8 ก.ย. เวลา 09:18 • ประวัติศาสตร์

ความฝันในหอแดง 25 งานพิธีศพของคุณหญิงราชองครักษ์

เจี่ยเจินปกติแล้วเป็นคนฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ มาดูไม้กระดานที่ใช้ทำโลงศพ ไม้สนไม่รู้กี่ชุดล้วนไม่ถูกใจ ให้เผอิญเซวียผาน 薛蟠 มาร่วมไว้ทุกข์ เห็นเจี่ยเจินเสาะหาไม้ดี จึงเสนอว่า
“ที่ร้านค้าไม้ของเรามีไม้อย่างดี เป็นไม้ขึ้นที่เขาแหเหล็ก 铁网山 (เถี่ยหว่างซาน) ใช้ทำโลงศพ หมื่นปีก็ยังคงสภาพดี คราวนั้นท่านพ่อผู้ล่วงลับเสาะหามาสำหรับองค์ชายจงอี้ชินอ๋อง 忠义亲王 แต่เนื่องจากทรงกระทำความผิด จึงไม่ได้ใช้งาน ไม้นี้ยังอยู่ที่ร้าน ด้วยว่าราคาสูงจนไม่มีใครกล้าซื้อ หากท่านต้องการ ข้าจะยกมาให้ชม”
เจี่ยเจินถูกใจนัก ให้นำมาดู ไม้นี้หน้าตัดกว้างด้านละแปดนิ้วเสมอกัน ลายไม้ดังต้นหมาก 槟榔 กลิ่นหอมดังไม้จันทน์หรือชะมด ใช้มือเคาะเสียงใสดังหยก ใครเห็นต่างว่าแปลก เจี่ยเจินยิ้มถามว่า
“ราคาเท่าไร”
เซวียผานหัวเราะว่า “มีหนึ่งพันตำลึงก็หาซื้อไม่ได้ จะพูดถึงราคาทำไม จ่ายค่าแรงช่างไม่กี่ตำลึงก็พอ”
เจี่ยเจินได้ฟัง กล่าวขอบคุณมิขาดปาก แล้วสั่งให้นำไปเลื่อยแล้วประกอบขึ้นมา
เจี่ยเจิ้ง 贾政 เตือนว่า “ของเช่นนี้สามัญชนมิควรใช้ ใช้เพียงไม้สนเนื้อดีก็พอแล้ว”
แต่เจี่ยเจินไม่ยอมฟัง
พลันมีรายงานมาว่า สาวใช้ของนางฉินสื้อชื่อว่า ยุ่ยจู 瑞珠 เอาศีรษะชนเสาตายตามฉินสื้อไป เรื่องนี้นับว่าหายาก ทั้งตระกูลต่างยกย่องชื่นชม เจี่ยเจินจึงให้จัดพิธีศพเฉกเช่นลูกหลาน และให้ตั้งป้ายวิญญาณไว้ด้วยกันที่ศาลาเติงเซียน 登仙阁 ในสวนบุปผาชุมนุม
ยังมีสาวใช้อีกนางชื่อว่า เป่าจู 宝珠 เห็นว่าฉินสื้อไม่มีบุตรหรือบุตรี จึงสมัครใจเป็นบุตรีบุญธรรม 义女 ตั้งสัตย์ว่าจะทำหน้าที่บุตรีโยนถ้วยลากรถ 摔丧驾灵 ในพิธีศพ เจี่ยเจินย่อมยินดียิ่ง สั่งการว่า ต่อแต่นี้ให้ทุกคนเรียกเป่าจูว่า คุณหนู 小姑娘 เป่าจูจึงนั่งไว้อาลัยหน้าแท่นสถิตวิญญาณในฐานะบุตรีที่ยังไม่ครองเรือนตามพิธี สมาชิกอื่นในครอบครัวก็ปฏิบัติตามพิธีมิผิดพลาด
ทว่า เจี่ยเจินยังไม่พอใจเพียงเท่านั้น มาตรองว่า
“เจี่ยหยงเป็นเพียงนักศึกษาของวิทยาลัยแห่งรัฐ 黉门监生 เวลาเขียนลงบนธงวิญญาณแล้วไม่น่าเลื่อมใส”
ในวันที่สี่ของรอบเจ็ดวันแรกของงาน ขณะรำคาญใจอยู่นั้น เผอิญให้ไต้เฉวียน 戴权 หัวหน้าขันทีวังต้าหมิง 大明宫 ส่งคนมาแจ้งก่อน แล้วนั่งเกี้ยวตีม้าล่อนำทางมาทำพิธีเคารพศพด้วยตนเอง เจี่ยเจินรีบมาต้อนรับ เชิญนั่งรับน้ำชาที่ศาลาโต้วเฟิง 逗蜂轩 แล้วแสดงความในใจ ต้องการบริจาคทรัพย์เพื่อความก้าวหน้าของเจี่ยหยง
ไต้เฉวียนรู้ความนัย ยิ้มว่า “พิธีจะได้ดูมีศักดิ์ศรีบ้าง”
เจี่ยเจินรีบรับว่า “ท่านขันทีใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง”
ไต้เฉวียนว่า “ช่างพอเหมาะยิ่งนัก กำลังขาดคนอยู่พอดี กององครักษ์พิทักษ์มังกร 龙禁尉(หลงจิ้นเว่ย) สามร้อยคน ว่างอยู่สองตำแหน่ง เมื่อวานนี้น้องชายสามของท่านเซียงหยางโหว 襄阳侯 นำหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงเงินมาให้ข้าที่บ้าน ท่านก็รู้ พวกเราเป็นสหายเก่า เห็นแก่หน้าผู้บิดา ข้าจึงรับปากส่งๆ ไป จึงเหลือว่างอยู่อีกตำแหน่งเดียว
หย่งซิงเจี๋ยตู้สื่อ 永兴节度使 เจ้าอ้วนเฝิง 冯胖子 มาขอบริจาคให้กับลูกชาย ข้ายังไม่ทันรับปาก นี่ลูกหลานเรากันเองอยากบริจาคเหมือนกัน ท่านก็รีบเขียนใบประวัติ 履历 มา”
เจี่ยเจินรีบสั่งคนเขียนใบประวัติใส่กระดาษแดงมาให้ ไต้เฉวียนรับมาดู มีข้อความว่า :
เจี่ยหยง นักศึกษาวิทยาลัยแห่งรัฐ อำเภอเจียงหนิงเมืองอิงเทียน เจียงหนาน 江南应天府江宁县 อายุยี่สิบปี
ทวด ขุนพลเสินเวย ยศพระราชทานสืบทอดลำดับที่หนึ่ง 世袭一等神威将军 เจี่ยไต้ฮว่า 贾代化 เคยดำรงตำแหน่งเจี๋ยตู้สื่อ ค่ายทหารเมืองหลวง
ปู่ เจี่ยจิ้ง 贾敬 บัณฑิตจิ้นสื้อในปีปิ่งเฉิน 丙辰科进士
บิดา ขุนพลเวยเลี่ย ยศพระราชทานสืบทอดลำดับที่สาม 世袭三品爵威烈将军 เจี่ยเจิน 贾珍
ไต้เฉวียนอ่านแล้วส่งให้ผู้ติดตามเก็บขึ้น แล้วสั่งว่า
“นำกลับไปส่งให้เฒ่าเจ้า 老赵 กองรายได้ ไหว้วานให้ออกใบรับรองตำแหน่งองครักษ์พิทักษ์มังกรลำดับห้า 五品龙禁尉 กรอกรายละเอียดข้อความตามใบประวัตินี้ พรุ่งนี้ข้าจะนำเงินไปส่งให้”
ผู้ติดตามรับคำ
1
ไต้เฉวียนลากลับ เจี่ยเจินตามมาส่งหน้าประตู ก่อนขึ้นเกี้ยว เจี่ยเจินถามว่า
“ข้าควรส่งเงินไปที่กองรายได้ หรือส่งไปที่จวนท่านขันที”
ไต้เฉวียนว่า “ถ้าส่งไปที่กองรายได้ ท่านอาจเดือดร้อน นำจำนวนหนึ่งพันตำลึงเงินพอดีไปส่งที่บ้านข้าก็เรียบร้อย”
เจี่ยเจินกล่าวขอบคุณมิขาดปากว่า
“เสร็จงานพิธีทางนี้แล้ว ข้าจะนำเจ้าหมาน้อยไปคารวะขอบพระคุณท่านด้วยตัวเอง”
แล้วจึงแยกย้าย
ขบวนของไต้เฉวียนไปแล้ว ถ้ดมา มีเสียงตวาดให้เปิดทาง ฮูหยินของจงจิ้งโหว 忠靖侯 สือติ่ง 史鼎 มากับหลานสาวชื่อ สื่อเซียงหยุน 史湘云 หวางฮูหยิน สิงฮูหยิน พี่เฟิ่งมารับเข้าไปยังเรือนใหญ่ ซึ่งมีเครื่องเซ่นไหว้ส่งมาจากจิ่นเซียงโหว 锦乡侯 ชวนหนิงโหว 川宁侯 โซ่วซานป๋อ 寿山伯 ส่งล่วงหน้ามาตั้งไว้หน้าแท่นสถิตวิญญานแล้ว สักพัก เกี้ยวของทั้งสามก็ตามมา เจี่ยเจินออกไปรับทั้งสามเข้ามายังห้องโถงใหญ่
ญาติมิตรไปมากันไม่ขาดสายเช่นนี้ตลอดสี่สิบเก้าวัน ถนนมุ่งสู่จวนหนิงขาวโพลนไปด้วยผู้สัญจร แต่งแต้มด้วยชุดขุนนางเป็นลวดลายไปกลับ
วันรุ่งขึ้นเจี่ยเจินสั่งให้เจี่ยหยงผัดชุดพิธีการไปรับเอกสารรับรองกลับมา จากนั้นเปลี่ยนเครื่องใช้ในพิธีให้เหมาะสมสำหรับขุนนางลำดับที่ห้า ป้ายสถิตวิญญาณก็เพิ่มข้อความว่า
“ป้ายสถิตวิญญาณอี๋เหยินสกุลฉินบ้านเจี่ยพระราชทาน
诰授贾门秦氏宜人之灵位”
(อี๋เหยิน 宜人 คือ ชื่อเรียกตำแหน่งภรรยาของขุนนางลำดับห้า)
ประตูใหญ่ด้านติดถนนของสวนบุปผาชุมนุมเปิดกว้าง สองข้างประตูตั้งโถงดนตรีมีวงนักดนตรีชุดเขียวบรรเลง เครื่องยศและง้าวขวานตั้งแสดงเป็นคู่คู่ นอกประตูตั้งป้ายสีแดงตัวอักษรทองขนาดใหญ่เขียนว่า
“องครักษ์พิทักษ์มังกรห้องมุขปกป้องพระราชวังต้องห้าม 防护内廷紫禁道御前侍卫龙禁尉”
ฟากตรงข้ามตั้งปะรำพิธีสงฆ์และพรตประจันกัน มีกระดานเขียนอักษรขนาดใหญ่เป็นข้อความยาวเหยียด………พรรณาว่าเป็นงานพิธีของคุณหญิงของราชองครักษ์………บรรยายศักดิ์………และตระกูล………อัญเชิญเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์………ในสากลโลก………มาอำนวยพร………ยาวเหยียด………สุดจะจดจำมาพรรณา………
แม้เจี่ยเจินจะพอใจกับการจัดแจงงาน แต่กลับมีปัญหาว่านางอิ๋วสื้อล้มป่วยด้วยโรคเก่า ไม่อาจมากำกับดูแลงานพิธี จักเกิดความบกพร่องเป็นที่ขายหน้า จึงยังมีข้อวิตกกังวลอยู่
เป่าวี่อยู่ด้านข้างสังเกตเห็นจึงถามว่า “ทุกอย่างจัดการได้เรียบร้อย ทำไมพี่ใหญ่ยังดูกังวล”
เจี่ยเจินจึงบอกให้ฟังเรื่องไม่มีแม่งานมากำกับดูแลงานภายใน
เป่าวี่ยิ้มว่า “เรื่องนี้ไม่ยาก ข้าจะแนะนำคนผู้หนึ่งให้มาช่วยกำกับงานในช่วงเดือนนี้ ทุกอย่างจักเรียบร้อย”
เจี่ยเจินรีบถามว่า “เป็นใคร”
เป่าวี่เห็นผู้คนพลุกพล่าน จึงเดินเข้าไปกระซิบข้างหู
เจี่ยเจินฟังแล้วชอบใจยิ่ง ยิ้มแล้วว่า
“เหมาะสมยิ่งนัก รีบไปกัน”
แล้วขอตัวแขกเหรื่อ จูงมือเป่าวี่ ตรงมายังห้องรับรองบนเรือนใหญ่
วันนี้ไม่ใช่วันพิธีใหญ่ ในห้องจึงมีเพียงญาติใกล้ชิด สิงฮูหยิน หวางฮูหยิน พี่เฟิ่งนั่งสนทนากับหมู่ญาติอยู่ พอได้ยินประกาศว่า “นายใหญ่มาถึงแล้ว” อย่างกระทันหัน คิดจะหลบไปห้องในก็ไม่ทัน มีเพียงพี่เฟิ่งที่ลุกขึ้นยืนสำรวมอย่างใจเย็น
เจี่ยเจินพักนี้ไม่ค่อยแข็งแรงนักบวกกับพบเรื่องโศกเศร้า จึงต้องใช้ไม้เท้าพยุงร่างเข้ามา สิงฮูหยินจึงว่า
“เจ้าสุขภาพไม่แข็งแรงนัก มีงานหนักมาหลายวัน ควรหาเวลาพักบ้าง จะเข้ามาทำไม”
เจี่ยเจินใช้ไม้เท้ากระย่องกระแย่งมา แล้วพยายามคุกเข่าแสดงคารวะ พวกสิงฮูเหยินรีบเรียกเป่าวี่ให้มาพยุงไว้ สั่งให้คนนำเก้าอี้มาให้นั่ง เจี่ยเจินไม่ยอมนั่งฝืนยิ้มว่า
“ผู้หลานเข้ามามีเรื่องหนึ่งจะขอร้องท่านอาหญิงทั้งสอง และน้องหญิงใหญ่”
สิงฮูหยินถามว่า “เรื่องอันใด”
เจี่ยเจินว่า “ท่านอาหญิงรู้แล้วว่า บัดนี้หลานสะใภ้เสียไปแล้ว ส่วนภรรยาของผู้หลานนั้นล้มป่วย จึงไม่มีผู้กำกับดูแลงานภายในระหว่างพิธีนี้ได้เหมาะสม จึงใคร่รบกวนน้องหญิงใหญ่ (ซีเฟิ่ง) มาช่วยเป็นแม่งานสักหนึ่งเดือน ข้าจึงพอวางใจ”
สิงฮูหยินยิ้มว่า “เรื่องนี้เอง น้องหญิงใหญ่ของเจ้าตอนนี้อยู่บ้านอาหญิงรอง เจ้าพูดกับอาหญิงรองเถิด”
หวางฮูหยินรีบกล่าวว่า “นางยังเด็กนัก ไม่เคยผ่านงานระดับนี้ หากจัดการไม่เรียบร้อยจะกลายเป็นที่ขบขัน หาคนอื่นไม่ดีกว่าหรือ”
เจี่ยเจินยิ้มว่า “ผู้หลานเข้าใจความกังวลของท่านอา เกรงว่าน้องหญิงจะลำบาก ท่านอาคงมิต้องห่วงว่านางจะจัดการไม่ได้ ด้วยว่าตั้งแต่เล็กวิ่งเล่นหัวกันนางก็เป็นหัวโจกตัดสินความ บัดนี้ออกเรือนแล้ว ได้ดูแลงานในจวน ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้น ข้าตรองอยู่หลายวัน นอกจากน้องหญิงก็มิรู้จะไปพึ่งใคร หากท่านอามิเห็นแก่ผู้หลานและภรรยา ก็ได้โปรดเห็นแก่ผู้วายชนม์ด้วย”
กล่าวจบก็ร่ำไห้
แม้หวางฮูหยินจะเกรงพี่เฟิ่งกำกับไม่เรียบร้อยจนขายหน้า พอเจี่ยเจินมาเว้าวอนก็ใจอ่อน หันไปสบตาพี่เฟิ่ง ทางด้านพี่เฟิ่งนั้นปกติก็ชอบออกหน้าจัดแจงงานต่างๆ อยู่แล้ว เห็นเจี่ยเจินมาร้องขอเช่นนี้ ก็สมัครใจแต่แรก พอสังเกตหวางฮูหยินเริ่มโอนอ่อนก็กล่าวกับหวางฮูหยินว่า
“พี่ใหญ่มาขอร้องจริงใจเช่นนี้แล้ว ท่านแม่ก็อนุญาตเถิด”
หวางฮูหยินกระซิบถามว่า “เจ้าทำได้แน่หรือ”
พี่เฟิ่งว่า “ทำไมจะไม่ได้ งานใหญ่ด้านหน้า พี่ใหญ่จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือเพียงกำกับงานภายใน หากสิ่งไหนข้าไม่รู้ ก็ยังมาถามท่านแม่ได้”
หวางฮูหยินฟังแล้วมีเหตุผล จึงนั่งนิ่ง
เจี่ยเจินเห็นพี่เฟิ่งรับปาก จึงยิ้มว่า
“ต้องรบกวนน้องเราให้เหน็ดเหนื่อย ข้าขอคารวะไว้ก่อน ณ ที่นี้ ไว้เสร็จงานพิธี ข้าจะไปขอบคุณที่จวน”
แล้วค้อมกายกระทำคารวะ พี่เฟิ่งรีบคารวะตอบ
เจี่ยเจินให้คนนำป้ายตุ้ยไผ 对牌 ของจวนหนิงมา
(ตุ้ยไผ 对牌 ป้ายไม้หรือไม้ไผ่เขียนข้อความหรือลวดลาย แล้วผ่าเป็นสองชิ้น ใช้เบิกทรัพย์สิ่งของในจวนได้ ป้ายสองซีกนำมาประกบยืนยันตน)
เจี่ยเจินสั่งให้เป่าวี่มอบตุ้ยไผให้กับพี่เฟิ่ง แล้วว่า
“น้องเราต้องการสิ่งใดก็เบิกได้ตามต้องการ ไม่จำเป็นต้องมาถามข้าก่อน อย่ากังวลว่าจะต้องช่วยข้าประหยัด ขอให้ดูดีสมฐานะเป็นสำคัญ ข้อสองคือ ขอให้น้องเราทำเหมือนกับว่าสั่งการกับคนของตนเองที่จวน อย่ากลัวว่าใครจะครหาภายหลัง นอกจากสองข้อนี้ เรื่องอื่นข้าก็วางใจ”
พี่เฟิ่งไม่กล้ารับป้ายตุ้ยไผ หันมามองหวางฮูหยิน
หวางฮูหยินว่า “พี่ใหญ่เจ้าออกปากเช่นนี้ เจ้าก็รับมาปฏิบัติหน้าที่ แต่อย่าทำอะไรโดยพลการ มีอะไรก็ถามพี่สะใภ้(นางอิ๋วสื้อ)ก่อนสักคำเป็นสำคัญ”
เป่าวี่รับป้ายมาถือไว้นานแล้ว ก็จัดการยัดใส่มือพี่เฟิ่ง
เจี่ยเจินถามอีกว่า “น้องเราพักเสียที่นี่ หรือจะไปกลับ หากไปกลับทุกวันคงลำบาก ข้าจัดที่พักให้น้องเราที่นี่ในหลายวันนี้ น่าจะเหมาะสมกว่า”
พี่เฟิ่งว่า “ไม่เป็นไร ฝั่งนั้นอยู่ห่างกันไม่ไกล ไปมาทุกวันนั้นได้อยู่”
เจี่ยเจินว่า “เป็นเช่นนั้น”
แล้วคุยสัพเพเหระสักครู่ ก่อนกลับออกไป
พอพวกญาติฝ่ายหญิงแยกย้ายกันไป หวางฮูหยินถามพี่เฟิ่งว่า “ตอนนี้เจ้าจะทำอะไรต่อ”
พี่เฟิ่งว่า “เชิญท่านแม่กลับไปก่อน ข้ามีบางอย่างต้องจัดการ เสร็จแล้วจะตามไป”
หวางฮูหยินกับสิงฮูหยินจึงกลับไปก่อน
ทางด้านพี่เฟิ่งมานั่งหน้ามุขของเรือนสามห้องแล้วตรองว่า จวนหนิงนี้มีธรรมเนียมที่เป็นจุดอ่อนห้าข้อ
ข้อหนึ่ง ผู้คนมากมายสับสน ทรัพย์สิ่งของอาจสูญหาย
ข้อสอง ไร้ผู้รับผิดชอบงานโดยตรง ถึงเวลามักปัดสวะโยนกลอง
ข้อสาม ใช้จ่ายเกินจำเป็น มีการเบิกมากเกินไปและทำหลักฐานปลอม
ข้อสี่ ไม่แยกแยะความสำคัญ สร้างความไม่เป็นธรรม
ข้อห้า ปล่อยปละละเลยไร้วินัย คนรู้จักเสนอหน้าไม่ยอมให้ควบคุม คนไม่รู้จักเสนอหน้าขาดโอกาส
(จบบทที่สิบสาม)
ตอนก่อนหน้า : สองมรณกรรม
ตอนถัดไป : ซีเฟิ่งกำกับจวนหนิง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา