14 ก.ย. เวลา 09:43 • หนังสือ

The Day of The Triffids

John Wyndham (1951)
อิศรอักษร แปล
"นี่สิตัวอย่างของ reslience แบบ on ground จับต้องได้"
นี่ไม่ใช่หนังสือ OG Alien invader อย่าง War of The World (1898) ของ H.G. Wells แต่นี่คืออีกอีกทัศนะนึงโลกหลังหายนะ (อุกกาบาต ดาวตก หรือ ดาวเทียมตก ถถถ หนังสือไม่ได้ระบุไว้ชัด) และ ต้นไม้ตัดแต่งพันธุกรรมของโซเวียดที่ว่อนอยู่ทั่วอังกฤษ ผ่านตัวละครหลักที่โชคดีเหลือหลายดันผ่าตานอน รพ ยาว รอดอาการตาบอดฉับพลันที่คนหมู่มากได้เผชิญ
set up ของอาการตาบอดฉับพลัน ไร้ทางสู้และการถูกพืชที่มีเหล็กในเป็น deadly weapon แล้วนี่คือ combination สุดวายป่วงที่ชวนให้เราติดตามความสามารถของมนุษย์ได้ดีจริงๆของความสามารถในการปรับตัว ที่คนเรามักชอบพูดกันสมัยนี้ แต่หนังสือเล่มคือการตีความที่ลงดีเทลและ practical และ relate กับในความรู้สึกมากๆว่าถ้าเป็นเราแล้วเราจะทำอย่างไรเมื่อเจอสถานการณ์เดียว
เรื่องเล่าผ่านมุมมองของชายหนุ่มนักชีวธรรมดาที่โชคดีผ่าตารอดจากอาการตาบอด ระหกระเหินหาทางรอด สู้ไปคิดไป เอาตัวรอดไป ผมรู้สึกว่าหนังสือให้ความเป็นมนุษย์กับตัวละครไม่ใช่แค่พระเอกแต่เป็นแทบทุกตัวละครได้ดีมาก ไม่แปลกเลยที่จะถูกนำไปเป็นเชื้อไฟให้กับหนังและซีรีย์ดังอย่าง 28Days later และซีรีย์อย่าง The Walking Dead
มีดราม่าจริงขยี้ในระดับนึง แต่ไม่มากจนชวนเอียนผมว่าผู้เขียนพยามสื่อถึงความอันตรายในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองใหม่ๆที่เราทุกคนกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นและก็อยากจะจินตนาการด้วยว่าถ้ามนุษย์เจอ Set up โหดๆแบบนี้แล้วจะปรับตัวออกมาในดี ในไม่ดี มิติเป็นอย่างไร อันนี้เป็นสารสำคัญที่ห้อยมากับความบันเทิงแบบค่อยเป็นค่อยไปตลอดเล่ม
สนุกและได้เห็นความเป็น OG ชวนคิด ชวนตกผลึกกับตัวเองได้พอควรว่าชีวิตเราเองนั้นเปราะบางได้แค่ไหนกัน และแม้จะเปราะบางแต่ถ้าเตรียมพร้อมและไม่ประมาท ความหวังและ action ที่สอดคล้องก็ไม่แย่เสียทีเดียวที่จะลองสักตั้ง
ข้อขบคิดส่วนตัว (ระวังสปอยน้าาา)
- การล้มแล้วลุก การปรับตัว ผมว่าเล่มนี้เตือนสติเราได้แรงดีครับ ตัวเอกเจอเรื่องสุดคาดฝันมากมาย คนส่วนใหญ่ตาบอดเอย พืชกินคนสุดอันตรายเอย ภัยจากความเห็นแก่ตัวของมนุษย์เอย การเลี้ยงปากท้องเอย ทักษะที่ต้องฝึกใหม่เอย แต่หนังสือก็ไม่ได้ใส่อภินิหารเข้ามาแต่อย่างใดแต่กลับค่อยเป็นค่อยไปเป็นลำดับ ทำให้ผมรุ้สึก relate และคล้อยตามใน set up นี้ไม่น้อยชวนนึกถึงตัวเองแม้ไม่ได้เจอสถานการณ์โหดร้ายแบบนั้น แต่เราเองก็ควรเตรียมตัวรับกับภัยหรือความท้าทายที่จะเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน
- อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็เปรียบเหมือน shortcut ทำให้เราเห็นคนในหลากหลายรูปแบบ และ ชวนให้ผมคิดถึงแนวทางที่ผมยึดถืออยู่อย่างการ focus ที่ input และทำให้มันดีขึ้นเรื่อยๆในทุกๆวัน เพราะเราไม่สามารถควบคุบสิ่งใดในที่นี้คือผลลัพธ์ได้จริงๆเลย มันเป็นเพียงแค่ by product ของการพยายาม และการอ่านหนังสือเล่มนี้ก็ทำให้ผมมีความกว้างที่จะมองโลกในมุมที่มากกว่าที่เป็นอยู่ได้ไม่น้อยทีเดียว
อย่างน้อยจากที่เคยมองเรื่องของการสร้าง value ให้สังคมรอบตัวในระดับนึงแล้วถ้าเป็นไปได้ก็อย่างจะเพิ่มให้มากขึ้น อืมมมม ว่าไปก็ช่วยเบาบางกิเลสลงได้ดีไม่น้อยทีเดียว
- ขอแวะสักนิดที่ตัวหนังสือเองที่เขียนในปี 1951 ก็เป็นการสะท้อนบริบทของคนในยุคสงครามเย็นได้ชัดเจนดีเลย ในยุคที่เรากลัวว่าเมื่อไหร่อีกฝั่งจะโจมตีเราด้วยอาวุธพิฆาตแบบไหนหรือไม่ และถ้าโลกเราเข้าสู่ post apocalypse จริงๆ เราจะต้องเจออะไรกันนะ ซึ่งหนังสือก็พยามเอา setting ที่ว่ามาผูกสะท้อนให้คนเราคิดบางอย่าง หรือ เกิดประกายความคิดที่จะกระทำ หรือ เตรียมการบางอย่าง just in case และผมก็ชอบความ look at good side ของผู้เขียนด้วยละครับ ถถถ แม้จะแอบลิเกไปสักนิด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา