8 ก.ย. เวลา 05:48 • การศึกษา

วีซ่าทำงานที่เกาหลี ฉบับคนที่ไม่ได้เรียนที่เกาหลี

วีซ่าทำงานที่เกาหลี จะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ วีซ่าแรงงานเฉพาะทาง (E7) และวีซ่าแรงงานทั่วไป (E9) ที่ต้องสอบผ่านกรมแรงงานของประเทศนั้นๆ สำหรับของเรา เป็นวีซ่าแรงงานเฉพาะทาง ซึ่งส่วนใหญ่ ถ้าเรียนจบป.ตรี หรือ โท ที่เกาหลี ก็มักจะได้วีซ่าตัวนี้มาไม่ยาก เพราะตม.จะไม่ค่อยเรื่องมาก ส่วนของเรานั้นไม่ได้เรียนจบที่นี่ ก็ต้องใช้เวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์กันสักหน่อย กว่าจะสร้างโปรไฟล์และหาบริษัทที่มั่นคงที่เค้าซัพพอร์ทวีซ่าให้ ก็ใช้เวลาเกือบสองปีแล้ว
ทริคในการหางานที่เกาหลี
อย่างแรกเลย ต้องรู้ภาษาเกาหลี อย่างน้อยต้องพอสื่อสารในชีวิตประจำวันได้ ถ้าพอมีทุนก็แนะนำให้สมัครเรียนภาษาในมหาวิทยาลัยที่นี่ ค่าเรียนจะตกคอร์สละประมาณ 1.8-2 ล้านวอน (6 หมื่นบาท) คอร์สนึงประมาณ 3 เดือน และควรเรียนถึงระดับ 4 เพราะถ้าจบระดับนี้ ก็จะพอมีความสามารถทางภาษาในระดับที่ทำงานได้แล้ว คลาสเรียนจะเป็นภาษาเกาหลีทั้งหมด ไม่เข้าใจ ก็จะอธิบายเป็นภาษาเกาหลีง่ายๆ ซ้ำๆ จนเออเข้าใจก็ได้ไปเอง
พอเรียนจบแล้วก็แนะนำให้รีบไปสมัครสอบวัดระดับภาษาเกาหลี เพราะถ้าปล่อยไว้นานจะลืม บริษัทเกาหลีส่วนใหญ่ จะขอผลสอบภาษาเกาหลีไม่ต่ำกว่าเลเวล3 แต่ถ้างานล่าม หรืองานที่ต้องใช้ภาษาเกาหลี ก็อาจจะจะขอสูงกว่านั้น อย่างต่ำก็เลเวล4 ขึ้นไป แต่บางบริษัทก็ไม่ได้ขอถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาเกา
ถ้าช่วงที่เรียนภาษา เราสามารถขอทำงานพาร์ทไทม์ได้ แต่ต้องไปขออนุญาต ตม. กับมหาลัยก่อน ถึงจะทำได้ ถ้าตม ไม่อนุญาตก็คือทำไม่ได้นะ ถ้าเค้าตรวจก็คือโดนจับส่งกลับ วีซ่านักเรียนสามารถทำงานได้เพียงแค่ สัปดาห์ละ 20 ชม เท่านั้น ค่าแรงขั้นต่ำส่วนใหญ่สำหรับพนักงานพาร์ทไทม์จะตกอยู่ที่ชั่วโมงละประมาณ 10,000 วอน (300บาท)
พอเรียนภาษาจบแล้ว สามารถขอเปลี่ยนวีซ่า ไปเป็นวีซ่าหางานหรือวีซ่าฝึกงานได้ หรือวีซ่า D10 ที่เกาหลีส่วนใหญ่การขอหรือเปลี่ยนวีซ่าต่างๆ ส่วนใหญ่จะใช้ระบบคะแนนหมดแล้ว คะแนนจะเบสกับช่วงอายุ การศึกษา ประสบการณ์ทำงาน ระดับภาษาเกาหลี(Topik) ของเรา ถ้าใครอายุระหว่างช่วงสามสิบต้นๆ การศึกษายิ่งสูง ประสบการณ์ทำงานหลายปี ระดับภาษาเกาหลีอยู่ในเลเวลสูงๆ คะแนนก็จะยิ่งเยอะตาม
และถ้าจบจากมหาลัยที่อยู่ในอันดับ 500 QS ranking ของโลก หรือเคยมีประสบการณ์ทำงานในบริษัท Fortune Top 500 ของโลก ก็จะได้คะแนนพิเศษเพิ่ม ซึ่งประเทศไทยนั้น ส่งจุฬาและมหิดลเข้าประกวด ถ้าใครคะแนนถึงเกณฑ์ ก็สามารถขอวีซ่าตัวนี้เข้ามาเดินสายหางานในเกาหลีได้ และอยู่ในเกาหลีได้สูงสุดสองปี ขึ้นอยู่กับคะแนนรวมของเรา หลังจากนั้นบริษัทต้องซัพพอร์ตเวิคเพอมิทให้ ถ้าบริษัทไม่ยื่นเรื่องทำเวิคเพอมิทให้ก็จะไม่สามารถอยู่ในเกาหลีได้อีกต่อไป
สุดท้ายถ้าเข้าบริษัทได้แล้ว ส่วนใหญ่เค้าก็จะให้ฝึกงานไปก่อน ประมาณ 3- 6 เดือนขึ้นอยู่กับบริษัท ซึ่งช่วงฝึกงาน เราก็ต้องไปแจ้ง ตม. เพื่อที่จะต้องทำเรื่องเสียภาษี สวัสดิการหรืออะไรที่ได้ ก็จะไม่ต่างกับพนักงานฟูลไทม์มาก
แล้วหลังจากนั้นก็ต้องบีบให้เค้าออกวีซ่าทำงานให้เราให้ได้ เพราะมันก็ไม่ใช่ทุกบริษัทที่เค้าจะซัพพอร์ตวีซ่าทำงานให้เราได้ เพราะมันมีกฏระเบียบต่างๆ ทั้งเรื่องเงินทุน รายได้และความมั่นคงของบริษัท รวมถึงอัตราส่วนการจ้างคนต่างชาติต่อคนเกาหลี และ มันก็มีค่าใช้จ่าย และต้องเตรียมเอกสารเยอะ เค้าเลยจะพรีเฟอคนที่มีวีซ่าอื่นที่สามารถทำงานได้โดยเค้าไม่ต้องเสียอะไรมากกว่า
นอกจากคุณสมบัติของบริษัทแล้ว เราเองก็ต้องมีคุณสมบัติ ผ่านเกณฑ์เช่นกัน ถ้าไม่จบป.โท /ตรี ที่นี่ ก็ต้องจบตรงสายกับงานที่ทำ และเคยมีประสบการณ์ทำงานด้านนี้มาอย่างน้อย1 ปี ตม.ถึงจะอนุมัติให้ผ่าน แต่ถ้าจบจากมหาลัยที่อยู่ในอันดับ 500QS ranking ของโลก ก็จะรับได้สิทธิพิเศษยกเว้นเรื่องประสบการณ์ทำงานที่ตรงสาย ส่วนของเราเองเมเจอร์ไม่ได้ตรงสายงานที่ทำแม้แต่นิดเดียว เราจบภาษาฝรั่งเศสมา แต่ต้องมาทำงานมาเกตติ้งในบริษัทเกาหลี บริษัทเลยต้องเขียนโยงทุกอย่างเท่าที่จะโยงได้ ว่าทำไมต้องจ้างเรา แทนที่ต้องจ้างคนเกาหลี
เอกสารที่ต้องใช้ส่วนใหญ่จะเป็นของบริษัท ส่วนของเรา จะใช้แค่เอกสารการศึกษา และเอกสารที่ซัพพอรตคะแนนเรา มีอะไรก็ใส่ไปให้หมดเผื่อๆไว้ ถึงแม้จะไม่ตรงสาย แต่สุดท้ายก็ผ่านนา จริงๆก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของตม.ไม่ได้มีกฏตายตัวอะไรขนาดนั้น สำหรับวีซ่าทำงานนี้ต้องต่อปีต่อปี และผูกกับบริษัท ถ้าลาออกจากบริษัท วีซ่าก็ขาดทันที แต่ถ้าหากทำงานไปสักพักหรือยู่เกาหลีครบสามปี สามารถขอเปลี่ยนเป็นวีซ่าผู้อยู่อาศัยระยะยาวได้ หรืออาจจะขอ PR ถ้าเงินเดือนต่อปีถึงเกณฑ์ หรือคุณสมบัติผ่าน
Q&A
💜 ทำงานที่เกาหลี ต้องได้ภาษาระดับไหน
เราเป็นคนนึงที่ เวลาไปสมัครงาน มักจะเขียนไปว่า ไม่สะดวกพูดเกาหลี แต่แอบแนบคะแนนภาษาเกาหลีไปด้วยนะ ถ้าบริษัทไหนโอเค เค้าก็จะติดต่อมาและขอสัมเป็นภาษาอังกฤษแทน แต่ว่าภาษาเกาหลีก็ยังสำคัญอยู่ดี ถึงแม้ว่าคนในทีมจะพูดอังกฤษได้ แต่ด้วยความที่คนในบริษัทเค้าไม่ได้พูดอังกฤษกันได้ทุกคน เราก็ยังจำเป็นต้องใช้ภาษาเกาหลีกับเค้าอยู่ แต่บางทีก็ฟังไม่ออก เลยต้องอาศัยให้เจ้านายช่วยแปลให้
💜หางานจากที่ไหน
หาไปเรื่อย ทั้งจากเพื่อนรีเฟอร์ หรือหาในเว็บไซต์หางานของเกาหลี อย่างเช่น jobkorea งานที่ต้องการคนไทยหรือคนรู้ภาษาไทยมีเยอะพอสมควร ส่วนใหญ่จะเป็นงานล่ามโรงพยาบาล งานมาเกตติ้ง
💜สวัสดิการ
ระบบสวัสดิการที่เกาหลีคือดีมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบประกันสุขภาพที่ช่วยแบ่งเบาภาระไปได้เยอะระหว่างเจ็บป่วย สวัสดิการอาหารกลางวัน สวัสดิการวันหยุดต่างๆ แทบเรียกได้ว่ามาทำงานวันนึงก็คือแทบไม่ต้องใช้เงิน เสียแค่ค่ารถไฟไปกลับวันละ3,000 วอน ทำโอทีดึกๆบริษัทก็มีสวัสดิการอาหารเย็นให้ บางบริษัทมีร้านกาแฟของตัวเอง มีบาริสต้าชงให้ ก็คือกินกาแฟฟรีกันได้ทั้งวัน
💜ทำงานกับคนเกาหลี
อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทเลย ทำงานกับคนเกาหลีไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เราเจอแต่เพื่อนร่วมงานที่ดี รับฟังและให้เกียรติ หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
แต่คนเกาหลีผีบ้าผีบอก็คงมีอยู่ทุกที่ เลี่ยงไม่ได้ อย่างที่บริษัทเก่า ก็เคยโดนคนเกาหลีด่า แต่ด้วยความที่ฟังไม่ออก เลยไม่รู้ว่านางด่าว่าอะไร รู้แต่ว่านางโกรธ
ณ จุดนี้ ขอใช้การด์คนต่างชาติ ทำเบลอไป
💜สังคมและวัฒนธรรมองค์กร
บริษัทใหญ่ๆ ก็มักจะมีวัฒนธรรมองค์กรที่คร่ำครึ seniority แรง แต่บริษัทสตาทอัพที่พนักงานส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ ก็จะเปิดกว้างมากๆ ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นของตัวเอง ทีมลีดแต่ละทีมก็อายุน้อยทั้งนั้น 29-30 ก็เป็นทีมลีดกันแล้ว และผู้หญิงก็มีโอกาสเป็นได้ แต่ด้วยความที่เป็นบริษัทเกา ก็ยังมีความเป็นเกาเบาๆ แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ต่างชาติอย่างเราพอรับได้
💜วันหยุดและวันลาพักร้อน
เกาหลี ไม่มีวันลาป่วย ไม่เกินจริง คนเกาหลีขึ้นชื่อว่าเป็นชาติที่ทำงานหนักมาก ถ้าป่วย ต้องใช้วันลาพักร้อนแทน ซึ่งในหนึ่งปีวันลาพักร้อนจะมีประมาณ12 วัน ขึ้นอยู่กับบริษัท บางบริษัทก็เพิ่มตามอายุงาน แต่ถ้าหากใช้วันลาพักร้อนจนหมด แล้วมาป่วย ก็ต้องยอมลาป่วยแบบหักเงินเดือนไป ซึ่งทางนี้ป่วยแค่ไหน ก็ฝืนมาทำงาน เพราะต้องเก็บวันพักร้อนไว้ใช้กลับไทย
เป็นกำลังใจให้คนที่อยากโยกย้ายทุกคน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ขอแค่ลองก้าวออกมาจากคอมฟอรทโซน และมีความมุ่งมั่นจริงๆ อยากได้ต้องได้
โฆษณา