเจอ “ของจริง” ในตัวคน
4. “ให้” ค่าตอบแทนอย่างสมศักดิ์ศรี
ไม่ใช่แค่เรื่อง “เงินเดือน” แต่คือการให้ “เกียรติ-โอกาส-การยอมรับ”
* เถ้าแก่ไม่ขี้เหนียวกับคนที่ทุ่มสุดใจ
* เขารู้ว่าโบนัสหลักหมื่นอาจไม่เท่ากับคำว่า “พี่อยู่ด้วยแล้วผมมั่นใจ”
5. “เลี้ยง” คนในบ้าน เพื่อให้เขาไปดูแลคนนอกบ้าน
คนที่ได้รับการดูแล = คนที่อยากส่งต่อพลังงานบวก
* ลูกค้าที่ดีที่สุดมักมาจากพนักงานที่แฮปปี้ที่สุด
* วัฒนธรรมแบบ “ครอบครัว” ไม่ใช่การตามใจ แต่คือการไม่ทอดทิ้งกันตอนลำบาก
แนวคิดนี้สะท้อนใน Service-Profit Chain ของ Harvard Business School เช่นกัน “พนักงานที่มีความสุข → ลูกค้ามีความสุข → ธุรกิจมีกำไรอย่างยั่งยืน”
====
✨ ภูมิปัญญาเก่า ที่กลายเป็นข้อได้เปรียบใหม่
ในโลกที่ทุกคนมีระบบเหมือนกันหมด สิ่งที่จะต่างคือ “วิธีที่เราดูแลคน” แนวคิดแบบ “คิดแบบเถ้าแก่” จึงไม่ใช่ความเชย แต่คือความล้ำลึก
* มันคือการมองคนเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่กลไกขององค์กร
* มันคือการปลูกทีมให้โต ไม่ใช่แค่จ้างมาทำงาน
* มันคือการสื่อสารว่า “เรารู้ว่าเธอมีคุณค่า” — แม้ไม่มีตัวเลขพิสูจน์
เพราะสุดท้าย การแข่งขันที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ใครมีเทคโนโลยีดีกว่า
แต่คือใคร "เลี้ยงคนเป็น" มากกว่ากัน
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#เถ้าแก่ไม่ใช่แค่เจ้าของกิจการ
#Leadership
#TalentManagement
#ภาวะผู้นำ
#วัฒนธรรมองค์กร
#คนคือทุกอย่าง
โฆษณา