9 ก.ย. เวลา 08:52 • ความคิดเห็น
เอาเถอะลองอ่านตามนี้..
“การเมืองไทยในปัจจุบัน:โครงสร้างและเบื้องหลัง”
(ฉบับเข้าใจง่าย)
** หมายเหตุ: การเมืองไทยมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ **
เพื่อเข้าใจได้ง่ายขึ้น มาดูกันเป็นขั้นตอน ดังนี้ครับ..
# โครงสร้างการปกครอง — ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งแบ่งอำนาจออกเป็น 3 ฝ่ายหลัก ได้แก่
ก. อำนาจนิติบัญญัติ: มีหน้าที่ออกกฎหมาย คือ รัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย
• สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.): มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีวาระ 4 ปี (ส.ส. แบบแบ่งเขต และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ)
• วุฒิสภา (ส.ว.): ปัจจุบันมาจากการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการสรรหา (ในรัฐธรรมนูญ 2560 วาระแรกมาจากการเลือกของ คสช. และชุดปัจจุบันมีการสรรหาจากกลุ่มอาชีพ) มีวาระ 5 ปี มีหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และให้ความเห็นชอบเรื่องสำคัญ
ข. อำนาจบริหาร: มีหน้าที่บริหารประเทศ คือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้า
ค. อำนาจตุลาการ: มีหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทตามกฎหมาย คือ ศาล ประเภทต่างๆ เช่น ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ
# การเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล
ใครเลือกนายกรัฐมนตรี?
ตามรัฐธรรมนูญ 2560 การเลือกนายกรัฐมนตรีทำโดย สมาชิกรัฐสภา (ส.ส. + ส.ว.) ในการประชุมร่วมกัน
ขั้นตอนการจัดตั้งรัฐบาล:
1. เลือกตั้ง ส.ส.: ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือก ส.ส. เข้าไปนั่งในสภา
2. รวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล: พรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากในสภา หรือรวมเสียงกับพรรคอื่นได้เกินครึ่ง (250 เสียงขึ้นไป จาก 500 เสียงของ ส.ส.) จะมีโอกาสเสนอชื่อหัวหน้าพรรค หรือบุคคลอื่นที่พรรคเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี
3. โหวตนายกรัฐมนตรี: สมาชิกรัฐสภา (ส.ส. + ส.ว.) จะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของรัฐสภา (ปัจจุบันคือ 376 เสียง จาก ส.ส. 500 เสียง + ส.ว. 250 เสียง = 750 เสียง) จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี
จุดสำคัญ: ในรัฐธรรมนูญ 2560 วุฒิสภา (ส.ว. 250 คน) มีสิทธิร่วมโหวตนายกรัฐมนตรีด้วย ทำให้การได้มาซึ่งนายกฯ ต้องได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว. จำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลเลือกตั้งออกมาแบบหนึ่ง แต่รัฐบาลอาจเป็นอีกแบบหนึ่งได้
4. แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี: นายกรัฐมนตรีที่ได้รับเลือกจะแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ) เพื่อบริหารประเทศ
# อำนาจยับยั้งและเบื้องหลัง
• รัฐสภา: สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ หาก ส.ส. ลงมติไม่ไว้วางใจ นายกฯ และ ครม. อาจต้องพ้นจากตำแหน่ง
• ศาลรัฐธรรมนูญ: มีอำนาจวินิจฉัยว่ากฎหมายหรือการกระทำใดๆ ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมถึงการวินิจฉัยคุณสมบัติของ ส.ส. ส.ว. หรือนายกรัฐมนตรี
• องค์กรอิสระ: เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ
เบื้องหลังที่ซับซ้อน:
• บทบาทของ ส.ว.: การที่ ส.ว. มีสิทธิโหวตนายกฯ ทำให้แม้พรรคที่ชนะเลือกตั้งได้เสียง ส.ส. มากที่สุด ก็อาจไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว. จำนวนหนึ่ง ทำให้เกิดการต่อรองและการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ซับซ้อน
• ขั้วอำนาจเก่า/ใหม่: การเมืองไทยมักมีการแบ่งขั้วอำนาจระหว่างกลุ่มต่างๆ ทั้งพรรคการเมือง กองทัพ กลุ่มทุน และชนชั้นนำ ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีอิทธิพลและผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน
อิทธิพลนอกระบบ:
• บางครั้งปัจจัยที่ไม่ใช่ทางการเมืองโดยตรง เช่น อิทธิพลของกลุ่มทุน หรือบทบาทของสถาบันบางแห่ง ก็สามารถส่งผลต่อทิศทางการเมืองได้
# สิ่งที่ประชาชนไทยต้องรู้เกี่ยวกับประเด็นการเมือง
1) ความสำคัญของการเลือกตั้ง: ทุกคะแนนเสียงมีความหมายและส่งผลต่ออนาคตของประเทศ
2) การตรวจสอบการทำงานภาครัฐ: ประชาชนมีสิทธิ์และควรติดตาม ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ
3) ข้อมูลข่าวสารที่หลากหลาย: ควรรับฟังข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง และใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ
4) การมีส่วนร่วมทางการเมือง: นอกจากเลือกตั้งแล้ว การแสดงออกทางความคิดเห็น การรวมกลุ่ม หรือการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสิ่งต่างๆ ก็เป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่สำคัญ
5) รัฐธรรมนูญคือกรอบกติกา: การเข้าใจหลักการและเนื้อหาสำคัญของรัฐธรรมนูญจะช่วยให้เข้าใจทิศทางการเมืองได้ดีขึ้น
ที่กล่าวมาทั้งหมด หวังว่าจะช่วยให้เข้าใจโครงสร้างและเบื้องหลังการเมืองไทยในปัจจุบันได้ชัดเจนยิ่งขึ้นนะครับ!
** ผิด/ถูกอย่าไร ขอท่านผู้รู้จริงๆ โปรดชี้แนะด้วยครับ..
โฆษณา