19 ก.ย. เวลา 03:31 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

☣️ การออกแบบห้องรังสีในโรงพยาบาล ☢️🇹🇭

การออกแบบและสร้างห้องรังสีในโรงพยาบาลนั้นมีความสำคัญสูงสุดทั้งในด้านความปลอดภัย, ฟังก์ชันการใช้งาน, และการปฏิบัติตามมาตรฐานทางกฎหมาย หัวข้อที่เราจะพูดถึงในบทความนี้คือการออกแบบห้องรังสีสำหรับการตรวจ CT, X-ray, MRI และ PET ซึ่งทุกประเภทมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันในด้านขนาดห้อง, ความหนาของผนัง, วัสดุที่ใช้, การวางตำแหน่ง และปัจจัยสำคัญอื่นๆ
1. ห้อง CT (Computed Tomography)
ขนาดห้อง:
• ขนาดของห้อง CT ควรมีพื้นที่อย่างน้อย 20–30 m² และความสูงของเพดานไม่น้อยกว่า 3 เมตร เพื่อรองรับเครื่อง CT, พื้นที่สำหรับผู้ป่วย และอุปกรณ์ที่จำเป็น
• พื้นที่เข้าห้อง: ควรมีพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับผู้ป่วย อุปกรณ์ และเจ้าหน้าที่ เพื่อความสะดวกในการเข้า-ออก
การป้องกันรังสี:
• ความหนาของผนัง: โดยทั่วไป ห้อง CT ต้องการการป้องกันรังสีขั้นต่ำ เช่น 1–2 เมตรของคอนกรีต หรือ การป้องกันด้วยแผ่นตะกั่วหนา 3 มม.
• วัสดุ: ผนังห้องมักทำจาก คอนกรีต (ความหนาแน่น 2.4 g/cm³) หรือ ตะกั่ว เพื่อป้องกันรังสีที่กระจายออกมา
• พื้นและเพดาน: พื้นคอนกรีตที่มีความหนา 300–500 มม. และเพดานที่มีความหนาเช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันการรั่วไหลของรังสี
การวางตำแหน่งและการเข้าถึง:
• ตำแหน่งห้อง: ห้อง CT ควรอยู่ห่างจากพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น แต่ควรอยู่ใกล้กับแผนกภาพถ่ายรังสีเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
• พื้นที่ควบคุม: พื้นที่รอบเครื่อง CT ควรกำหนดให้เป็น โซนควบคุม ซึ่งมีการตรวจสอบระดับรังสี
ข้อพิจารณาพิเศษ:
• ห้องควบคุม: ควรมีห้องควบคุมแยกต่างหาก โดยมี กระจกตะกั่ว หรือ หน้าต่างสำหรับการตรวจสอบ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย
• การระบายอากาศ: ควรมีการระบายอากาศมาตรฐานเพื่อรักษาคุณภาพอากาศและช่วยระบายความร้อนที่เกิดจากเครื่อง CT
2. ห้อง X-ray
ขนาดห้อง:
• ขนาดห้อง X-ray ควรมีพื้นที่ 20–30 m² และมีความสูงเพดาน 3 เมตร เพื่อรองรับเครื่อง X-ray และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
• พื้นที่เข้าห้อง: ควรมีการแยกพื้นที่ระหว่างบริเวณรอของผู้ป่วยกับพื้นที่ที่ใช้สำหรับการถ่ายภาพรังสี
การป้องกันรังสี:
• ความหนาของผนัง: ห้อง X-ray ต้องการการป้องกันรังสีโดยทั่วไป 2.5–3 เมตรของคอนกรีต หรือ แผ่นตะกั่วหนา 2–4 มม. ขึ้นอยู่กับความเข้มของรังสี
• การป้องกันผนังด้วยตะกั่ว: บริเวณที่มีการออกของรังสี (เช่น เครื่อง X-ray) มักต้องใช้ แผ่นตะกั่วหนา 3 มม.
• พื้นและเพดาน: พื้นควรเป็นคอนกรีต 300–500 มม. และเพดานต้องมีการป้องกันด้วยคอนกรีตหรือแผ่นตะกั่ว
การวางตำแหน่งและการเข้าถึง:
• ตำแหน่งห้อง: ห้อง X-ray ควรอยู่ห่างจากพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่นและควรเข้าถึงได้ง่าย
• ห้องควบคุม: ควรมีห้องควบคุมแยกต่างหาก พร้อม หน้าต่างตะกั่ว หรือ กระจกตะกั่ว เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมการถ่ายภาพได้อย่างปลอดภัย
ข้อพิจารณาพิเศษ:
• ประตูและหน้าต่างตะกั่ว: ประตูควรเป็น ประตูกันรังสี โดยใช้ตะกั่วหนา 3–6 มม. และหน้าต่างควรใช้ กระจกตะกั่ว
• ความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน: ผู้ปฏิบัติงานควรสวม ผ้ากันรังสี และได้รับการป้องกันจากรังสีในระหว่างการทำงาน
3. ห้อง MRI (Magnetic Resonance Imaging)
ขนาดห้อง:
• ห้อง MRI ควรมีพื้นที่ 25–40 m² และมีความสูงเพดาน 3–4 เมตร เพื่อรองรับเครื่อง MRI และพื้นที่สำหรับผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่
การป้องกันรังสี:
• ไม่มีการป้องกันรังสี: ห้อง MRI ไม่จำเป็นต้องมีการป้องกันรังสี เนื่องจาก MRI ใช้ รังสีที่ไม่ก่อให้เกิดไอออน (สนามแม่เหล็กและคลื่นวิทยุ) แต่จำเป็นต้องมี การป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (RF Shielding) เพื่อป้องกันการรบกวนจากคลื่นภายนอก
• RF Shielding: ผนังและเพดานมักจะใช้วัสดุ เช่น ตะแกรงทองแดง หรือ แผ่นอลูมิเนียม เพื่อลดการรบกวน
• การป้องกันสนามแม่เหล็ก: ต้องป้องกันการแผ่กระจายของสนามแม่เหล็กจากเครื่อง MRI โดยใช้วัสดุ เช่น mu-metal, ทองแดง, หรือ เหล็ก
การวางตำแหน่งและการเข้าถึง:
• ตำแหน่งห้อง: ห้อง MRI ควรห่างจากพื้นที่ที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือวัสดุเหล็กที่จะมีผลต่อสนามแม่เหล็ก
• โซนความปลอดภัย: ห้อง MRI ต้องมี “โซนปลอดภัย” และ “โซนสนามแม่เหล็ก” ที่บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตไม่สามารถเข้าได้
ข้อพิจารณาพิเศษ:
• อุปกรณ์ที่ไม่ใช้แม่เหล็ก: อุปกรณ์ในห้อง MRI ต้องใช้วัสดุที่ ไม่ทำปฏิกิริยากับแม่เหล็ก เช่น อลูมิเนียม, พลาสติก, หรือสแตนเลสสตีล
• ประตู RF Shielding: ต้องมี ประตูป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อป้องกันการรบกวนจากอุปกรณ์ภายนอก
4. ห้อง PET (Positron Emission Tomography)
ขนาดห้อง:
• ขนาดห้อง PET ควรมีพื้นที่ 25–35 m² เพื่อรองรับเครื่อง PET และพื้นที่สำหรับผู้ป่วยและอุปกรณ์
การป้องกันรังสี:
• ความหนาของผนัง: ห้อง PET ต้องการการป้องกันรังสีจากการปล่อยรังสีในการตรวจ ด้วย 2.5–3 เมตรของคอนกรีต หรือ การป้องกันด้วยแผ่นตะกั่ว
• การป้องกันด้วยแผ่นตะกั่ว: สำหรับการสแกน PET ที่ใช้พลังงานสูง การใช้แผ่นตะกั่วหนา 3 มม. เป็นที่นิยม
• พื้นและเพดาน: พื้นคอนกรีต 300–500 มม. และเพดานที่ป้องกันด้วยตะกั่วหรือคอนกรีต
การวางตำแหน่งและการเข้าถึง:
• ตำแหน่งห้อง: ห้อง PET ควรอยู่ในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ห่างจากพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น
• พื้นที่ควบคุมและตรวจสอบ: ห้อง PET ควรมี โซนควบคุม ที่การเข้าถึงต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น
ข้อพิจารณาพิเศษ:
• Hot Lab: ห้อง PET มักจะมี ห้อง Hot Lab สำหรับการเตรียมสารเภสัชรังสี และห้องเหล่านี้ต้องการการป้องกันเพิ่มขึ้น
• การระบายอากาศ: ควรมีระบบระบายอากาศที่เพียงพอในการจัดการสารเภสัชรังสีและป้องกันการปนเปื้อน
มาตรฐานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
1. IAEA Safety Reports Series No. 47: “Radiation Protection in the Design of Radiotherapy Facilities”
2. IAEA Human Health Reports No. 10: “Radiotherapy Facilities: Master Planning and Concept Design Considerations”
3. ISO 21482:2007 - Ionizing Radiation Warning Symbol
มาตรฐานในประเทศไทย
1. ระเบียบจากสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (OAP)
ในประเทศไทย, สำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ (OAP) ดูแลด้านความปลอดภัยจากรังสีและการออกใบอนุญาตสำหรับสถานที่ใช้รังสี โดยมีข้อพิจารณาดังนี้:
• ข้อกำหนดการออกใบอนุญาต: โรงพยาบาลต้องขออนุญาตที่ถูกต้องสำหรับการใช้และเก็บรักษาวัสดุรังสีและอุปกรณ์รังสี
• การตรวจสอบสถานที่: การตรวจสอบจาก OAP อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าโรงพยาบาลปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย
• มาตรการป้องกันรังสี: การนำมาตรการความปลอดภัยเพื่อป้องกันการสัมผัสรังสีที่เกินขอบเขตที่กำหนด
สรุป
การออกแบบและก่อสร้างห้องรังสีในโรงพยาบาลจำเป็นต้องเข้าใจเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ใช้รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศ (เช่น IAEA และ ISO) และข้อกำหนดในท้องถิ่น (เช่น OAP ในประเทศไทย) การเลือกขนาดห้อง, ความหนาผนัง, วัสดุที่ใช้ และการวางตำแหน่งห้องมีความสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่ามีความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งานเครื่องมือทางการแพทย์ หากคุณกำลังวางแผนการสร้างห้องรังสีในโรงพยาบาล, การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามมาตรฐานและข้อกำหนดที่จำเป็นคือสิ่งสำคัญ
โฆษณา