Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
กุ้ยหลิน
•
ติดตาม
4 ก.ย. เวลา 09:45 • ประวัติศาสตร์
ความฝันในหอแดง 24 สองมรณกรรม
ทางด้านเจี่ยยุ่ยอยากหายป่วยใจจะขาด มียาอะไรก็กิน เพียงแต่เปลืองเงินเปล่าไม่เห็นผล วันหนึ่งมีนักพรตขาเป๋มาเที่ยวบิณฑบาต ปากบอกว่าสามารถรักษาโรคจากบาปกรรม เจี่ยยุ่ยนอนอยู่ในบ้านได้ยิน จึงตะโกนบอกบ่าวว่า
“รีบไปเชิญพระโพธิสัตว์ท่านนั้นมาช่วยข้า”
แล้วก็เอาแต่โขกศีรษะกับหมอน
บ่าวเชิญนักพรตเข้ามา เจี่ยยุ่ยคว้ามือไว้ละล่ำละลักว่า
“พระโพธิสัตว์ โปรดช่วยข้าด้วย”
นักพรตถอนหายใจว่า “โรคของท่านใช้เพียงยารักษาไม่หาย ข้ามีของวิเศษขอมอบให้ ท่านเฝ้ามองดูทุกวัน จึงอาจรักษาชีวิตไว้ได้”
กล่าวจบ หยิบของออกจากย่ามมาส่งให้ เป็นกระจกเงาสองหน้าส่องได้ทั้งหน้าหลัง ด้านบนสลักอักษรสี่ตัวว่า
“คันฉ่องวิเศษเสน่หา 风月宝鉴”
แล้วบอกเจี่ยยุ่ยว่า
“ของสิ่งนี้ได้มาจากตำหนักคงหลิง 空灵殿 แดนมายาสุญญตา ประดิษฐ์โดยพระแม่เตือนสติ (จิ่งห้วน 警幻) ใช้รักษาความคิดและการกระทำที่ชั่วร้ายโดยเฉพาะ มีสรรพคุณถนอมรักษาชีวิตบนโลก ข้าจึงได้นำมายังมนุษยโลกเพื่อให้ผู้มีสติปัญญา ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ได้ส่องดู ห้ามส่องมองด้านหน้าโดยเด็ดขาด ส่องได้เฉพาะด้านหลังเป็นสำคัญ สามวันให้หลัง ข้าจะมารับกลับ ถึงตอนนั้นโรคของท่านคงหายแล้ว”
กล่าวจบ ก็โขยกเขยกจากไป ไม่ว่าใครก็รั้งไว้ไม่อยู่
เจี่ยยุ่ยรับกระจกมาแล้วตรองว่า “คำของนักพรตผู้นี้น่าคิดนัก ไยข้าไม่ลองส่องดู”
แล้วหยิบกระจกมาส่องด้วยด้านหลัง มองเห็นโครงกระดูกยืนอยู่ด้านใน เจี่ยยุ่ยรีบปิดภาพ แล้วด่านักพรตว่า
“เหลวไหล ทำเอาข้าตกใจ ขอดูว่าด้านหน้าเป็นอย่างไร”
เจี่ยยุ่ยส่องด้วยด้านหน้า เห็นพี่เฟิ่งยืนกวักมือเรียกอยู่ด้านใน เจี่ยยุ่ยดีใจยิ่งนัก ลอยละล่องเข้าไปในกระจก ร่วมสวาทกับพี่เฟิ่งรอบหนึ่ง เสร็จแล้วพี่เฟิ่งยังมาส่งออกจากกระจก พอนั่งลงบนเตียง ต้องร้องว่า “ไอ้หยา” ลืมตาโพลงส่องกระจกด้วยด้านหลังอีกครั้ง ยังคงเห็นโครงกระดูกอยู่ในนั้น เจี่ยยุ่ยเหงื่อกาฬท่วมตัว ด้านล่างน้ำอสุจิไหลนอง
เจี่ยยุ่ยยังไม่หนำใจ พลิกกระจกส่องด้วยด้านหน้า เห็นพี่เฟิ่งกวักมือเรียกอีก เจี่ยยุ่ยเข้าไปอีก เป็นเช่นนี้สามสี่รอบ จนรอบสุดท้าย ขณะกำลังจะออกมาจากกระจก มีคนสองคนเข้ามาเอาโซ่เหล็กล่ามตนไว้แล้วลากตัวไป
1
เจี่ยยุ่ยตะโกนว่า “ให้ข้าเอากระจกไปด้วย”
กล่าวได้เพียงนั้น ก็ไม่อาจพูดอะไรอีก
ภาพที่บ่าวรับใช้เห็นคือ เจี่ยยุ่ยหยิบกระจกขึ้นมาส่อง ทำตกลง ลืมตาหยิบขึ้นมาใหม่ ตอนส่องกระจกครั้งสุดท้าย ทำหล่นแล้วไม่ขยับตัวอีก บ่าวพากันมาดู ก็สิ้นลมแล้ว ร่างท่อนล่างเย็นเฉียบชุ่มโชกน้ำอสุจิกองใหญ่ จึงจัดการผัดเสื้อผ้าแล้วย้ายร่างมาจากเตียง
ไต้หยูสามีภรรยาร้องไห้คร่ำครวญปิ่มขาดใจ ด่านักพรตยกใหญ่ว่าเป็น “นักพรตปีศาจ” แล้วสั่งให้นำกระจกไปเผาทิ้งเสีย พลันมีเสียงร้องไห้จากในกระจกว่า
“ใครให้เขาส่องกระจกหน้าตรงเล่า พวกเจ้าเห็นผิดเป็นชอบเอง เหตุใดจึงมาเผาข้า”
นักพรตขาเป๋ถลันเข้าห้องมาร้องบอกว่า
“ใครบังอาจเผา “คันฉ่องเสน่หา 风月鉴” ข้ามาช่วยแล้ว”
เอื้อมมือคว้าคันฉ่องแล้วลอยหายไป
ไต้หยูได้แต่จัดงานศพ แจ้งไปยังเหล่าญาติมิตร วันที่สามเริ่มสวดศพ วันที่เจ็ดเคลื่อนโลงศพไปยังวัดลูกกรงเหล็ก 铁槛寺 (วัดเถี่ยเจี้ยน) เหล่าญาติสกุลเจี่ยมอบเงินช่วยงาน จากจวนหยง เจี่ยเส้อยี่สิบตำลึง เจี่ยเจิ้งยี่สิบตำลึง จากจวนหนิง เจี่ยเจินยี่สิบตำลึง ญาติผู้อื่นช่วยมา หนึ่งตำลึงบ้าง สองสามสี่ตำลึงบ้างตามแต่ฐานะ ครอบครัวไต้หยูแม้อัตคัด ได้เงินนี้ช่วยเหลือ ก็จัดพิธีศพได้ไม่ขายหน้า
一步行来错,回头已百年。
古今风月鉴,多少泣黄泉!
ก้าวเดียวที่ผิดพลั้ง
กลับหลังหันดังร้อยปี
คันฉ่องเสน่ห์นานมี
ล้วนโศกีสู่เมืองยม
ย่างเข้าสู่ปลายฤดูหนาวสิ้นปี หลินหยูไห่ 林如海 ล้มป่วยอาการหนัก เขียนหนังสือมาแจ้งให้ไต้วี่ 黛玉 กลับไปเยี่ยม แม่เฒ่าเจี่ยทราบข่าวรู้สึกใจหาย บอกให้ไต้วี่เตรียมตัวเดินทาง เป่าวี่แม้ไม่สบายใจ แต่ไม่อาจค้านความสัมพันธ์พ่อลูก จึงมิอาจเหนี่ยวรั้ง แม่เฒ่าเจี่ยให้เจี่ยเหลียน 贾琏 ไปส่งและรอรับตัวกลับ เลือกวันเดินทางแล้วพากันขึ้นเรือมุ่งหน้าหยางโจว 扬州
(จบบทที่สิบสอง)
กล่าวถึงพี่เฟิ่ง นับแต่เจี่ยเหลียงเดินทางไปส่งไต้วี่ที่หยางโจว ก็รู้สึกหดหู่ใจ ตกเย็นนั่งคุยเล่นกับผิงเอ๋อสักพักก็เข้านอน วันนี้ก็เช่นกัน ตกเย็นนั่งผิงเตาใต้โคมกับผิงเอ๋อ สั่งให้อบผ้าห่มให้อุ่น แล้วทั้งคู่ก็เข้านอน พี่เฟิ่งไม่หลับนั่งนับนิ้วคำนวณวันเดินทางว่าป่านนี้เจี่ยเหลียนควรจะไปถึงไหนแล้ว ไม่ทันรู้ตัว เสียงกลองย่ำยามสาม ผิงเอ๋อหลับสนิทไปแล้ว
พี่เฟิ่งเริ่มรู้สึกเปลือกตาหนัก พลันเห็นนางฉินสื้อ 秦氏 เดินเข้ามาจากข้างนอก ยิ้มว่า
“อาสะใภ้หลับสบายไหม วันนี้ข้ากลับไป ท่านไม่ต้องไปส่ง พวกเราสนิทกันมาก ข้าไม่อยากจากท่านไปไหน จึงตั้งใจมาบอกลา ยังมีเรื่องคาใจอีกเรื่อง ต้องบอกให้ท่านอารู้ จะบอกคนอื่นก็ไม่ได้”
พี่เฟิ่งถามว่า “เจ้ามีเรื่องอันใด ขอเพียงบอกข้ามา”
นางฉินสื้อว่า “อาสะใภ้ ท่านนับเป็นผู้กล้าในหมู่สตรี แม้เหล่าบุรุษผู้ทรงเกียรติยังมิอาจเทียบ เหตุใดจึงไม่รู้คำพังเพยที่ว่า
月满则亏 水满则溢
จันทร์เต็มดวงย่อมเว้าแหว่ง
น้ำเต็มแหล่งย่อมเอ่อล้น
ยังมีอีกว่า
登高必跌重 ขึ้นสูงย่อมล้มดัง
บ้านของเรารุ่งเรืองมาร่วมร้อยปี หากวันหนึ่งสุขเหลือหลายพลันกลายทุกข์ ดังคำกล่าวที่ว่า
树倒猢狲散 ไม้ล้มฝูงลิงแยกย้าย
มิเหลือเพียงชื่อเสียงตระกูลเก่าแก่ลมๆ แล้งๆ ไปหรอกหรือ”
พี่เฟิ่งฟังแล้วไม่สบายใจ ทั้งยังเลื่อมใสถามว่า “คำกล่าวนี้ไตร่ตรองมาดียิ่งนัก แต่มีวิธีใดจักรักษาไว้ให้ยั่งยืนสืบไปเล่า”
ฉินสื้อยิ้มหยันว่า “ท่านอาไยเขลานัก
否极泰来 ที่สุดแห่งเคราะห์ร้ายกลายเป็นโชค
รุ่งเรืองร่วงโรยหมุนเวียนเป็นวัฏจักรแต่โบราณมา ปุถุชนฤๅอาจจะขัดขืน
ทว่าในยามรุ่งเรืองได้วางแผนไว้สำหรับยามร่วงโรย ก็อาจผ่อนหนักเป็นเบาหรือรักษาเอาไว้ได้
ทุกวันนี้ ทุกอย่างมีเพียบพร้อม เว้นอยู่สองประการ หากจัดการดังว่านี้ วันหน้าย่อมไร้เภทภัย”
พี่เฟิ่งถามว่า “เรื่องอันใด”
ฉินสื้อว่า “ปัจจุบันนี้ แม้เซ่นไหว้ศาลบรรพชน 祖茔 ทั้งสี่ฤดู แต่ไม่มีแหล่งรายได้ที่แน่นอนมาใช้จ่าย ข้อสอง โรงเรียนของครอบครัว ไม่มีแหล่งเงินทุนสงเคราะห์ที่แน่นอน หากถึงยามตกอับ สองข้อนี้จะมีทางออกอย่างไร
ตามความเห็นของข้า ในยามมั่งมีอยู่นี้ ควรกัลปนาที่ทางใกล้กับศาลบรรพชน ทำไร่นา สร้างโรงเรือนคฤหาสน์ สำหรับหารายได้ โรงเรียนของครอบครัวก็ตั้งไว้แถวนี้ ให้คนในตระกูลทั้งเด็กผู้ใหญ่มากำหนดกฎระเบียบของโรงเรียน รายได้จากไร่นาแต่ละปีก็จัดสรรไปใช้เซ่นไหว้บรรพชนหรือใช้ในโรงเรียน หมุนเวียนเช่นนี้ ไม่ต้องแก่งแย่ง ที่ทางไม่ให้จำนองหรือซื้อขาย ในกรณีมีผู้กระทำความผิดในตำแหน่งหน้าที่ ทรัพย์ถูกยึดเข้าหลวง ที่ทางสำหรับเซ่นไหว้นี้จะไม่ถูกยึด
ถึงคราวตกอับ ลูกหลานกลับบ้านยังมีที่เล่าเรียน หรือทำไร่นาหาเลี้ยงชีพสำรองไว้ การเซ่นไหว้บรรพชนก็ยังคงทำได้ต่อเนื่อง หากแม้นหลงผิดว่าความมั่งคั่งรุ่งเรืองทุกวันนี้จักคงอยู่ตลอดไป ไม่คิดถึงวันข้างหน้า หาใช่แผนที่ดีไม่
อีกไม่กี่วันจะมีเรื่องน่ายินดีเป็นพิเศษ เหมือนราดน้ำมันใส่กองไฟให้ลุกโพลง โปรยดอกไม้สดบนผืนแพรปัก แต่ควรรู้ว่าเป็นความงามเพียงชั่วขณะ น่าอภิรมย์เพียงชั่วครั้ง อย่าลืมว่า 盛筵必散 งานเลี้ยงย่อมต้องเลิกรา หากไม่เผื่อเหลือไว้ เสียใจภายหลังไม่มีประโยชน์”
พี่เฟิ่งรีบถามว่า “เรื่องอันใดน่ายินดี”
ฉินสื้อว่า “ความลับของฟ้า มิอาจแพร่งพราย แต่ข้ากับท่านอาสนิทกัน จึงมาบอกให้รู้ก่อนอำลา ท่านควรจดจำไว้”
แล้วท่องว่า
三春去后诸芳尽,各自须寻各自门。
สามชุนอำลา มวลบุปผา มาลาร้าง
ต่างคนต่างขวนขวายปลายทางแห่งตน
พี่เฟิ่งอยากจะถามต่อให้รู้เรื่อง กลับได้ยินเสียงกังสดาลเมฆา 云板 สี่ครั้งจากประตูสองแจ้งข่าวร้าย
(ในบ้านขุนนางใหญ่ มักแขวนกังสดาลเมฆา 云板 เป็นแผ่นโลหะรูปเมฆไว้ที่ประตูที่สอง ตีสามทีแจ้งข่าวดี ตีสี่ทีแจ้งข่าวร้าย)
พี่เฟิ่งสะดุ้งตื่น มีคนเข้ามาแจ้งว่า
“คุณนายใหญ่หยง (ฉินสื้อ) จวนตะวันออก สิ้นแล้ว”
พี่เฟิ่งตกใจเหงื่อไหลเย็นเฉียบทั่วร่าง พอตั้งสติได้ รีบผัดเสื้อผ้าแล้วมาหาหวางฮูหยิน
ถึงตอนนี้ทั่วทั้งบ้านต่างรู้ข่าวแล้ว ต่างพากันมึนงงและเศร้าเสียใจ รุ่นอาวุโสคิดถึงนางปกติกตัญญูรู้คุณ รุ่นเดียวกันคิดถึงนางปกติสงบเสงี่ยมน่าคบหา รุ่นเยาว์คิดถึงนางปกติมีเมตตากรุณา บ่าวไพร่ในบ้านทั้งใหญ่น้อยคิดถึงนางปกติเห็นใจคนยากด้อยโอกาส รักใคร่ผู้ชรากรุณาผู้น้อย ต่างพากันสะอึกสะอื้นร่ำไห้
ทางด้านเป่าวี่ นับแต่ไต้วี่กลับบ้านไป เหลือตนอยู่โดยลำพังเงียบเหงา ไม่อยากเล่นหัวกับใคร ตกเย็นก็รีบเข้านอน บัดนี้หลับฝันอยู่พลันได้ยินว่าฉินสื้อตายแล้ว รีบพลิกตัวลุกขึ้นรู้สึกเหมือนมีมีดแทงเข้ากลางใจร้องโอยออกมาโดยไม่รู้ตัว แล้วพ่นเลือดออกมาจากปาก พวกสีเหยินรีบเข้ามาพยุงถามว่า
“เป็นอย่างไรบ้าง”
แล้วจะรีบไปแจ้งแม่เฒ่าเจี่ยให้เชิญหมอมาตรวจอาการ
เป่าวี่ว่า “ไม่ต้องไป ไม่เป็นไร ข้าแค่ร้อนใจ เลือดจึงไม่ไหลเข้าระบบ”
แล้วรีบลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปหาแม่เฒ่าเจี่ยเพื่อว่าจะข้ามไปอีกจวน
สีเหยินแม้จะไม่วางใจ แต่ไม่กล้าเหนี่ยวรั้งจำต้องแล้วแต่เป่าวี่ แม่เฒ่าเจี่ยเห็นเป่าวี่ว่าจะข้ามไปจึงว่า
“คนเพิ่งสิ้นลม ฝั่งนั้นยังแปดเปื้อน ฟ้ายังมืดอยู่ ลมก็แรง รอพรุ่งนี้เช้าค่อยไปยังไม่สาย”
เป่าวี่ไม่ยอม ยืนกรานว่าจะไป แม่เฒ่าเจี่ยจึงจำต้องให้เตรียมรถและจัดคนติดตามไปด้วย
พอมาถึงจวนหนิง เห็นประตูใหญ่เปิดอยู่ แสงโคมสองข้างสว่างไสวดุจกลางวัน ผู้คนมากันคับคั่ง ด้านในเสียงร่ำไห้ระงมผาสะท้านไหว เป่าวี่ลงจากรถแล้วรีบตรงไปยังห้องตั้งศพ ร้องไห้ยกใหญ่ แล้วจึงมาหานางอิ๋วสื้อ 尤氏 ปรากฏว่านางอิ๋วสื้อโรคกระเพาะอันเป็นโรคเก่ากำเริบ นอนป่วยอยู่บนเตียง จากนั้นก็ออกมาเยี่ยมคารวะเจี่ยเจิน 贾珍
ณ ขณะนี้พวก เจี่ยไต้หยู 贾代儒 ไต้ซิว 代修 เจี่ยชื่อ 贾敕 เจี่ยเสี้ยว 贾效 เจี่ยตุน 贾敦 เจี่ยเส้อ 贾赦 เจี่ยเจิ้ง 贾政 เจี่ยฉง 贾琮 เจี่ยเหิง 贾珩 เจี่ยกวง 贾珖 เจี่ยเชิน 贾琛 เจี่ยฉยง 贾琼 เจี่ยหลิน 贾璘 เจี่ยเฉียง 贾蔷 เจี่ยชาง 贾菖 เจี่ยหลิง 贾菱 เจี่ยหยุน 贾芸 เจี่ยฉิน 贾芹 เจี่ยเจิน 贾蓁 เจี่ยผิง 贾萍 เจี่ยเจ่า 贾藻 เจี่ยเหิง 贾蘅 เจี่ยเฟิน 贾芬 เจี่ยฟาง 贾芳 เจี่ยหลาน 贾蓝 เจี่ยจวิน 贾菌 เจี่ยจือ 贾芝 ต่างมาพร้อมหน้า
เจี่ยเจินร้องไห้ดังคนเจ้าน้ำตากล่าวกับพวกเจี่ยไต้หยูว่า
“บรรดาญาติมิตรผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งใกล้ไกล ต่างรู้ดีว่าข้ารักสะใภ้ผู้นี้ยิ่งกว่าลูกหลาน บัดนี้มาลาโลก 伸腿 ไปเช่นนี้ เห็นได้ว่าสาแหรกของตระกูลสายพี่นี้ไร้ผู้สืบสกุลแล้ว”
กล่าวจบก็ร่ำไห้ บรรดาญาติมิตรพากันปลอบว่า
“คนจากไปแล้ว ร้องไห้ไปไร้ประโยชน์ ควรหารือกันว่าจะจัดการอย่างไรต่อไป”
เจี่ยเจินตบมือว่า “จะทำอย่างไร ที่ข้าต้องทำไม่มีแล้ว”
ฉินปังเย่ 秦邦业 ฉินจง 秦钟 ญาติทางฝ่ายนางอิ๋วสื้อ รวมทั้งน้องสาวนางอิ๋วสื้อมาถึง เจี่ยเจินจึงให้ เจี่ยฉยง เจี่ยฉง เจี่ยกวง เจี่ยเฉียงทั้งสี่ออกไปรับแขก
เจี่ยเจินให้คนไปเรียนถามท่านชินเทียนเจียนยินหยางซือ 钦天监阴阳司 โหราจารย์ประจำราชสำนักขอฤกษ์ประกอบพิธี ท่านโหราจารย์กำหนดให้ตั้งศพเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน สามวันให้หลังเขียนคำไว้อาลัย
ระหว่างสี่สิบเก้าวันนี้ ให้เชิญพระสงฆ์หนึ่งร้อยแปดรูปสวดมนตร์ “มหากรุณาขมากรรม 大悲忏(ต้าเปยฉาน)” ที่ห้องโถงใหญ่ อุทิศส่วนกุศลให้วิญญานที่ล่วงลับทั้งก่อนและหลัง
ให้ตั้งแท่นพิธีอีกแห่งที่หอเทียนเซียง 天香楼 เชิญนักพรตเฉวียนเจิน 全真道士 เก้าสิบเก้ารูปมาประกอบพิธีล้างบาป 解冤洗业醮 เป็นเวลาสิบเก้าวัน
ท้ายสุด ตั้งป้ายสถิตวิญญาณที่สวนบุปผาชุมนุม 会芳园 (หุ้ยฟางหยวน) ด้านหน้าตั้งแท่นพิธีตรงข้ามกันสองแท่น แท่นสำหรับพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ห้าสิบรูป และแท่นสำหรับนักพรตชั้นผู้ใหญ่ห้าสิบรูป ประกอบพิธีทำบุญกุศลทุกเจ็ดวันรวมเจ็ดหน
ทางด้านเจี่ยจิ้ง 贾敬 รู้ข่าวว่าหลานสะใภ้คนโตเสียชีวิต แต่ตนเองปฏิบัติธรรมจนใกล้หลุดพ้นในเร็ววัน จึงไม่คิดจะกลับมาแปดเปื้อนทางโลกอีก จึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้ สุดแต่เจี่ยเจินจะจัดการ
ตอนก่อนหน้า : เล่นงานเจี่ยยุ่ย
https://www.blockdit.com/posts/68b5645e210b1dad5f08e572
ตอนถัดไป : งานพิธีศพของคุณหญิงราชองครักษ์
1 บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ความฝันในหอแดง
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย