14 ก.ย. เวลา 13:30 • สิ่งแวดล้อม

ไม่ใช่แค่รักษาป่า แต่คือรักษาชีวิต ค้นพบเขตชนเผ่า ป้อมปราการสุดท้ายที่ปกป้องเราจากโรคระบาด

สุขภาพของมนุษย์กับสุขภาพของโลก เรามักจะมองสองสิ่งนี้แยกออกจากกัน เราสร้างโรงพยาบาลที่ทันสมัยเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่า
1
แต่จะเป็นอย่างไรถ้าผมจะบอกว่ากำแพงที่กั้นระหว่างโรงพยาบาลกับผืนป่านั้น แท้จริงแล้วบางเบากว่าที่เราคิด และชะตากรรมของสุขภาพเรานั้นผูกพันอยู่กับชะตากรรมของผืนป่าอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผืนป่าที่ถูกดูแลรักษาไว้ด้วยลมหายใจและจิตวิญญาณของชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งอาจจะเป็นป้อมปราการด่านสุดท้ายที่ปกป้องเราทุกคนจากโรคร้ายและโรคระบาดที่กำลังคุกคามโลกใบนี้อยู่
วันนี้ ผมมีเรื่องราวจากการศึกษาครั้งประวัติศาสตร์ที่เปรียบเสมือนการเดินทางอันยาวไกลถึง 20 ปี เข้าไปสำรวจใจกลางปอดของโลกอย่างผืนป่าแอมะซอน เพื่อค้นหาคำตอบของคำถามที่ว่าเขตแดนของชนเผ่าพื้นเมืองนั้น มีบทบาทในการปกป้องสุขภาพของมนุษย์เราได้อย่างไร
ผลการวิจัยชิ้นนี้ที่ตีพิมพ์ลงในวารสารชั้นนำในเครือ Nature อย่าง Communications Earth & Environment ไม่ได้ให้คำตอบที่เรียบง่าย แต่กลับเผยให้เห็นภาพความจริงอันซับซ้อนที่น่าทึ่ง มันคือข้อพิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่า ภูมิปัญญาดั้งเดิมและสิทธิในการปกป้องผืนดินของชนเผ่า คือหนึ่งในยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุขที่ทรงพลังที่สุดที่เราอาจมองข้ามไป
1
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากวิกฤตการณ์สองด้านที่กำลังรุมเร้าป่าแอมะซอนและผู้คนที่อาศัยอยู่รอบๆ
วิกฤตแรกคือ "ไฟป่า" ที่เกิดจากการลักลอบเผาเพื่อแผ้วถางพื้นที่ทำการเกษตร ซึ่งได้ปลดปล่อยฆาตกรล่องหนอย่างฝุ่นพิษ PM2.5 ออกมาในปริมาณมหาศาล ฝุ่นพิษเหล่านี้คือต้นตอโดยตรงของโรคในระบบทางเดินหายใจและโรคหัวใจที่คร่าชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน
วิกฤตที่สองคือการรุกล้ำผืนป่า ซึ่งเป็นการทำลายบ้านของสัตว์ป่าและเชื้อโรคต่างๆ ทำให้พวกมันต้องระหกระเหินเข้ามาใกล้ชิดกับมนุษย์มากขึ้น และนำมาซึ่งความเสี่ยงของ โรคติดต่อจากสัตว์สู่คนไม่ว่าจะเป็นมาลาเรีย ริคเก็ตเซีย หรือไวรัสอุบัติใหม่ต่างๆ ที่อาจกลายเป็นโรคระบาดครั้งต่อไปของโลก
ท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่ดูเหมือนจะมืดมนนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตเห็น "แสงสว่าง" ในพื้นที่ที่ถูกโอบล้อมด้วยเขตแดนของชนเผ่าพื้นเมือง
พวกเขาพบว่าผืนป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์และสมดุลที่สุด มักจะเป็นดินแดนที่ได้รับการดูแลโดยผู้คนที่มีความผูกพันกับผืนป่ามานับพันปี ชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้ซึ่งมีจำนวนเพียงหยิบมือเมื่อเทียบกับประชากรโลก กลับกลายเป็นผู้พิทักษ์ผืนดินและระบบนิเวศที่สำคัญที่สุด
คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า แล้วป้อมปราการที่มีชีวิตเหล่านี้ จะสามารถปกป้องสุขภาพของผู้คนโดยรอบได้จริงหรือไม่?
หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่สั่งสมมาตลอดสองทศวรรษ คำตอบที่ได้ก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาอย่างน่าทึ่ง สำหรับโรคที่เกิดจากไฟป่าและฝุ่นพิษ PM2.5 นักวิจัยพบว่าเขตชนเผ่าสามารถทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังที่ช่วยลดอัตราการเกิดโรคทางเดินหายใจได้จริง
แต่เกราะกำบังนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมันถูกตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ กล่าวคือ ต้องมีผืนป่านอกเขตแดนของพวกเขาเหลืออยู่มากพอที่จะช่วยกรองและดูดซับมลพิษ หากรอบนอกกลายเป็นพื้นที่โล่งเตียนไปหมดแล้ว ป่าผืนเล็กๆ ในเขตชนเผ่าเพียงหย่อมเดียวก็ไม่อาจต้านทานพายุฝุ่นพิษที่พัดพามาได้ นี่คือบทเรียนที่สำคัญว่าการอนุรักษ์ต้องทำอย่างเป็นองค์รวม ไม่ใช่แค่การปกป้องพื้นที่เป็นจุดๆ
ส่วนในกรณีของโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนนั้น ความสัมพันธ์ก็ซับซ้อนไม่แพ้กัน นักวิจัยพบว่าผืนป่าที่หนาแน่นและมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง (ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกเขตชนเผ่า) คือกุญแจสำคัญในการรักษาสมดุลของสัตว์พาหะและลดความเสี่ยงของโรคระบาดลงได้
หากผืนป่าครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 40% ของชุมชนนั้นๆ ความเสี่ยงก็จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เรื่องราวจากป่าแอมะซอนนี้ได้สอนบทเรียนที่ล้ำค่าแก่เราว่า สุขภาพที่ดีไม่ได้เริ่มต้นและจบลงที่รั้วโรงพยาบาล แต่มันเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับสุขภาพของโลกใบนี้ การอนุรักษ์ธรรมชาติไม่ใช่เรื่องไกลตัวของคนในเมืองอีกต่อไป
แต่มันคือการลงทุนเพื่อสุขภาพของเราทุกคนในระยะยาว และเราต้องเริ่มเปลี่ยนมุมมองต่อชนเผ่าพื้นเมือง จากกลุ่มคนที่อาจถูกมองว่าล้าหลัง ให้กลายเป็นผู้พิทักษ์แนวหน้าของสุขภาพโลก ที่กำลังปกป้องพวกเราทุกคนด้วยภูมิปัญญาและวิถีชีวิตของพวกเขาครับ
แหล่งอ้างอิง:
Barreto, J. R., Palmeirim, A. F., Sangermano, F., et al. (2025). Indigenous Territories can safeguard human health depending on the landscape structure and legal status. Communications Earth & Environment, 6(719). https://doi.org/10.1038/s43247-025-02620-7
โฆษณา