15 ก.ย. เวลา 10:28 • ประวัติศาสตร์

ความฝันในหอแดง 27 ขบวนส่งศพฉินสื้อ

ใกล้วันส่งศพเข้ามาทุกที เจี่ยเจินขึ้นรถนำหมอพิธีกรรมหลวง 阴阳司吏 มายังวัดลูกกรงเหล็ก 铁槛寺 (วัดเถี่ยเจี้ยน) เพื่อสำรวจที่ฝังศพ พร้อมทั้งกำชับเจ้าอาวาสเส้อคง 色空 ให้เปลี่ยนเครื่องใช้ในพิธีให้เป็นของใหม่ เชิญพระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงมาร่วมพิธี
เส้อคงสั่งให้เตรียมอาหารเย็น แม้เจี่ยเจินไม่มีใจจะอยู่รับน้ำชาหรืออาหาร แต่เนื่องจากฟ้าใกล้ค่ำเข้าเมืองไม่ได้ จึงจำต้องแรมคืนที่วัดเสียคืนหนึ่ง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เจี่ยเจินรีบกลับเข้าเมืองมาเตรียมงาน ส่งคนมายังวัดลูกกรงเหล็ก ให้ทำการตกแต่งสถานที่จัดพิธีเสียใหม่ในคืนนั้น รวมทั้งตระเตรียมเสบียงอาหารสำหรับรับรองแขกเหรื่อที่จะมาร่วมพิธี
พี่เฟิ่งเห็นวันส่งศพใกล้เข้ามา ก็มีการเตรียมการล่วงหน้า จัดเตรียมคนรถและเกี้ยวที่จะติดตามหวางฮูหยินไปส่งศพ และเตรียมที่สำหรับตนในงานพิธี
ระหว่างนี้ยังมีงานอื่นๆ มาแทรก ฮูหยินพระราชทานของส้านกว๋อกง 缮国公 ถึงแก่อสัญกรรม สิงฮูหยิน หวางฮูหยินต้องไปพิธีศพ จัดส่งของขวัญวันเกิดแก่สนมของซีอันจวิ้นอ๋อง 西安郡王 ฮูหยินของเจิ้นกว๋อกง 镇国公 ให้กำเนิดบุตรคนแรก หวางเหยิน 王仁 พี่ชายของนางเองกับครอบครัวจะย้ายกลับไปทางใต้ ต้องเขียนจดหมายถึงทางบ้านอีกทั้งจัดของฝาก หยิงชุน 迎春 ล้มป่วยต้องตามหมอมาตรวจและจัดยาตามใบสั่ง งานจิปาถะ วุ่นจนพี่เฟิ่งไม่เป็นอันกินนอน มาจวนหนิงคนก็มาหา กลับจวนหยงคนก็มาหา แม้จะยุ่งเพียงใด พี่เฟิ่งก็จัดการได้เรียบร้อย ผู้คนต่างชม
เย็นวันปั้นซู่ 伴宿 ก่อนวันส่งศพ มีคณะนักแสดงเบ็ดเตล็ดสองคณะจัดแสดงสำหรับญาติมิตรที่มากันแน่น นางอิ๋วสื้อนอนป่วยอยู่ในห้อง ทุกอย่างจึงต้องอาศัยพี่เฟิ่งคนเดียวเป็นผู้ดูแล แม้ในจวนจะมีสะใภ้อีกหลายนาง บ้างก็ประหม่าบ้าใบ้ บ้างก็ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเวลาพบแขกผู้ใหญ่ บ้างก็ทำอะไรไม่เป็น พี่เฟิ่งจึงกลายเป็นจุดแดงในดงเขียว จัดการทุกอย่าง เย็นวันนั้น ทั้งจวนจึงสว่างไสวคึกคักตลอดคืนยันสว่าง
ถึงฤกษ์ในวันรุ่งขึ้น คณะผู้เชิญศพหกสิบสี่นายล้วนแต่งกายชุดสีน้ำเงิน ธงผืนใหญ่นำขบวนจารึกอักษร
“โลงศพของอี๋เหยินสกุลฉินบ้านเจี่ยวัยกลางคนแห่งองครักษ์พิทักษ์มังกรห้องมุขหลานสะใภ้หนิงกว๋อกงลำดับหนึ่งพระราชทาน 诰封一等宁国公冢孙妇防护内廷紫禁道御前侍卫龙禁尉享强寿贾门秦氏宜人之灵柩”
และเครื่องประกอบพิธีจัดเตรียมใหม่เอี่ยมละลานตาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
(วัยกลางคน 享强寿 อาจเป็นคำประชดของเฉาเสวี่ยฉินผู้ประพันธ์ ฉินเข่อชิงเสียชีวิตในวัยยี่สิบกว่าปีนับว่าอายุสั้น)
แขกเหรื่อที่มาร่วมส่งศพมี หนิวซี่จง 牛继宗 ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งหลานของเจิ้นกว๋อกงหนิวชิง 镇国公牛清 หลิ่วฟาง 柳芳 ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งหลานของหลี่กว๋อกงหลิ่วเปียว 理国公柳彪 ……ไล่ไปจนครบตัวแทนของกงทั้งแปด 八公 ……ตามด้วยลูกท่านหลานเธอตัวแทนของเหล่าอ๋อง และขุนนางใหญ่ นั่งเกี้ยวใหญ่เล็กนับร้อย เข้าขบวนยาวเหยียดเป็นระยะทางสามถึงสี่ลี้
ขบวนเดินทางได้ไม่นาน ก็มาถึงปะรำพิธีสี่หลังที่ตั้งไว้ก่อนระหว่างทาง มีโต๊ะจัดเลี้ยงรอต้อนรับ วงดนตรีบรรเลง ปะรำเหล่านี้สำหรับเซ่นไหว้ระหว่างทาง 路奠 โดยปะรำที่หนึ่งเป็นของจวนอ๋องเมืองตงผิง 东平郡王 ปะรำที่สองของจวนอ๋องเมืองหนานอาน 南安郡王 ปะรำที่สามของจวนอ๋องเมืองซีหนิง 西宁郡王 ปะรำที่สี่ของจวนอ๋องเมืองเป่ยจิ้ง 北静郡王
ระหว่างอ๋องทั้งสี่นี้ เดิมทีเป่ยจิ้งอ๋องมีสถานะสูงสุด ปัจจุบันสืบทอดมาถึงรุ่นหลาน เป่ยจิ้งอ๋องสื้อหยง 北静王世荣 อายุยังน้อย หน้าตาหล่อเหลา นิสัยอ่อนโยน เนื่องจากรุ่นปู่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันสนิทสนม พอได้ข่าวหลานสะใภ้จวนหนิงเสีย วันก่อนก็ไปร่วมพิธีที่จวน มาวันนี้ก็ตั้งปะรำพิธีเซ่นไหว้ระหว่างทาง 路奠 โดยให้ผู้ใต้บังคับบัญชามาคุมงาน ตัวเองไปเข้าเฝ้าเช้าก่อนเมื่อยามห้า เสร็จจากเข้าเฝ้าก็เปลี่ยนชุดสามัญขึ้นเกี้ยวใหญ่มีม้าล่อตีนำ กางร่มมารออยู่ยังปะรำพิธี
ขบวนจากจวนหนิงเคลื่อนมาดังขุนเขาสีเงินยวงเคลื่อนมาจากทางเหนือ มีผู้แจ้งให้เจี่ยเจินรู้ล่วงหน้า พอมาถึงปะรำ เจี่ยเจินก็สั่งให้หยุดขบวน แล้วนำเจี่ยเส้อ เจี่ยเจิ้งมาคารวะทักทายตามพิธีการ สื้อหยงนั่งอยู่ในเกี้ยวยิ้มรับการคารวะดังคนรู้จักคุ้นเคย มิได้เจ้ายศเจ้าอย่าง
เจี่ยเจินว่า “งานศพสะใภ้ของกระหม่อม ทำให้ต้องลำบากพระวรกายเสด็จมา”
สื้อหยงยิ้มว่า “ด้วยมิตรภาพระหว่างครอบครัวของเราทั้งสอง มิจำต้องกล่าวเช่นนี้”
แล้วหันไปสั่งให้เจ้าพนักงานกระทำพิธีเซ่นไหว้ พวกเจี่ยเจินยืนรออยู่ด้านข้าง
พอเสร็จพิธี สื้อหยงก็ถามเจี่ยเจิ้ง 贾政 ว่า
“คนไหนคือบุตรชายของท่าน ข้าใคร่พบตัวมานานแล้ว วันนี้ต้องอยู่ที่นี่เป็นแน่ เชิญตัวมาพบข้าที”
เป่าวี่เคยได้ยินเกียรติคุณของเป่ยจิ้งอ๋องสื้อหยง งามทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ ไม่ถือตัว อยากพบมานานแล้ว ติดขัดอยู่ที่ท่านพ่อ พอรู้ว่าตามตัวไปพบ ก็ลิงโลดรีบแล่นมาพบยังเกี้ยวท่านอ๋อง
(จบบทที่สิบสี่)
เป่าวี่เหลือบตาขึ้นมองเป่ยจิ้งอ๋องสื้อหยง เห็นสวมหมวกปีกสีเงินพู่สีขาว สวมชุดมังกรขาวห้าเล็บขลิบพื้นคลื่นทะเล คาดเข็มขัดหยกขาว เป่าวี่เข้ามาคารวะ สื้อหยงยื่นมือจากในเกี้ยวมาพยุงเป่าวี่ชมว่า
“ช่างสมคำร่ำลือ เปรียบเสมือนหยกงาม”
แล้วถามต่อว่า
“หยกวิเศษที่คาบมาแต่เกิดอยู่ที่ใด”
เป่าวี่จึงล้วงจากในเสื้อถอดส่งให้ชม สื้อหยงอ่านอักษรบนหยกแล้วถามว่า
“ศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ”
เจี่ยเจิ้งรีบตอบว่า “แม้จะกล่าวกันเช่นนั้น แต่หาได้เคยทดสอบ”
สื้อหยงเอ่ยชมว่าประหลาด จัดระเบียบสร้อยสวมกลับให้เป่าวี่ แล้วจับมือเป่าวี่สอบถามเรื่องอายุ และหนังสือว่ากำลังเรียนอะไรอยู่ เป่าวี่ตอบทุกเรื่อง สื้อหยงเห็นเป่าวี่พูดจาฉะฉาน จึงหันมากล่าวกับเจี่ยเจิ้งว่า
“บุตรของท่านเปรียบดังมังกรหนุ่มหงส์ดรุณ มิใช่ข้าจะกล่าวกับผู้อาวุโสอย่างเลื่อนลอย วันหน้าหงส์ดรุณนี้ย่อมผงาดเป็นหงส์ฉกรรจ์ มิอาจประมาณ”
เจี่ยเจิ้งยิ้มว่า “ลูกสุนัข 犬子 มิกล้ารับคำสรรเสริญอันทรงค่า หากเป็นจริงดังว่า ก็นับเป็นวาสนาด้วยพระบารมี”
สื้อหยงว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติของบุตรชายท่าน คงเป็นที่รักยิ่งของฮูหยินผู้เฒ่า ทว่าเยาวชนเยี่ยงพวกเรามิควรได้รับการพะเน้าพะนอจนเกินควร อันมักนำไปสู่การขาดความเพียรในการศึกษา ข้าเองเคยผ่านเส้นทางช่วงนี้มาแล้ว จึงคาดว่าบุตรของท่านไม่แคล้วเป็นเช่นกัน หากอยู่บ้านมีปัญหานี้ มิสู้หมั่นมาเยือนวังของข้า 寒坻 แม้ข้าจะด้อยสามารถแต่มักมีเหล่านักปราชญ์ผู้คงแก่เรียนในบ้านเมืองแวะเวียนมาชุมนุมกันอยู่เสมอ หากบุตรของท่านหมั่นมาร่วมเสวนา ย่อมเป็นประโยชน์ต่อความก้าวหน้าทางการศึกษา”
เจี่ยเจิ้งรีบค้อมกายตอบว่า “ขอรับ”
สื้อหยงถอดประคำสวดมนตร์จากข้อมือส่งให้เป่าวี่ว่า
“พบกันวันนี้เป็นครั้งแรกอย่างกระทันหัน ไม่มีสิ่งใดจะมอบให้ นี่เป็นสร้อยประคำไม้หลิงหลิงเซียง 蕶苓香 พระราชทาน จึงขอมอบให้แสดงความนับถือ”
เป่าวี่รีบรับไว้แล้วหันมาส่งต่อให้เจี่ยเจิ้ง เจี่ยเจิ้งนำเป่าวี่คารวะขอบพระคุณ
เจี่ยเส้อ เจี่ยเจินเข้ามาคำนับเชิญให้เสด็จกลับ สื้อหยงว่า
“ผู้ล่วงลับไปสู่แดนสวรรค์แล้ว หาใช่ปุถุชนเดินดินเช่นพวกเรา อ๋องผู้น้อย 小王 แม้จะเป็นผู้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ อีกทั้งร่วมเชื้อพระวงศ์ แต่ใช่ว่าจะอาจล่วงหน้ายานสวรรค์ 仙輀”
เจี่ยเส้อกล่าวขอบพระทัย แล้วสั่งให้นักดนตรีหยุดบรรเลงเพลง เคลื่อนขบวนศพต่อไปข้างหน้าให้พ้นทางเพื่อให้เป่ยจิ้งอ๋องเสด็จกลับได้
ขบวนแห่ศพของจวนหนิงเคลื่อนต่อมาอย่างคึกคักจนถึงประตูเมือง ยังมีเพื่อนร่วมงานและลูกน้องของเจี่ยเส้อ เจี่ยเจิ้ง เจี่ยเจินมาตั้งปะรำรอเซ่นไหว้ ต้องขอบคุณไปทุกรายก่อนจะเคลื่อนออกจากเมืองมาตามทางหลวงมุ่งสู่วัดลูกกรงเหล็ก
เจี่ยเจิน เจี่ยหยงมาเชิญผู้อาวุโสขึ้นเกี้ยวขึ้นม้า เจี่ยเส้อนำรุ่นอักษรเหวิน 文 ของตนขึ้นเกี้ยว เจี่ยเจินนำรุ่นวี่ 玉 ของตนขึ้นม้า พี่เฟิ่งเกรงว่าออกนอกเมืองแล้วเป่าวี่จะทำอะไรออกนอกลู่นอกทางจึงให้ตามเป่าวี่มายังหน้ารถแล้วว่า
“น้องรัก เจ้าเป็นคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ควรสงวนตัวเหมือนกุลสตรี อย่าทำตัวเป็นลิงเป็นค่าง ขึ้นมานั่งรถไปกับข้าดีดี จะดีไหม”
เป่าวี่ลงจากม้า มาขึ้นรถแล้วนั่งคุยไปกับพี่เฟิ่ง
สักพัก มีชายขี่ม้าสองคนมาจากทิศตรงข้ามตรงมาหาพี่เฟิ่ง ลงจากม้ามาเดินประกบข้างรถแล้วว่า
“ข้างหน้ามีที่พัก เชิญคุณนายแวะพักเปลี่ยนเสื้อ”
พี่เฟิ่งให้ทั้งสองไปแจ้งสิงฮูหยิน หวางฮูหยินและขอทราบคำสั่ง ทั้งสองกลับมาแจ้งว่า
“พวกไท่ไท่ไม่แวะพัก แต่บอกให้คุณนายตามแต่สะดวก”
พี่เฟิ่งจึงสั่งให้แวะพัก บ่าวนำทางแยกขบวนมาทางเหนือ
เป่าวี่ให้คนไปตามฉินจงมา ฉินจงขี่ม้าตามหลังเกี้ยวบิดาของตนอยู่ พอบ่าวมาตาม จึงมองมาเห็นม้าของเป่าวี่ตามหลังขบวนรถมาทางเหนือ รู้ว่าเป่าวี่อยู่กับพี่เฟิ่ง จึงเร่งขี่ม้าตามมายังเรือนชนบทหลังหนึ่ง
เรือนชาวไร่หลังนั้นมีห้องให้หลบไม่มากนัก เหล่าแม่บ้านชนบทเห็นพี่เฟิ่ง เป่าวี่ ฉินจงแต่งกายงดงามมีสง่า อดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นชาวสวรรค์ลงมาจากฟากฟ้า
พี่เฟิ่งเข้ามาในเรือนมุงหญ้า สั่งให้พวกเป่าวี่ออกไปเล่นข้างนอก ซึ่งถูกใจเป่าวี่ชวนฉินจงกับพวกบ่าวออกมาเดินสำรวจ เห็นข้าวของเครื่องใช้ในเรือนชนบทแปลกตาไม่เคยเห็นมาก่อน เรียกชื่อไม่ถูกและไม่รู้ว่าเอาไว้ใช้อย่างไร พวกบ่าวที่รู้จักก็ชี้แจงให้รู้แต่ละอย่างไป
เป่าวี่ฟังแล้วผงกหัวกล่าวว่า
“มิน่าเล่าบทกวีโบราณจึงมีว่า
“谁知盘中餐,粒粒皆辛苦
พึงรู้ไว้อาหารในแต่ละจาน
ทุกเมล็ดล้วนแรงงานอันแสนเข็ญ”
ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง”
กล่าวพลางเดินพลางจนเข้ามาในห้องหนึ่ง มีกงล้อปั่นด้ายอยู่บนเตียงผิง เห็นแล้วแปลกใจนัก พวกบ่าวบอกว่า
“นี่คือเครื่องปั่นด้ายสำหรับทอผ้า”
เป่าวี่ขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วโยกหมุนดู เด็กสาวชนบทอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดรีบเข้ามาว่า
“อย่าทำของเสีย”
พวกบ่าวชิงกันมาเอ็ดว่า
เป่าวี่หยุดมือแล้วว่า “ข้าไม่เคยเห็น จึงลองเล่นดู”
เด็กสาวว่า “ท่านปั่นไม่เป็น เดี๋ยวข้าปั่นให้ดู”
ฉินจงลอบยุดมือเป่าวี่ว่า “แม่หนูนี่น่าสนใจ”
เป่าวี่ผลักมือไปแล้วว่า “ยังพูดเหลวไหล ข้าจะตีเจ้า”
เด็กสาวลงมือปั่นด้าย น่าชมยิ่งนัก พลันมีเสียงตะโกนเรียกมาว่า
“ยายหนูรอง รีบมานี่”
เด็กสาวหยุดปั่นด้ายแล้วรีบไปหา เป่าวี่เองก็หมดความสนใจ
พี่เฟิ่งส่งคนมาตามทั้งสองไปหา พี่เฟิ่งล้างมือเปลี่ยนชุดใหม่แล้วถามว่าจะเปลี่ยนชุดไหม
เป่าวี่ว่า “ไม่เปลี่ยน”
พวกแม่บ้านยกน้ำชาและเครื่องเคียงมาให้ พวกพี่เฟิ่งกินเสร็จรอเขาเก็บชุดน้ำชาเรียบร้อยแล้วก็พากันขึ้นรถ ด้านนอก ว่างเอ๋อ 旺儿 แจกจ่ายเงินรางวัลให้ชาวบ้านอยู่ เป่าวี่เพ่งมองหาแต่ไม่เห็นเด็กสาวปั่นด้ายคนนั้นในกลุ่มคนที่มารอรับเงินรางวัล
รถเคลื่อนมาได้ไม่ไกล ยายหนูรองอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่ง ยืนอยู่กับเด็กหญิงอีกสองคนอยู่หน้าหมู่บ้านมองมายังขบวนรถ เป่าวี่อยู่บนรถเหลียวมองอย่างชื่นชม รถเคลื่อนว่องไวนัก พริบตาเดียวนางก็หายลับไปจากสายตาไม่เหลือร่องรอย ไม่ทันนาน ก็ตามมาทันขบวนส่งศพใหญ่
เหล่าสงฆ์วัดลูกกรงเหล็กออกมาตั้งแถวรอรับขบวนอยู่สองข้างทางหน้าวัด มีกลองฉาบของวัดประโคมพร้อมธงทิว ขบวนเข้าสู่วัด ตั้งแท่นเครื่องหอมใหม่ ทำพิธีกรรมทางพุทธ โลงศพถูกนำไปไว้ยังห้องด้านข้าง เป่าจู 宝珠 จัดแจงที่นอนสำหรับเฝ้าศพ
ด้านนอก เจี่ยเจินรับรองญาติมิตรแขกเหรื่อ บ้างก็นั่งลงรับประทานอาหาร บ้างก็ขอตัวกลับ เจี่ยเจินทยอยขอบคุณและส่งแขกเป็นชุดๆ ไล่จาก กง 公 โหว 侯 ป๋อ 伯 จื่อ 子 หนาน 男 ไล่ตามลำดับจนปลายยามเว่ย 未 (15:00 น.) จึงกลับกันหมด
ด้านใน พี่เฟิ่งรับรองและส่งแขกสตรี เริ่มจากระดับพระราชทาน ไล่ไปจนจบเอาราวยามเว่ย 未 เช่นกัน
จะมีเพียงญาติใกล้ชิดในตระกูลไม่กี่คนอยู่ปฏิบัติพิธีในลัทธิเต๋าสามวันแล้วจึงกลับ พี่เฟิ่งนั้นยังไม่กลับแน่ สิงฮูหยิน หวางฮูหยินจะกลับเลยโดยจะพาเป่าวี่กลับเข้าเมืองด้วย แต่เป่าวี่ยังรักจะเที่ยวเล่นอยู่ชานเมืองจึงไม่ยอมกลับ ขออยู่กับพี่เฟิ่ง สิงฮูหยิน หวางฮูหยินจึงต้องฝากฝังไว้กับพี่เฟิ่งแลัวกลับเข้าเมืองก่อน
ตอนก่อนหน้า : ซีเฟิ่งกำกับจวนหนิง
ตอนถัดไป : ซีเฟิ่งลุแก่อำนาจ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา