5 ชั่วโมงที่แล้ว • ประวัติศาสตร์

มองย้อน “ประวัติศาสตร์เนปาล” จากบ้านเกิดของพระพุทธเจ้าถึงดินแดนยอดเขาเอเวอเรสต์

สถานการณ์การประท้วงในประเทศเนปาลีในห้วงสัปดาห์นี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นมาตลอดจนเป็นอีกหนึ่งการประท้วงที่รุนแรงที่สุดอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เนปาลเลยก็ว่าได้ โดยจุดเริ่มต้นของมันเริ่มจากการประกาศแบนโซเซียลมีเดียโดยรัฐบาล ส่งผลให้เกิดการก่อม็อบประท้วงและนำมาซึ่งเหตุการณ์วุ่นวายจนกลายเป็นการจลาจลในที่สุด
เนปาลนับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานอีกแห่งหนึ่งไม่แพ้อินเดียเลย เราน่าจะรู้จักเนปาลในฐานะของการเป็นที่ตั้งสังเวชนียสถานสำคัญอย่างลุมพินี ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็รู้จักจากการที่เป็นที่ตั้งของเขาเอเวอเรสต์ แต่บทบาทของเนปาลในประวัติศาสตร์ก็นับว่ามีมากมายไปกว่านั้นอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างิ่งกับประเทศรอบข้างอย่างอินเดียไปจนถึงทิเบตที่ต่างมีความสัมพันธ์กันในหลากหลายรูปแบบ
All About History ในสัปดาห์นี้เราจะขอพาย้อนกลับไปสำรวจประวัติศาสตร์ของเนปาลกันแบบสังเขปสักหน่อยตั้งแต่ยุคโบราณที่มีศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้า เรื่อยลงมาจนถึงยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ประชาธิปไตยกันแบบสังเขป
⭐จากศากยะถึงลิจฉวี: เนปาลีในยุคโบราณ
หลักฐานการตั้งถิ่นฐานในเนปาลนั้นมีอยู่มากมายและหนาแน่นในบริเวณที่เป็นหุบเขากาฐมาณฑุ ซึ่งมีการสันนิษฐานกันว่าเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้คนที่พูดภาษาในตระกูลจีนทิเบตมาก่อน ก่อนที่กลุ่มผู้พูดภาษาอินโดอารยันจะเดินทางเข้ามา เนปาลจึงเป็นดินแดนที่มีลักษณะทางวัฒนธรรมที่เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นจีนทิเบตเข้ากับความเป็นอินเดียเอาไว้ด้วยกัน
ตามตำนานของทางฝั่งเนปาลเชื่อกันว่าราชวงศ์แรกสุดของพวกเขาคือกลุ่มราชวงศ์โคปาล ซึ่งเป็นกลุ่มคนเลี้ยงวัวที่ได้ก่อตั้งชุมชนจนเติบใหญ่เป็นอาณาจักร ซึ่งถัดจากราชวงศ์โคปาลก็เป็นราชวงศ์มหิษาปาล ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เป็นชาวอาฮีร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มชาวยาทวะหรือกลุ่มคนเดียวกันกับกลุ่มวงศ์ยาทพของพระกฤษณะ อวตารของพระวิษณุในมหาภารตะด้วย
หลังสิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์โคปาลและมหิษาปาล พื้นที่ของเนปาลในส่วนของหุบเขากาฐมาณฑุก็ได้ไปอยู่ในการปกครองของชาวกิราติหรือกิราตะ ซึ่งเป็นกลุ่มชนชาวเขาผู้พูดภาษาในตระกูลจีนทิเบต ซึ่งได้ปกครองดินแดนแถบนี้ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยราชวงศ์โสมา ชาวกิราตะนี้สันนิษฐานว่าอยู่ช่วงเวลาที่เหลื่อมทับและร่วมสมัยกันกับช่วงเวลาที่มีการตั้งแคว้นเล็ก ๆ ของกลุ่มศากยะ หรือศากยวงศ์ของพระพุทธเจ้าด้วย โดยกลุ่มศากยะนี้ล่มสลายไปจากการถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโกศล
1
พระพุทธเจ้า หรือศากยมุนี สมาชิกศากยวงศ์ที่เป็นที่รู้จักที่สุด
หลังจากยุคสมัยของชาวกิราตะ พื้นที่เนปาลก็ได้มีกลุ่มชนชาวอินโดอารยันเข้ามา เกิดเป็นอาณาจักรใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นหลังการล่มสลายของอาณาจักรกิราตะ คือกลุ่มราชวงศ์โสมาผู้อ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากจันทรวงศ์ในตำนานของอินเดีย ตลอดจนมีการขยายอิทธิพลของพระเจ้าอโศกแห่งโมริยะเข้ามาถึงพื้นที่บางส่วนของเนปาลในปัจจุบัน ส่งผลให้พบเห็นโบราณสถานเนื่องในสมัยพระเจ้าอโศกอยู่บ้าง
ภายใต้การคืบคลานเข้ามาของชาวอินโดอารยันได้ทำให้เกิดทำให้ดุลการปกครองในเนปาลเปลี่ยนไป และเข้ามาสู่ยุคสมัยการปกครองของวงศ์ลิจฉวีที่มาจากแคว้นเวสาลี ในยุคที่หุบเขากาฐมาณฑุถูกปกครองโดยลิจฉวีได้ชื่อว่าเป็นทั้งยุคทองและยุคมืดของเนปาลในราชวงศ์เดียวกัน ซึ่งวิทยาการต่าง ๆ จากฝั่งอินโดอารยันได้ไหลเข้ามายังดินแดนที่เคยปกครองและอาศัยกันอยู่แบบชาวเขา
ในด้านการปกครองก็ได้มีมหาราชาและสภาอำมาตย์ขุนนางต่าง ๆ คอยให้การสนับสนุน เศรษฐกิจของเนปาลในสมัยราชวงศ์ลิจฉวีเฟื่องฟูจากการกสิกรรมซึ่งเป็นรากฐานหลักของเศรษฐกิจเนปาลตลอดจนมีการค้ากับรัฐต่าง ๆ รอบข้างด้วย ด้านศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมก็เฟื่องฟูตามกันไป นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐที่ค่อนข้างแน่นแฟ้นกับทิเบตด้วย
⭐สามก๊กแห่งหุบเขากาฐมาณฑุ ยุคทองแห่งเนปาล
ช่วงเวลายุคมืดของเนปาลในช่วงปลายราชวงศ์ลิจฉวีได้ดำเนินต่อเนื่องหลังจากสิ้นสุดรัชสมัยของพระเจ้าชัยเทวาที่ 2 จนกระทั่งราชวงศ์ลิจฉวีล่มสลายในช่วงศตวรรษที่ 13 ซึ่งตลอดระยะเวลายุคมืดนั้น เนปาลก็ได้แตกออกเป็นอาณาจักรน้อยใหญ่ โดยมีอาณาจักรมัลละเป็นผู้ปกครองหุบเขากาฐมาณฑุ เนปาลในสมัยของราชวงศ์มัลละก็นับว่าเป็นอะไรที่มีการเติบโตมากมายไม่แพ้ในสมัยของราชวงศ์ลิจฉวี โดยภายในเวลา 2 ศตวรรษ ดินแดนของเนปาลก็ขยายกว้างไกล ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมของอาณาจักรก็รุ่งเรืองขีดสุดยิ่งกว่าในสมัยลิจฉวี
จนุรัสดูร์บาร์ในกาฐมาณฑุสมัยราชวงศ์มัลละ ภาพวาดสีน้ำโดยเฮนรี่ โอลด์ฟิลด์ ศิลปินชาวอังกฤษที่ทำงานเป็นหมอในเนปาล
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดพัฒนาสูงในช่วงสมัยมัลละนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เรียกขานกันว่ายุค 3 อาณาจักร หรือจะเรียกสามก๊กก็ยังได้ โดยหุบเขากาฏมาณฑุซึ่งเป็นที่ตั้งของอาณาจักรมัลละได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ปกครองโดยพระราชโอรส 3 พระองค์ซึ่งไม่ลงรอยกันและต่างฝ่ายต่างอยากเป็นกษัตริย์ปกครอง
และด้วยความที่เป็นพี่น้องกันจึงเกิดการแข่งขันว่าใครจัดการดูแลอาณาจักรได้ดีกว่ากัน เกิดการแข่งขันกันสูงทั้งในเรื่องของการค้าและศิลปวัฒนธรรมทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าวกลายเป็นอีกหนึ่งยุคทองของเนปาลท่ามกลางการแบ่งแยกนี้เอง
⭐กูรข่ากับการรวมชาติเนปาล อาณาจักรที่อังกฤษโค่นไม่ลง
พระเจ้าปฤถวี นารายัณ ศาหะ (ซ้าย)
ประวัติศาสตร์เนปาลได้เริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่หลังจากที่เกิดการรวมชาติเนปาลขึ้นมา อาณาจักรมัลละปกครองหุบเขากาฏมาณฑุมาเป็นเวลานานและยังไม่ได้ประสบกับความตกต่ำในระดับที่เรียกว่ายุคมืด อย่างไรก็ดีอยู่มาวันหนึ่งก็มีกลุ่มชนชาตินักรบเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่ปรารถนาจะทำการรวมแผ่นดินเนปาลที่แตกแยกเป็นอาณาจักรต่าง ๆ ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นมา พวกเขาก็คือชาวกูรข่า ที่นำโดย “พระเจ้าปฤถวีนารายัณ ศาหะ” โดยได้ทำการโจมตีหุบเขากาฐมาณฑุจนแตกพ่ายและเข้ายึดครองดินแดนได้สำเร็จและนำมาซึ่งการก่อตั้งอาณาจักรเนปาลในที่สุด
อาณาจักรเนปาลของพระเจ้าปฤถวีนารายัณ นับว่าเป็นอาณาจักรที่มีความพยายามในการสร้างสำนึกความเป็นชาติที่สูงมาก ๆ โดยทรงมีนโยบายปลุกสำนึกความเป็นเนปาลีที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติของผู้คนในพื้นที่ นัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการรวมชาตินี้ขึ้นมาก็สันนิษฐานกันว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการคืบคลานเข้ามาของชาวอังกฤษที่ได้ขึ้นมาปกครองเบงกอลในช่วงปี 1764 หรือ 4 ปีก่อนการรวมชาติเนปาล
1
โดยตัวของพระเจ้าปฤถวีนารายัณนั้นก็นับว่าทรงต่อต้านชาวต่างชาติอยู่พอตัวซึ่งสามารถสังเกตได้ผ่านนโยบายทางเศรษฐกิจของพระองค์ที่มุ่งเน้นไปที่ตลอดภายในอาณาจักรมากกว่าการออกไปติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ โดยการไล่ทำสงครามกับอาณาจักรน้อยใหญ่ในอินเดียของพระองค์ถูกมองว่าเป็นการรวบรวมกำลังเพื่อตั้งกองทัพต่อต้านบริติชด้วย
อาณาจักรเนปาลนับว่าเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งในเรื่องของการรบ ตลอดจนชำนาญในการต่อสู้บนภูมิประเทศภูเขาซึ่งเป็นถิ่นฐานของพวกเขา และนั่นเองที่ทำให้อาณาจักรเนปาลนี้รอดพ้นจากการถูกยึดครองโดยบริติชได้ พวกเขารบชนะอังกฤษในหลากหลายสมรภูมิที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามกูรข่า และทำให้ชาวกูรข่ากลายเป็นอีกหนึ่งกองกำลังสำคัญที่บริษัทอินเดียตะวันออกได้ทำสัญญาให้เป็นรัฐอารักขาของอังกฤษ ตลอดจนมีสถานะเป็นรัฐกันชนระหว่างอังกฤษกับจีนทำให้เนปาลเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของตะวันตก
สงครามกูรข่า หรือสงครามแองโกล-เนปาล
⭐การเมืองเรื่องเนปาล เสถียรภาพที่ยังไม่มั่นคง
เนปาลยังคงได้รับการปกครองโดยระบอบกษัตริย์และยังคงสถานะของความเป็นราชอาณาจักรเรื่อยมาตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 18 กระทั่งในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 แต่รู้หรือไม่ว่าในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของเนปาลนั้น พวกเขามีตำแหน่งที่ใกล้เคียงกับนายกรัฐมนตรีอยู่ด้วย แต่มีลักษณะงานที่ใกล้เคียงกับเสนาบดี อย่างไรก็ดีตำแหน่งดังกล่าวไม่ได้ทำให้พระราชอำนาจของกษัตริย์สั่นคลอนแต่อย่างใด สิทธิขาดทุกอย่างยังคงอยู่กับกษัตริย์เพียงแต่ว่ามีเสนาบดีเหล่านี้เป็นเหมือนกับผู้สนองพระบรมราชโองการ
1
จากราชวงศ์ซาห์ที่ก่อตั้งโดยพระเจ้าปฤถวีนารายัณ ก็ได้เปลี่ยนผ่านมาสู่ราชวงศ์รานา ซึ่งในรัชสมัยดังกล่าวนั้นมีนโยบายหนึ่งที่สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนบางกลุ่ม นโยบายนั้นก็คือนโยบายที่ปิดประเทศและตัดขาดจากชาวต่างชาติที่ทำให้พัฒนาการของประเทศหยุดชะงักไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ทำให้เกิดการปฏิวัติในปี 1951 ขึ้นมา ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของสภาเนปาล
ฝ่ายสภาเนปาลถ่ายภาพร่วมกับสมเด็จพระเจ้าตริภูวัน
แต่อย่างไรก็ดี เส้นทางสู่ประชาธิปไตยของเนปาลมันยากเย็นกว่านั้น เพราะกว่าที่พวกเขาจะสัมผัสถึงสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยจริง ๆ ก็ล่วงเข้าสู่ทศวรรษที่ 1990 ที่ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งใหญ่อย่างการสังหารหมู่ราชวงศ์เนปาลที่อ้างว่ากระทำโดยองค์รัชทายาทเองขึ้นมา ทำให้ บ้านเมืองเนปาลระส่ำระส่าย อีกทั้งยังอยู่ในช่วงสงครามกลางเมืองด้วย ทิศทางการเมืองเริ่มเปลี่ยน รัฐบาลประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสิ้นสุดลง พร้อม ๆ กับเปลี่ยนแปลงการปกครองของเนปาลให้กลายมาเป็นการปกครองแบบสาธารณรัฐแทน
⭐ดินแดนแห่งกสิกรรมและเขาเอเวอเรสต์
เนปาลนับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศเล็ก ๆ ที่ถ้ามองจากภายนอกคงจะไม่ได้เป็นประเทศที่โดดเด่นอะไรมากมายนักในเรื่องของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ถ้าหากเรามองลงไปดี ๆ จะเห็นว่าในเรื่องของเศรษฐกิจเนปาลนั้น มีรูปแบบของเศรษฐกิจที่น่าสนใจ
ประการหนึ่งเนปาลเป็นประเทศกสิกรรมซึ่งเป็นสิ่งที่สืบทอดมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในอดีตดังที่เราจะเห็นได้จากความเจริญของเศรษฐกิจในสมัยราชวงศ์ลิจฉวีที่ได้ยกเอาการกสิกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศตลอดจนส่งออกไปค้าขายกับต่างเมือง เนปาลในศตวรรษที่ 21 ก็เป็นเช่นเดียวกัน ยังคงมีการกสิกรรมเป็นหลัก ซึ่งผลผลิตอย่างผักและผลไม้ก็เป็นสินค้าส่งออกสำคัญ อีกทั้งยังมีอุตสาหกรรมสิ่งทอทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออก
โดยในทศวรรษที่ 2010s มีลูกค้ารายใหญ่เป็นกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป การส่งออกในส่วนนี้จึงมีส่วนช่วยสำคัญในพัฒนาการของเศรษฐกิจภายในประเทศเนปาลด้วยส่วนหนึ่ง
นอกเหนือจากการค้าและส่งออกแล้ว GDP ส่วนใหญ่ของเนปาลมาจากภาคบริการเป็นหลัก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ในเนปาล อันมีจุดขายสำคัญอย่างการพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่างเอเวอเรสต์ อีกทั้งยังมียอดเขาอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งจาก 10 อันดับยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกนั้น กว่า 8 แห่งอยู่ในประเทศเนปาลทั้งสิ้น
เขาเอเวอเรสต์ในหมู่เทือกเขาหิมาลัย
ทำให้เนปาลกลายเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวผู้รักในการผจญภัย และมีกำลังทรัพย์ในการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวด้วย อย่างไรก็ดี สถานการณ์ทางการเมืองของเนปาลในปัจจุบันนี้ก็นับว่าเป็นห่วง เพราะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของเนปาลโดยตรงอย่างไม่ต้องสงสัย และน่าจะใช้เวลาฟื้นฟูกันอีกพอสมควรเลยทีเดียว
จากราชอาณาจักรที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม เนปาลนับว่าเดินทางมาไกลเหลือเกิน อย่างไรก็ดีสถานการณ์ภายในของเนปาล ณ ปัจจุบันนี้ก็นับว่าเป็นอะไรที่อาจจะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของประเทศอย่างสูงเลยทีเดียว ก็คงได้แต่หวังว่าสถานการณ์ในเนปาลจะสามารถลดระดับเข้าสู่สภาวะปกติได้เร็ววัน และกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางของเหล่านักท่องเที่ยวผู้ที่ต้องการพิชิตยอดเขาสูงในประเทศแห่งขุนเขานี้ได้เหมือนอย่างที่เคยเป็น
เรื่อง : ณัฐรุจา งาตา
ภาพประกอบ : บริษัท ก่อการดี จำกัด
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
#ประวัติศาสตร์ #เนปาล #เศรษฐกิจ #สังคม #การเมือง #Bnomics #BBL #BangkokBank #ธนาคารกรุงเทพ
อ้างอิง:
Himalayan Dream Team. The Rich History of Nepal: From Ancient Kingdoms to Modern State.
Kathmandu Today. EU is largest buyer of Nepali garments.
Captivating History. The Unification of Nepal Explained in 13 Minutes.
Niranjan man Singh Basnyat. “Nepal: Unification Campaign in Chronological Order”
Laxmi Prasad Kharel. Administrative Role of Malla Kings of Later Medieval Period. in Nepalese Culture Vol. 17 : 47-56, 2024. Central Department of NeHCA, Tribhuvan University, Kathmandu, Nepal. DOI: https://doi.org/10.3126/nc.v17i1.64392
Friedrich-Ebert-Stiftung. Nepal's Road to Democracy: A Reflection.
โฆษณา