10 ก.ย. เวลา 14:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
สหรัฐอเมริกา

iPhone รุ่นที่บางเฉียบเท่าที่เคยมีมา

iPhone Air มาพร้อมดีไซน์ตัวเครื่องใหม่หมดจด ทำให้ iPhone ในมุกนี้เป็นเครื่องที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา
1
และมันได้ถูกส่งออกไปยังคูเวต กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมนี ฝรั่งเศส ฟินแลนด์ สวีเดน และเดนมาร์ก
อย่างไรก็ตาม ความบางนี้มาพร้อมกับข้อเสีย
1
คืออายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่จำกัดและประสิทธิภาพการถ่ายภาพที่ลดลงอย่างมาก
น่าแปลกที่ Apple ถึงขั้นผลิตแบตเตอรี่ภายนอก(สำรอง)แบบ MagSafe ขึ้นมาสำหรับ iPhone Air โดยเฉพาะ
ซึ่งให้มีพลังงานเพิ่มขึ้นถึง 65%
1
เนื่องจากใช้เพียงเพื่อการออกแบบ การเปิดตัว iPhone Air จึงถือเป็นการเปิดตัวโทรศัพท์ที่บางที่ซู๊ดดดดด ของอีฟ
จนอดัมต้องกัดจนติดคอ...
2
แต่ที่สำคัญในปัจจุบันมีเพียง China Unicom เท่านั้นที่ร่วมมือกับ Apple
1
และส่งผลให้ iPhone 17 ซีรีส์ ได้นำการอัปเดตมาสู่วงการทั้งในด้านหน้าจอ การถ่ายภาพ ชิปประมวลผล และอื่นๆ
ผมขอยกตัวอย่างการอัปเดตต่างๆ เช่น iPhone 17 รุ่นมาตรฐานได้ยุติประวัติศาสตร์ของหน้าจอ 60Hz ในรุ่นมาตรฐานไปเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้วนะครับ..
และแล้ว iPhone 17 Pro ซีรีส์ ก็มาพร้อมชิปประมวลผล A19 Pro และกล้องหลัง 3 ตัว ที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล
อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาภาษีศุลกากรและความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์
รวมถึงพื้นที่หน่วยความจำที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาของ iPhone 17 ซีรีส์ของ Apple
พรวดพราดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย iPhone 17 Pro Max รุ่นสูงสุดมีราคาอยู่ที่ แปดหมื่นก่าบาท ซึ่งถือเป็น iPhone ที่มีราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์
นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์หลักของ iPhone แล้ว Apple ยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์สวมใส่ได้รุ่นล่าสุดออกขายจำนวนหนึ่งด้วย
อันได้แก่ AirPods Pro3, Apple Watch Ultra 3, Apple Watch Series 11 และ Apple Watch SE 3
โดยในบรรดาผลิตภัณฑ์เหล่านั้น การอัพเดตที่สะดุดตาที่สุดก็คือ AirPods Pro3 ที่รองรับการตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจเป็นครั้งแรก
โดยรวมแล้วเป็นแอปพลิเคชัน AI ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ข่าวที่ผมไดัมาก็ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ความสามารถของ AI ห่าเหวอะไรนี่เลย
1
มีเพียงความคืบหน้าเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ได้แก่ การปรับปรุงประสิทธิภาพของชิป A19 Pro ที่พัฒนาขึ้น
ซึ่งเหมาะสมกับการใช้งาน Edge AI มากขึ้น และ Apple Intelligence สามารถรองรับการแปลแบบเรียลไทม์และฟังก์ชันอื่นๆ ได้
แต่เมื่อผมพิจารณาว่าที่ผ่านๆมา Apple ได้สูญเสียบุคลากรด้าน AI หลายรายไป และความสามารถหลักด้าน AI อย่าง Siri ก็ไม่ได้รับการอัปเดตนับตั้งแต่ปีนี้
แสดงว่าการพัฒนา AI ของ Apple ถือว่าค่อนข้างล่าช้า และตกต่ำกว่ายักษ์ใหญ่รายอื่นๆ ใน Silicon Valley อย่างชัดเจน
และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง iPhone Air เป็นโทรศัพท์ eSIM ( ซิมดิจิทัลรูปแบบใหม่ที่ใช้งานโดยฝังอยู่ในอุปกรณ์สื่อสาร) เป็นรุ่นที่เบาและบางที่สุดในประวัติศาสตร์
1
ในงานแถลงข่าว Apple ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ตัวแรกในซีรีย์ล่าสุดที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่บางและเบา นั่นก็คือ iPhone Air
นี่คือการอัปเกรดครั้งสำคัญของกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPhone iPhone Air คือ iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดดเด่นด้วยกรอบไทเทเนียมและกระจก Ceramic Shield สองด้าน
และมีความบางเพียง 5.6 มม. (ส่วนความทน ..ผมไม่รู้ๆๆๆ)
1
แต่ หนึ่งในข้อเสียเปรียบที่สำคัญที่สุดของความบางและน้ำหนักเบาคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่จำกัด
ข้อมูลจากฐานข้อมูล ระบุว่าความจุแบตเตอรี่ของ iPhone 17 Air (รุ่น eSIM card) อยู่ที่ 3,149 mAh
ซึ่งค่อนข้าง "น้อยนิด" เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ 5,000mAh ของโทรศัพท์ Android(ของผม)
ทางด้าน iPhone Air ที่มาพร้อมดีไซน์สถาปัตยกรรมใหม่ พร้อมกล้องและชิปที่ออกแบบพิเศษติดตั้งอยู่ด้านบน
จุดอ่อนคือ ส่วนอื่นๆ ของตัวเครื่องก็ยังคงใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ทั้งหมด
2
หน้าจอขนาด 6.5 นิ้ว รองรับอัตราการรีเฟรช 120Hz แต่มีกล้องเพียงตัวเดียว ที่ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล
นอกจากนี้ โทรศัพท์รุ่นใหม่ยังใช้ชิป A19 Pro ที่มีพลังประมวลผลสูงสุดของ GPU สูงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 3 เท่า
จึงเหมาะกับการใช้งาน AI ขั้นสูง มาพร้อมโมเด็มเซลลูลาร์ C1X รุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งเร็วกว่า C1 ถึง 2 เท่า
ส่วนรูปลักษณ์ภายนอก iPhone Air มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาว สีทอง สีดำ และสีฟ้าสกายบลู ส่วนราคา iPhone Air ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ สามหมื่นห้าUP....
ที่น่าสังเกตคือ iPhone Air รองรับเฉพาะ eSIM เท่านั้นนะครับ
หล่อนไม่รองรับซิมการ์ดจริง(แต่ก๊อปข้อมูลSIMได้) แม้ว่าในก่อนหน้านี้ จะมีเพียงนาฬิกาและแท็บเล็ตที่รองรับ eSIM
เนื่องจากผลิตที่พี่จีน Apple จึงระบุว่า China Unicom เป็นผู้ให้บริการรายเดียวที่รองรับ eSIM ของ iPhone
หากต้องการเปิดใช้งาน eSIM บน iPhone Air คุณต้องไปที่ร้านตัวแทนจำหน่าย และดำเนินการยืนยันตัวตนที่จำเป็น
และแล้ว เครื่องแปดหมื่นกว่าบาทก็มาถึง นั่นคือ iPhone รุ่นสุดแพง ! iPhone 17 Pro Max ที่สุดของที่สุด... ความแพง
1
ในงานแถลงข่าว iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max ก็เข็นออกมาตามคาด
ในด้านรูปลักษณ์ iPhone 17 Pro ซีรีส์นี้ใช้ดีไซน์แบบ Unibody
ภาพจำของอะลูมิเนียมขัดเงา แต่มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน
หน้าจอมีให้เลือกสองขนาด ได้แก่ 6.3 นิ้ว และ 6.9 นิ้ว รองรับอัตราการรีเฟรช 120Hz และให้ความสว่างสูงสุดกลางแจ้งสูงสุด 3,000 nits
iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Deep Ocean Blue, Cosmic Orange และ Silver
สามารถเริ่มสั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน และวางจำหน่ายวันที่ 19 กันยายน นะครับถ้ามีตังค์
3
ทางด้าน iPhone 17 Pro ในซีรีส์นี้มาพร้อมกับชิป A19 Pro ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่องได้สูงสุดถึง 40% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อมกับชิปเครือข่ายไร้สาย N1 ที่พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งรองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 6 และ Thread เพื่อใช้กับ Apple ด้วยกันเองเท่านั้น.
ในด้านการถ่ายภาพ iPhone 17 Pro ซีรีส์นี้ เขาอ้างว่ามี "ระบบกล้องที่ดีที่สุด" โดยกล้องหลังทั้ง 3 ตัวมีพิกเซล 48 ล้านพิกเซล
และเซ็นเซอร์มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 56% กล้องหน้า Center Stage ใหม่ให้มุมมองภาพที่กว้างขึ้นและความละเอียด 18 ล้านพิกเซล
ในด้านความสามารถของ AI ขณะนี้ Apple Intelligence รองรับการแปลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ใช้สื่อสารข้ามภาษาผ่านแอปต่างๆ
เช่น Messages, FaceTime และ Phone นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถจับภาพหน้าจอและค้นหาข้อมูลได้อีกด้วย
ในส่วนของราคา iPhone 17 Pro ซีรีส์ ที่เริ่มต้นที่ สี่หมื่นบาท แน่นอนซึ่งแพงกว่ารุ่นก่อนหน้าก็เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ส่วนรุ่นสูงสุดอยู่ที่ แปดหมื่นเป็นอย่างต่ำ ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาสำหรับ iPhone เช่นกัน
นั่นเป็นเพราะ iPhone 17 มีเวอร์ชันมาตรฐานที่สามารถรองรับอัตราการรีเฟรชสูง 120HZ ได้เป็นครั้งแรก
และการอัปเดตที่เกี่ยวข้องก็จะมุ่งเน้นไปที่ความสามารถของพื้นที่เก็บข้อมูล หน้าจอ และกล้องถ่ายรูปเป็นหลัก
ในแง่ของรูปลักษณ์และหน่วยความจำ iPhone 17 ซีรีส์มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีดำ สีม่วงลาเวนเดอร์ สีฟ้ามิสต์ สีเขียวเซจ และสีขาว
พื้นที่เก็บข้อมูลเริ่มต้นอยู่ที่ 256GB ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึงสองเท่า
2
เช่นเดียวกับซีรีส์ iPhone 17 Pro, iPhone 17 มาพร้อมกล้องหน้า Center Stage ใหม่ และใช้เซ็นเซอร์กล้องหน้าทรงสี่เหลี่ยมเป็นตัวแรกของ iPhone
ส่วนด้านหลัง iPhone 17 มีกล้องสองตัว โดยตัวแรกเป็นกล้อง 48 ล้านพิกเซล(เป็นครั้งแรก) และอีกตัวเป็นกล้อง 12 ล้านพิกเซล
ในส่วนของหน้าจอ iPhone 17 ได้ยุติประวัติศาสตร์หน้าจอมาตรฐาน 60Hz และรองรับอัตราการรีเฟรชแบบปรับได้ 120Hz เป็นครั้งแรกแล้ว นะเออ...
และเจ้าหล่อนใช้หน้าจอขนาด 6.3 นิ้วที่มีขอบจอที่แคบกว่ารุ่นก่อนหน้า
1
นอกจากนี้ iPhone 17 ยังเปิดตัวแผงเซรามิกซูเปอร์รุ่นที่ 2 (Ceramic Shield 2)
ซึ่งใช้การเคลือบด้วยดีไซน์แบบใหม่ ทนทานต่อรอยขีดข่วนได้มากกว่าเดิม 3 เท่า และให้ความสว่างสูงสุดกลางแจ้งสูงสุด 3,000 nits
ในส่วนของชิป iPhone 17 ใช้ชิป A19 CPU 6 คอร์เร็วกว่า A15 ถึง 1.5 เท่า และ GPU 5 คอร์เร็วกว่า A15 ถึง 2 เท่า
1
ส่วนราคา ราคาเริ่มต้นของ iPhone 17 ซีรีส์อยู่ที่ สามหมื่นก่าๆ
เอาล่ะๆๆๆ มาที่ AirPods Pro3 กันบ้าง
ที่พิเศษคือ รุ่นนี้รองรับการตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจและความสามารถในการลดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
แน่นอนว่า AirPods Pro รุ่นใหม่นี้ยังเป็นไฮไลท์ของงานประชุม Apple ครั้งนี้ด้วย
1
ในแง่ของการสวมใส่ AirPods Pro 3 มีขนาดเล็กลงและสวมใส่ได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น และมาพร้อมกับจุกหูฟังแบบใหม่
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สามารถทนเหงื่อและน้ำได้ตามมาตรฐาน IP57
1
นอกจากนี้ AirPods Pro 3 ยังมีฟังก์ชันลดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟที่ดียิ่งขึ้น
ซึ่งมีเอฟเฟกต์ลดเสียงรบกวนมากกว่า AirPods Pro รุ่นก่อนหน้าสองเท่า และมากกว่ารุ่นแรกถึงสี่เท่า
ที่น่าสังเกตคือ AirPods Pro 3 รองรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้เป็นครั้งแรก
และผู้ใช้ยังสามารถติดตามการฝึกทางกายภาพมากกว่า 50 ประเภทได้ โดยผ่านประสบการณ์ใหม่ในแอปฟิตเนสบน iPhone อีกด้วย
AirPods Pro 3 ยังรองรับการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ ซึ่งพัฒนาโดย Apple Intelligence แม้ผู้ใช้จะพูดภาษาอื่น ก็สามารถสื่อสารผ่านระบบนี้ได้
ทำให้การสนทนาแบบเห็นหน้ากันง่ายขึ้น
ในแง่ของอายุการใช้งานแบตเตอรี่ AirPods Pro 3 ในโหมด Transparency ใช้งานได้นานกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 67%
และสามารถใช้งานได้นานสูงสุด 10 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง แต่ในโหมดตัดเสียงรบกวนแบบแอคทีฟ อายุการใช้งานแบตเตอรี่จะเพิ่มขึ้นเป็น 8 ชั่วโมง (จากเดิม 6 ชั่วโมง)
ในด้านราคา AirPods Pro 3 ตัวนี้จะมีราคาอยู่ที่แค่.....เก้าพันบาท ซึ่งเป็นของที่ถูกสุดในงานนี้แล้วล่ะคราบบบบบบบบบ...
3
โฆษณา