19 ก.ย. เวลา 00:30 • ประวัติศาสตร์

อัญมณีของพระพุทธเจ้า จากอินเดียสู่สยามประเทศ

เรื่องราวของ Buddha’s jewels หรือ อัญมณีของพระพุทธเจ้า ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีที่น่าอัศจรรย์ที่สุดในยุคปัจจุบัน กลายเป็นประเด็นถกเถียงเมื่อจะมีการจัดประมูลที่ฮ่องกง
สถูปปิปราฮ์วา หลังจากการขุดค้นของวิลเลียม เปปเป้ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2441 ภาพถ่ายโดยครอบครัวเปปเป้
อัญมณีปิปราฮ์วา (Piprahwa) มีอายุย้อนกลับไปถึงสมัยจักรวรรดิโมริยะ ประมาณ 240-200 ปีก่อนคริสตกาล ในปี พ.ศ. 2441 วิลเลียม แคล็กซ์ตัน เปปเป้ (William Claxton Peppe) เจ้าของที่ดินในยุคอาณานิคมอังกฤษ ได้ขุดพบสถูปพุทธโบราณที่เก่าแก่ซึ่งน่าจะมีอายุย้อนไปถึงสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ในที่ดินของเขาที่หมู่บ้านปิปราฮ์วา
.
หมู่บ้านปิปราฮ์วา เป็นหมู่บ้านใกล้เมืองเบิร์ดปุระ (Birdpur) ในเขตสิทธัตถนคร (Siddharthnagar) รัฐอุตตรประเทศของอินเดีย การขุดค้นนี้บ่งชี้ว่าอาจเป็นสถานที่ฝังพระอัฐิของพระพุทธเจ้าบางส่วนที่พระราชทานให้แก่ “ตระกูลศากยะ” ของพระองค์เอง ภายในพื้นที่มีเจดีย์ขนาดใหญ่ ซากปรักหักพังของวัดหลายแห่ง และพิพิธภัณฑ์
.
นอกจากนี้ยังมีการค้นพบกลุ่มอาคารที่พักอาศัยและศาลเจ้าโบราณบนเนินคันวาเรีย (Ganwaria) ที่อยู่ใกล้เคียง นักวิชาการบางคนระบุว่าหมู่บ้านปิปราฮ์วา-คันวาเรียในปัจจุบันเคยเป็นที่ตั้งของเมืองกบิลพัสดุ์ (Kapilavastu) อันเป็นเมืองโบราณของอาณาจักรศากยะ (Shakya) ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าโคตม (Siddhartha) ประทับอยู่เป็นเวลา 29 ปีแรกของพระชนม์ชีพ
อัญมณี Piprahwa  ภาพถ่ายจาก Sotheby's
หลังจากขุดทะลุกำแพงอิฐหนา 18 ฟุต ก็พบหีบหินขนาดมหึมาภายในหีบมีภาชนะ 5 ใบ สูงไม่เกิน 7 นิ้ว บรรจุสมบัติล้ำค่ามากมาย เครื่องบูชาอันล้ำค่าเหล่านี้ประกอบด้วย ทับทิม ไข่มุก ไพลิน โทแพซ ลูกปัดเจาะ รูปดาว และดอกไม้ที่ตัดจากหินคอร์เนเลียน รวมทั้งแผ่นจารึกทองคำที่ประดิษฐ์อย่างประณีตมากกว่า 1,800 ชิ้น พร้อมด้วยโกศที่จารึกด้วยอักษรพราหมณ์ยุคแรกระบุว่าผู้ฝังพระบรมสารีริกธาตุคือสมาชิกในตระกูลศากยมุนีของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไว้ที่นี่
หีบในสถานที่ขุดพบ Buddha’s jewels ภาพโดยครอบครัว PEPPÉ
ตำราโบราณบันทึกไว้ว่าหลังจากพระพุทธเจ้าศากยมุนีสิ้นพระชนม์ การถวายพระเพลิงเกิดขึ้นที่เมืองกุสินารา พระบรมอัฐิของพระองค์ถูกแบ่งให้แก่ผู้ปกครองอาณาจักรทั้งแปด รวมถึงพระศากยวงศ์ของพระองค์เองในเมืองกบิลพัสดุ์ ตามพระดำรัสของพระพุทธองค์ก่อนจะเข้าสู่พระปรินิพพาน
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ได้แผ่ขยายจักรวรรดิของพระองค์ไปทั่วทั้งอนุทวีปอินเดียตั้งแต่ประมาณ 270 ก่อนคริสตกาล ได้เปิดเจดีย์เก้าองค์เพื่อแจกจ่ายพระบรมสารีริกธาตุแก่เมืองต่างๆ ภายในอาณาจักร โดยทรงสร้างอนุสรณ์สถานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องสักการะไว้เพื่อการบูชาพระพระพุทธเจ้า
.
ตระกูลศากยะของพระพุทธเจ้าได้สร้างเจดีย์ปิปราฮ์วา ขึ้นเพื่อถวายพระบรมสารีริกธาตุของพระโคตมพุทธเจ้า และน่าจะสร้างขึ้นเป็นสามระยะ
.
ในสมัยที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ประกอบด้วยอาคารอะโดบีทรงกลมที่สร้างด้วยดินเหนียว ระยะที่สองสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โมริยะตอนต้น เชื่อกันว่าพระเจ้าอโศกทรงขุดพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าขึ้นมาใหม่ และสร้างสิ่งปลูกสร้างของพระองค์เองเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องบูชาบนยอดเจดีย์ศากยะเดิม ในระยะที่สามน่าจะเกิดขึ้นในสมัยกุศาน ประมาณสองร้อยห้าสิบปีหลังจากรัชสมัยของพระเจ้าอโศก ได้มีการสร้างอาคารสงฆ์รอบเจดีย์ด้วย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่ทราบแน่ชัด
ภาพปัจจุบันของสถูป ปิปราฮ์วา
วิลเลียม แคล็กซ์ตัน เปปเป้ ได้ส่งมอบอัญมณี พระบรมสารีริกธาตุ และโบราณวัตถุส่วนใหญ่ให้แก่รัฐบาลอินเดียในยุคอาณานิคม ราชวงศ์อังกฤษอ้างสิทธิ์ในการค้นพบตามพระราชบัญญัติขุมทรัพย์อินเดีย พ.ศ. 2421 โกศพระบรมสารีริกธาตุ 5 โกศ หีบหิน และโบราณวัตถุอื่นๆ ส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังพิพิธภัณฑ์อินเดียในโกลกาตา (พิพิธภัณฑ์จักรวรรดิแห่งกัลกัตตา) ในปี พ.ศ. 2442
.
โดยพระบรมอัฐิได้ถูกมอบให้กับพระมหากษัตริย์สยามในสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างไรก็ตาม มีวัตถุโบราณบางส่วนที่ครอบครัวเปปเป้ ได้รับอนุญาตให้เก็บรักษาอัญมณีเหล่านี้ไว้ได้ ซึ่งต่อมาถูกนำออกนอกประเทศและนำไปประมูล
.
ผู้เชี่ยวชาญและพุทธศาสนิกชนบางคนมองว่าอัญมณีแห่งปิปราฮ์วา เป็นเครื่องบูชาพิเศษที่อุทิศถวายแด่พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และอาจเป็นพระบรมสารีริกธาตุชนิดพิเศษ ซึ่งเกิดจากพุทธานุภาพของ “ความไม่เสื่อมสลายแห่งพุทธภาวะ”
.
นักวิจารณ์โต้แย้งว่าอัญมณีปิปราฮ์วา เป็นมรดกของลูกหลานพระพุทธเจ้าและของชาวพุทธทั่วโลก อัญมณีเหล่านี้ไม่อาจแยกออกจากพระบรมสารีริกธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ได้ และมีไว้สำหรับบูชา ไม่ใช่เพื่อขาย
William Claxton Peppé โดย GW Laurie & Co, ลัคเนา ประมาณทศวรรษ 1890 ภาพถ่ายโดยครอบครัว Peppé
ชุดอัญมณีมากกว่า 300 ชิ้นที่ตระกูลเปปเป้เก็บรักษาไว้ คริส เปปเป้ (Chris Peppe) ทายาทรุ่นที่สามของตระกูลได้นำออกประมูล โดยบริษัทประมูลโซเธบีส์ (Sotheby's) กำหนดให้มีการประมูลที่ฮ่องกงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 แต่การประมูลถูกเลื่อนออกไปหลังจากที่รัฐบาลอินเดียเรียกร้องให้หยุดการขายอัญมณีดังกล่าว พร้อมทั้งให้ออกคำขอโทษต่อสาธารณชนชาวพุทธทั่วโลก และเปิดเผยที่มาของอัญมณีเหล่านี้ให้ครบถ้วน
อนุสัญญายูเนสโกปี ค.ศ. 1970 เป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขข้อขัดแย้ง ด้วยอินเดียได้ให้สัตยาบันอนุสัญญายูเนสโกในเดือนมกราคม พ.ศ. 2520 ดังนั้น เมื่อตระกูลเปปเป้เป็นเจ้าของอัญมณีโดยชอบธรรม และส่งออกจากอินเดียอย่างถูกกฎหมาย หากอินเดียต้องการอัญมณีคืนจริง อินเดียก็ควรปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้มาตรา 7 (ii) ของอนุสัญญายูเนสโก โดยตกลงจ่ายค่าชดเชยที่ยุติธรรมและเป็นธรรมแก่เจ้าของ
.
นอกจากนี้ อินเดียยังต้องออกค่าใช้ในการจัดเตรียมเอกสารและหลักฐานอื่นๆ ที่จำเป็นเพื่อยืนยันการเรียกร้องคืนและส่งคืน รวมถึงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการส่งคืน ตามการประเมินของ Sotheby's ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเหล่านั้นมีมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (9.7 ล้านปอนด์/13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
พระบรมสารีริกธาตุศักดิ์สิทธิ์ Piprahwa เดินทางกลับสู่อินเดีย
กรกฎาคม 2568 บริษัทประมูล Sotheby's ได้ส่งคืนชุดอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าเชื่อมโยงกับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าให้แก่อินเดีย โดย Sotheby's ระบุว่า Godrej Industries Group ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในมุมไบ ได้เข้าซื้ออัญมณีเหล่านี้ แล้วส่งมอบแก่รัฐบาลอินเดีย
อาจจำได้ว่าพระบรมสารีริกธาตุปิปราฮ์วา ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2441 แต่ถูกนำออกไปจากอินเดียในช่วงยุคอาณานิคม เมื่อพระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้ถูกนำไปประมูลในระดับนานาชาติเมื่อต้นปีนี้ เราได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าพระบรมสารีริกธาตุเหล่านั้นจะกลับคืนสู่บ้านเรือน ผมขอขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในความพยายามนี้
กรกฎาคม 2568 นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ประกาศการกลับมาของพระบรมสารีริกธาตุ หลังจากผ่านไป 127 ปี
พระบรมสารีริกธาตุแห่งพระศากยวงศ์ เดินทางสู่สยามได้อย่างไร?
📌 พระชินวรวงศ์ (ภิกษุพระองค์เจ้าปฤษฎางค์) ผู้มีอัตชีวประวัติที่โลดโผน แต่ทรงพระปรีชาสามารถ ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ที่อยู่ในเงื้อมมือเจ้าอาณานิคมอังกฤษ มาประดิษฐาน ณ สยามประเทศ ด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ และน้อยคนนักที่จะระลึกถึง
.
หม่อมเจ้าปฤษฎางค์ ประสูติเมื่อ พ.ศ. 2394 เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมสาย กรมขุนราชสีหวิกรม ผู้เป็นพระบิดา ทรงนำท่านไปถวายตัวกับสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระองค์ทรงขันชื่อปฤษฎางค์ที่แปลว่าหลัง จึงโปรดจะล้อว่า “กระดูกสันหลัง” ซึ่งท่านปฤษฎางค์ทรงถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่งที่ทรงพระเมตตาเรียกท่านด้วยชื่อพิเศษเช่นนั้น
.
ท่านมีพระประวัติที่พิสดารยิ่ง เป็นคนไทยคนแรกที่ได้เข้ามหาวิทยาลัยอังกฤษ (คิงส์คอลเลจ ลอนดอน) ใน พ.ศ. 2425 รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าปฤษฎางค์เป็นอัครราชทูตสยามพระองค์แรก ประจำประเทศต่างๆ ในยุโรปและอเมริกาที่มีสัญญาทางพระราชไมตรีกับราชอาณาจักรสยาม ทรงปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ จนโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา หม่อมเจ้าปฤษฎางค์ ขึ้นเป็น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ในปี พ.ศ. 2426
.
📌 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถหลายด้าน ขบถต่อความคิดอนุรักษ์นิยมในประเทศไทย และเป็นคนโปรดในรัชกาลที่ 5 ซึ่งคุณสมบัติทั้งหมดนี้รวมกับพฤติการณ์แปลกแยกของท่านเอง ได้นำภัยมาสู่เส้นทางชีวิตของท่านตราบจนสิ้นชีพ
.
🔶 จากบทความของ ม.ล.ชัยนิมิตร นวรัตน บรรยายถึงพระประวัติพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ จากหนังสืออัตชีวประวัติ ปรากฏข้อมูลบางส่วนว่า...
.
เมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 มีพระราชประสงค์ให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ถวายข้อคิดเห็นในส่วนพระองค์บางประการเกี่ยวกับบ้านเมือง พระองค์เจ้าปฤษฎางค์จึงถือโอกาสคิดร่างรัฐธรรมนูญถวาย โดยมอบให้พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณซึ่งขณะนั้นเป็นนักเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ค้นคว้าร่างเอกสารขึ้นมา แล้วชักชวนให้เจ้านายและข้าราชการสถานทูตในอังกฤษและฝรั่งเศสร่วมกันลงพระนามลงชื่อเป็นหางว่าว กราบบังคมทูลถวายเข้ามาเมื่อ พ.ศ. 2428 จึงปรากฏว่ารัชกาลที่ 5 ไม่พอพระราชหฤทัย และเรียกพระองค์เจ้าปฤษฎางค์กลับกรุงเทพฯ
เมื่อเสด็จไปศรีลังกาเพื่อบวชครองสมณเพศในปีพ.ศ. ๒๔๓๙ นั้น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงมีพระชนม์ ๔๕ ชนษาแล้ว มีฉายาว่า “พระชินวรวงศ์” ได้รับความเชื่อถือมากทั้งจากฝ่ายชาวบ้านชาวสิงหล และข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษ .
เมื่อพระชินวรวงศ์ทรงทราบถึงการค้นพบครั้งใหญ่ที่หมู่บ้านปิปราฮ์วา จึงรีบเสด็จไปที่นั่นทันที และได้เห็นพระบรมอัฐิธาตุและสรีรังคารดังกล่าวถูกนายเปปเป้นำมารวมปะปนกันหมด จึงได้ทรงทำหนังสือถึง มาควิสเคอสัน (George Curzon, 1st Marquess Curzon of Kedleston) อุปราชแห่งอินเดียเวลานั้น ผู้ที่เคยได้เข้ามาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯที่กรุงเทพมาแล้ว
ทรงแนะนำให้ถวายพระบรมอัฐิธาตุทั้งหมดแด่พระมหากษัตริย์สยามในฐานะที่ทรงเป็นองค์เอกอัครราชูปถัมภก ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเพียงพระองค์เดียวในโลก สำหรับให้ทรงแบ่งปันพระบรมอัฐิธาตุแก่ทุกประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งข้อเสนอของพระชินวรวงศ์นี้ ทรงอ้างว่ารัฐบาลอังกฤษเห็นด้วย ทางการอังกฤษเมื่อทราบพระประสงค์จึงส่งจดหมายทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่พระเจ้าแผ่นดินกรุงสยามตามคำแนะนำ
.
เมื่อความทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ทางการสยามตอบรับการทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุจากรัฐบาลอังกฤษ และมอบหมายให้พระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) ข้าหลวงมณฑลนครศรีธรรมราช เป็นผู้ออกไปรับพระบรมสารีริกธาตุในปี 2442
.
หากแต่พระชินวรวงศ์ได้เกิดความขัดแย้งกับพระยาสุขุมนัยวินิตอย่างรุนแรง เนื่องจากพระองค์บอกกับพระยาสุขุมนัยวินิตว่า ทรงแอบหยิบเอาพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระเศียรที่รัฐบาลอังกฤษรวบรวมไว้จากการค้นพบดังกล่าวมาองค์หนึ่ง หากรัฐบาลอังกฤษไม่ยอมทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุ พระองค์ก็จะนำพระบรมสารีริกธาตุส่วนนั้นขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเสียเอง
.
พระยาสุขุมนัยวินิตซึ่งมีความรู้ทางพระพุทธศาสนาและภาษาบาลีเป็นอย่างดี จึงแจ้งแก่พระชินวรวงศ์ว่า พระองค์ต้องอาบัติปาราชิกข้อ ‘อทินนาทานสิกขาบท’ (คือการลักทรัพย์ การถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้) ไปเสียแล้ว จึงขาดจากความเป็นพระภิกษุ ณ นาทีที่กระทำเช่นนั้นแล้ว
.
เมื่อทางสยามทราบเรื่องพระชินวรวงศ์ต้องอาบัติปาราชิกตามที่พระยาสุขุมนัยวินิตรายงานไปก็เห็นด้วยเช่นนั้น และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ มีโทรเลขไปยังพระชินวรวงศ์ผ่านกงสุลสยามในกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกาว่า พระชินวรวงศ์จะเข้าไปสยามแบบเป็นพระไม่ได้ เพราะต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
.
แม้จะไม่มีผู้ใดตอบได้ว่า พระบรมอัฐิที่นายเปปเป้เทมากองรวมกันนั้น องค์ใดบ้างที่เป็นพระบรมธาตุอัฐิของพระพุทธเจ้า พระอัฐิใดคือของพระญาติวงศ์ แต่รัฐบาลสยามก็ตัดสินใจให้พระยาสุขุมนัยวินิต อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมุ่งสู่กรุงเทพมหานคร
หลังฉลองสมโพชอย่างยิ่งใหญ่ แล้วนำขึ้นประทับสู่พระบรมบรรพต วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร (ภูเขาทอง) ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ คณะชาวพุทธในประเทศลังกา พม่า จีน มงโกเลีย รัสเซียและญี่ปุ่น ต่างแต่งสมณทูตมาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เข้ารับพระราชทานส่วนแบ่งพระบรมอัฐิธาตุนี้ด้วย ดังเช่นคราวถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
.
ในปี 2453 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ เสด็จสวรรคต พระชินวรวงศ์เดินทางกลับสยาม ข่าวว่าเจ้าพระยายมราช (อดีตพระยาสุขุมนัยวินิต) เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเตรียมการจะจับกุมท่าน พระชินวรวงศ์ถูกกดดันจนหมดหนทาง ท่านจึงต้องลาสิกขาแล้วไปเฝ้ากรมหลวงดำรงราชานุภาพ ซึ่งทรงเมตตาพาไปถวายบังคมพระบรมศพจนถึงบนพระเมรุมาศ ตกค่ำโปรดให้หม่อมเจ้าอมรสมรลักษณ์ พระโอรสพาไปถวายพระเพลิง แต่พนักงานห้ามไม่ให้ขึ้นบนพระเมรุ ต้องวางดอกไม้ธูปเทียนถวายไว้ยังพานทองที่ทางราชการจัดไว้ข้างล่าง
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์สิ้นพระชนม์อย่างยากไร้ในปี พ.ศ. 2478 สองปีหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง และ 50 ปีหลังจากได้กราบบังคมทูลถวายร่างรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย.
โฆษณา