4 ชั่วโมงที่แล้ว • สุขภาพ

แอสไพริน ยาสามัญร้อยปี พลิกวงการรักษามะเร็ง ผลวิจัยชี้ ลดเสี่ยงกลับมาเป็นซ้ำได้เกินครึ่ง

ในโลกของเภสัชกรรมที่เต็มไปด้วยการค้นคว้าและพัฒนายาใหม่ๆ ที่มีราคาสูงลิ่วและเทคโนโลยีที่ซับซ้อน บางครั้งเราอาจจะหลงลืมไปว่าขุมทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุดอาจจะซ่อนอยู่ในสิ่งที่เราคุ้นเคยและมองข้ามมาโดยตลอด
ผมกำลังพูดถึงยาเม็ดสีขาวเล็กๆ นั่นคือ "แอสไพริน" ยาที่มีอายุมากกว่าหนึ่งศตวรรษนี้ ได้เดินทางผ่านกาลเวลาจากยาแก้ปวดลดไข้ มาสู่การเป็นยาสำคัญในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
แต่วันนี้ผมมีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นและน่าทึ่งที่สุดเรื่องหนึ่งของยาตัวนี้มาเล่าให้ฟัง มันคือการค้นพบที่อาจจะกำลังพลิกโฉมหน้าวงการรักษามะเร็ง และมอบความหวังครั้งใหญ่ให้กับผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลก ด้วยอาวุธที่เรียบง่ายและหาได้ง่ายที่สุดชิ้นหนึ่ง
เรื่องราวนี้มีจุดเริ่มต้นจากความท้าทายอันน่ากลัวของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักซึ่งเป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก แม้ว่าการผ่าตัดในระยะแรกจะสามารถกำจัดก้อนมะเร็งออกไปได้
แต่ฝันร้ายที่แท้จริงของผู้ป่วยและทีมแพทย์คือการกลับมาเป็นซ้ำของโรค ซึ่งเกิดขึ้นกับผู้ป่วยมากถึง 20-40% และมักจะมาในรูปแบบของการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นที่ทำให้การรักษายากขึ้นและมีอันตรายถึงชีวิต
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้เริ่มสังเกตเห็นความเชื่อมโยงที่น่าสนใจบางอย่างระหว่างการใช้ยาแอสไพรินกับความเสี่ยงที่ลดลงของมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมของก้อนมะเร็งที่เฉพาะเจาะจง คือมีการกลายพันธุ์ของยีนในกลุ่มที่เรียกว่า "PIK3" ซึ่งทำหน้าที่เหมือนคันเร่งในการแบ่งตัวของเซลล์ แต่ข้อมูลที่ผ่านมายังคงเป็นเพียงข้อสังเกตที่ขาดการพิสูจน์ที่หนักแน่น
และเพื่อที่จะหาคำตอบที่ชัดเจนที่สุดให้กับข้อสังเกตนี้ ทีมนักวิจัยชั้นนำจากสถาบันคาโรลินสกาในสวีเดนจึงได้ทำการทดลองทางคลินิกครั้งประวัติศาสตร์ที่ชื่อว่า "ALASCCA trial"
ซึ่งผลการศึกษาได้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอย่าง The New England Journal of Medicine นี่ไม่ใช่การศึกษาเชิงสังเกตการณ์อีกต่อไป แต่เป็นการทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุมอย่างรัดกุม ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสูงสุดในการพิสูจน์ประสิทธิภาพของยา
ทีมวิจัยได้รวบรวมผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่กว่า 3,500 คนทั่วยุโรป และได้ทำการตรวจชิ้นเนื้อมะเร็งของทุกคนเพื่อค้นหาผู้ป่วยกลุ่มที่มีการกลายพันธุ์ของยีน PIK3 ซึ่งพบได้ประมาณ 40% ของผู้ป่วยทั้งหมด จากนั้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มโดยการสุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับยาแอสไพรินในขนาดต่ำเพียง 160 มิลลิกรัมทุกวันเป็นเวลาสามปีหลังการผ่าตัด ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งได้รับยาหลอกที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการ
เมื่อเวลาผ่านไป ผลลัพธ์ที่ปรากฏออกมานั้นก็ชัดเจนจนน่าทึ่งและสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการแพทย์ ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีลักษณะทางพันธุกรรมที่จำเพาะเจาะจงนี้ การได้รับยาแอสไพรินสามารถลดความเสี่ยงที่มะเร็งจะกลับมาเป็นซ้ำได้มากถึง 55% หรือพูดง่ายๆ คือ ลดความเสี่ยงลงได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
นี่คือตัวเลขที่ทรงพลังอย่างยิ่ง และเป็นการเปิดศักราชใหม่ของ "การแพทย์ที่แม่นยำ" (Precision Medicine) ที่เราไม่ได้มองผู้ป่วยมะเร็งเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันอีกต่อไป แต่สามารถใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมของก้อนมะเร็งเพื่อเลือกอาวุธที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายได้
คำถามที่ตามมาคือ แล้วยาแก้ปวดธรรมดาๆ นี้เข้าไปหยุดยั้งมะเร็งได้อย่างไร?
นักวิจัยเชื่อว่ามันไม่ได้ทำงานผ่านกลไกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการโจมตีแบบหลายทิศทางพร้อมกัน
ประการแรกคือฤทธิ์ "ต้านการอักเสบ" ที่เป็นคุณสมบัติเด่นของแอสไพริน ซึ่งช่วยลดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของมะเร็ง
ประการที่สองคือความสามารถในการ "ยับยั้งการทำงานของเกล็ดเลือด" ซึ่งเป็นกลไกที่น่าสนใจมาก เพราะเกล็ดเลือดนั้นสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะคุ้มกันให้กับเซลล์มะเร็งที่หลุดรอดออกมาในกระแสเลือด ช่วยให้มันเดินทางไปสร้างรังใหม่ที่อวัยวะอื่นได้
การที่แอสไพรินเข้าไปขัดขวางกระบวนการนี้จึงเป็นการตัดเส้นทางการแพร่กระจายของมะเร็ง และประการสุดท้ายคือฤทธิ์ในการยับยั้งการเติบโตของเนื้องอกโดยตรง การทำงานร่วมกันของกลไกเหล่านี้เองที่ทำให้แอสไพรินกลายเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพอย่างไม่น่าเชื่อ
การค้นพบครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงความก้าวหน้าทางวิชาการเท่านั้น แต่มันมีความหมายอย่างยิ่งยวดในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะ "แอสไพริน" คือยาที่หาได้ง่าย มีอยู่ทั่วโลก และมีราคาที่ถูกอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับยามะเร็งสมัยใหม่ที่มักจะมีราคาสูงจนหลายคนเข้าไม่ถึง
นี่คือความหวังที่จับต้องได้สำหรับระบบสาธารณสุขทั่วโลกในการที่จะยกระดับการดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ให้ดีขึ้นได้อย่างก้าวกระโดดโดยไม่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล และมันก็ได้จุดประกายคำถามที่สำคัญให้เราต้องกลับมาคิดทบทวนว่า ยังมีขุมทรัพย์ล้ำค่าอะไรอีกบ้างที่ซ่อนอยู่ในยาสามัญเก่าแก่ที่เราอาจจะมองข้ามไป
และเราจะสามารถนำความรู้ทางพันธุศาสตร์สมัยใหม่มาปลดล็อกศักยภาพที่ซ่อนเร้นของยาเหล่านั้นเพื่อต่อสู้กับโรคร้ายอื่นๆ ได้อีกหรือไม่? นี่คือเรื่องราวที่ตอกย้ำให้เห็นว่าบางครั้ง คำตอบของปัญหาที่ซับซ้อนที่สุด ก็อาจจะซ่อนอยู่ในสิ่งที่เราคุ้นเคยและเรียบง่ายที่สุดนั่นเองครับ
แหล่งอ้างอิง:
1. Karolinska Institutet. (2025, September 17). Aspirin halves the risk of recurrence in patients with colorectal cancer, clinical trial finds. Medical Xpress. Retrieved from https://medicalxpress.com/news/2025-09-aspirin-halves-recurrence-patients-colorectal.html
2. Martling, A., et al. (2025). Low-Dose Aspirin for PI3K-Altered Localized Colorectal Cancer. New England Journal of Medicine. DOI: 10.1056/NEJMoa2504650
โฆษณา