11 ก.ย. เวลา 06:52 • ความคิดเห็น

📱 “สั่งงานใน LINE” คือวัฒนธรรมที่กำลังฆ่า Productivity ขององค์กรไทย

กับดักของความเร็วที่หอมหวาน
* เสียงแจ้งเตือน “LINE!” ดังขึ้นตอนสี่ทุ่ม พร้อมข้อความสั่งงานด่วนจากหัวหน้า… สำหรับคนทำงานไทยหลายล้านคน นี่ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่มันคือ “ออฟฟิศลับ” ที่เกาะติดตัวตลอด 24 ชั่วโมง
* มันดูสะดวก รวดเร็ว และเหมือนทันสมัย แต่ความจริงแล้วนี่คือ กับดักที่อันตรายที่สุด เพราะความเร็วที่เกิดจาก LINE เป็นเพียง “ภาพลวงตา” ที่บดบังความไร้ประสิทธิภาพ, ความวุ่นวาย และการทำลายสมาธิของพนักงาน
Productivity ไม่ได้ตายเพราะงานหนัก แต่มักจะตายเพราะงานที่ “กระจัดกระจาย” และขาดระบบ
====
🤒 อาการเรื้อรังของวัฒนธรรม LINE
การใช้ LINE ซึ่งออกแบบมาเพื่อการส่วนตัว มาบริหารจัดการงานที่ซับซ้อน ทำให้เกิดปัญหาสะสมในองค์กรไทย มากกว่าที่คิด
1. ทำลายโครงสร้างและบทบาท
* ธารข้อมูลไหลกระจาย ไม่มีการจัดลำดับความสำคัญ การตัดสินใจสำคัญอาจจมหายใต้สติกเกอร์ “สวัสดีวันจันทร์”
* และไม่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ เมื่อไม่มีที่เก็บข้อมูลแบบเป็นระบบ ทีมใหม่ที่เข้ามายังต้องเริ่มจากศูนย์แทบทุกครั้ง
2. สร้างเสียงรบกวนและความไม่ปลอดภัย
* ข้อมูลที่ควรเป็นความลับถูกส่งในกลุ่มใหญ่ พนักงานถูกดึงเข้ากลุ่มโดยไม่สมัครใจ และทุกคนถูกคาดหวังให้ “อ่านทุกอย่าง” ตลอดเวลา
* ผลคือความเครียดสะสม ความล้า และเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญขององค์กร
3. ปลูกภาพลวงตาของความ Proactive
* LINE ให้รางวัลกับคนที่ “ตอบเร็ว” ไม่ใช่คนที่ “คิดลึก” จึงทำให้วัฒนธรรมองค์กรเต็มไปด้วยการทำงานเชิงรับ (Reactive) มากกว่าการคิดเชิงรุก (Proactive)
* พนักงานอาจรู้สึกว่าตนเองยุ่งตลอดเวลา แต่ไม่ได้สร้างคุณค่าหรือความคืบหน้าที่แท้จริง
4. ขัดขวาง Alignment และ Autonomy
* หัวหน้าสามารถสั่งงานข้ามขั้นตอนได้ทันที ข้อมูลกระจัดกระจาย ค้นหายาก และไม่ถูกเก็บเป็นระบบ
* ส่งผลให้ทีมไม่สามารถทำงานอย่างอิสระและมีทิศทางร่วมได้ เกิดปัญหาซ้ำซ้อน เช่น งานถูกทำซ้ำ หรือการตัดสินใจที่ขัดกันเอง
5. บั่นทอนสมดุลย์ชีวิต (Work-Life Balance)
* เมื่อ LINE ถูกใช้เป็นที่ทำงาน ขอบเขตเวลาส่วนตัวและเวลางานถูกลบเลือน พนักงานไม่สามารถ “ปิดเครื่อง” ได้จริง
* ส่งผลให้เกิด Burnout และความเหนื่อยล้าที่กระทบทั้งประสิทธิภาพและสุขภาพจิต
====
💡 บทเรียนจากองค์กรที่ทำงานแบบ Asynchronous?
ในขณะที่หลายองค์กรยังจมอยู่กับ Real-time Chat ที่ไม่หยุดพัก บริษัทระดับโลกที่บริหารงานระยะไกลอย่างมีประสิทธิภาพกลับเลือกทางตรงข้าม — Asynchronous-First
* Basecamp (37signals): มีปรัชญาชัดเจนว่า “ออฟฟิศควรสงบเหมือนห้องสมุด” และมองว่าการแจ้งเตือนคือศัตรูของ Productivity พวกเขาสร้างเครื่องมือเพื่อปกป้องสมาธิของพนักงาน (Reference: https://basecamp.com/guides/shapeup)
* GitLab: บริหารพนักงานหลายพันคนทั่วโลกแบบ 100% Remote ได้สำเร็จ เพราะทุกการสื่อสารที่สำคัญถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร โปร่งใส และค้นหาได้ง่าย (Reference: https://about.gitlab.com/company/culture/all-remote/)
* Automattic (WordPress): ทีมงานกว่า 2,000 คนทั่วโลก ใช้เอกสารออนไลน์และ Discussion Board เป็นศูนย์กลาง ไม่พึ่งแชทแบบทันที แต่เน้นการคิดลึกและการเขียนที่รอบคอบ (Reference: https://automattic.com/work-with-us/)
เครื่องมืออย่าง Slack, Asana, Discord, Notion หรือ Microsoft Teams ไม่ได้เป็นแค่แชท แต่ถูกออกแบบเพื่อ “จัดระเบียบ” งาน แยกการสนทนาออกจากการตัดสินใจ สร้างระบบการติดตามที่โปร่งใส และเปิดพื้นที่ให้ทีมทำงานแบบ Deep Work ได้อย่างแท้จริง
====
🔬 Digital Transformation = "เริ่มที่พฤติกรรม ไม่ใช่เทคโนโลยี”
* อยากรู้ว่าองค์กรพร้อมแค่ไหน? ง่ายๆ แค่ดูว่า คุณกล้าเลิกใช้ LINE เพื่อทำงานหรือเปล่า
* ตัวชี้วัดความสำเร็จไม่ใช่การติดตั้งซอฟต์แวร์ใหม่ แต่คือ “ระยะเวลาที่คนปรับพฤติกรรมได้” หากผู้บริหารยังคาดหวังการตอบกลับทันที และยังสั่งงานในช่องทางที่ไม่เป็นทางการ นั่นหมายความว่าองค์กรยังไม่พร้อมจริง
* นวัตกรรมแท้จริง ไม่ได้เริ่มที่การซื้อเครื่องมือใหม่ แต่เริ่มที่การละทิ้งพฤติกรรมเก่าที่ฉุดรั้งองค์กรไว้
องค์กรที่กล้าเปลี่ยนจะเห็นผลลัพธ์ทันที คือ “การประชุมที่ลดลง, การตัดสินใจที่โปร่งใสขึ้น, และทีมงานที่มีสมาธิมากขึ้นในการทำงานที่สำคัญจริงๆ”
====
✨ ดังนั้น คุณกำลังทำงาน หรือแค่ทำให้ใครเห็นว่า “ออนไลน์” อยู่เท่านั้น?
* การทำงานผ่าน LINE คือ Comfort Zone ที่แสนสบาย มันทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังทำงาน แต่บ่อยครั้งมันคือการแสดง (Performative Work) — การทำให้ดูเหมือนยุ่งและพร้อมเสมอ โดยไม่ได้สร้างคุณค่าจริง
* Digital Transformation ที่แท้จริง ไม่ใช่การเพิ่มแอป แต่คือการมีวินัยในการเลือกใช้เครื่องมือที่ถูกต้องกับงานที่ถูกต้อง และบางครั้ง ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดคือการ “ปิดแจ้งเตือน LINE” แล้วออกแบบระบบใหม่ที่ทำให้ทีมได้ทำงานอย่างลึกซึ้ง มีเป้าหมาย และยั่งยืนจริงๆ
#วันละเรื่องสองเรื่อง #DigitalTransformation #Productivity #FutureOfWork #AsynchronousWork #DeepWork #วัฒนธรรมองค์กร #Burnout
โฆษณา