20 ก.ย. เวลา 04:13 • ข่าวรอบโลก

ภาษากายบนสนามหญ้าวังวินด์เซอร์

การเยือนอังกฤษของทรัมป์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ...อังกฤษเอง
ในบริบทของการเยือนอังกฤษอย่างเป็นทางการครั้งที่สองของประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” เป้าหมายขั้นต่ำสุดของอังกฤษคือการไม่ทะเลาะกับทรัมป์ และเป้าหมายสูงสุดคือการใช้ประโยชน์จากทรัมป์เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
อังกฤษก็เช่นเคย ตามคำพูดของ ฟิโอนา ฮิลล์ อดีตที่ปรึกษาทรัมป์ในสมัยแรกซึ่งเธอเกิดที่อังกฤษ เธอเคยพูดว่า “อังกฤษต้องเข้าจัดการดูแลกับพันธมิตรหมายเลขหนึ่งของตน (อเมริกา)” ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อผลประโยชน์ต่อพวกเขา [1]
ฟิโอนา ฮิลล์ อดีตที่ปรึกษาทรัมป์ในสมัยแรก เครดิตภาพ: Sky News
แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้น ความทะเยอทะยานของอังกฤษนั้นกว้างไกลเกินกว่าศักยภาพทางทหาร การเมือง และเศรษฐกิจที่แท้จริง ความแตกต่างนี้ถูกมุ่งหมายให้ชดเชยด้วยความพยายามใช้ทรัพยากรของอเมริกาเพื่อบรรลุเป้าหมายของอังกฤษ สิ่งที่ไม่คาดคิดสิ่งนี้กลับกลายเป็นเรื่องยากในสมัยที่สองของทรัมป์
เหนือสิ่งอื่นใด ทรัมป์ได้กล่าวอย่างชัดเจนในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาว่าเขาพร้อมที่จะ “ทำให้สหรัฐอเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (MAGA)” ซึ่งรวมถึงการผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ซึ่งมีกษัตริย์อังกฤษเป็นประมุข
“แนวทางแรกในการรับมือของทรัมป์” นั้นดูราวกับเป็นความพยายาม “บีบคั้นอย่างตรงไปตรงมา” บางคนริมฝั่งแม่น้ำเทมส์อาจมองว่ามันรุนแรงยิ่งกว่าเรื่องราวอันน่าตื่นตะลึงในปี 2013 (สมัยโอบามา) เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ ปรากฏตัวที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน (ของอังกฤษ) เพื่อค้นหา “เงินเลี่ยงภาษี” และอเมริกาเองก็สูญเสียการสนับสนุนจากอังกฤษสำหรับ “ทางออกสุดท้ายสำหรับปัญหาในซีเรีย” ไปในตอนนั้น [2][3]
แนวคิดที่ว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังจัดตั้งกลุ่มอิทธิพลที่สนับสนุนเขาในอังกฤษซึ่งมาจากนักการเมืองท้องถิ่นดูมีการพูดถึงหลังเขาเข้ามารับตำแหน่ง แต่ก็ดูไม่น่าจริงนัก เพราะเมื่อพิจารณาถึงประเพณีทางการเมืองที่ฝังรากลึกของราชวงศ์บนเกาะแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทรัมป์ยังไม่สามารถปราบปรามแม้แต่ประเทศของตนเองได้ ไม่ต้องพูดถึงอังกฤษที่มีประสบการณ์อย่างกว้างขวางในการบงการหรือแทรกแซงที่อื่น
การเยือนอังกฤษอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกาและการต้อนรับ ณ วังหลวง กลายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของสัปดาห์ที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ สื่อต่างประเทศ และนักทฤษฎีสมคบคิดต่างเริ่มวิเคราะห์ทุกอิริยาบถที่ถูกบันทึกภาพไว้
1
แม้ว่าพิธีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ ซึ่งอังกฤษปกติมีแผนงานเฉพาะของตนเอง จะถูกควบคุมอย่างพิถีพิถัน ทั้งพรมแดง รถม้า และงานเลี้ยงอันหรูหราที่พระราชวัง แต่ทุกคนต่างสังเกตเห็นความโอ่อ่าตระการตาของการต้อนรับผู้นำสหรัฐฯ กษัตริย์อังกฤษทรงจัดงานเลี้ยงเช่นนี้ไม่เกินปีละสองครั้ง
“มันเป็นงานต้อนรับที่มีความโอ่อ่าตระการตาที่หาได้ยากยิ่งสำหรับผู้นำต่างชาติ ประธานาธิบดีและคู่สมรสรายล้อมไปด้วยเครื่องตกแต่งอันวิจิตรตระการตาของอังกฤษ มีการปูพรมแดงต้อนรับทรัมป์ นับเป็นงานเลี้ยงรับรองทางทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทรัมป์เคยได้รับเกียรติมา” เดอะการ์เดียนเขียน [4]
สำหรับทรัมป์แล้วซึ่งแม่ของเขาเกิดในสกอตแลนด์ การได้รับเกียรติเช่นนี้จากราชวงศ์อังกฤษย่อมเป็นที่น่ายกย่องเป็นสองเท่า
1
เครดิตภาพ: POOL / Getty Images / AFP / Reuters
ความมุ่งมั่นของทรัมป์คือสิ่งที่ทุกคนคาดหวังไว้ว่าจะเห็น ก่อนการพบปะกับผู้นำทางการเมือง ตัวเขาเองมาถึงโดยสวมเนคไทสีม่วง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของราชวงศ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง “เมลาเนีย ทรัมป์” สวมหมวกสีเดียวกัน เป็นการบอกใบ้เพื่อสื่อถึง “ความเท่าเทียมกัน” อย่างนั้นหรือ?
ผู้สังเกตการณ์หรือผู้จับผิดนับการแสดงมารยาทที่ไม่เหมาะสมของทรัมป์ได้หลายครั้ง ซึ่งราชวงศ์วินด์เซอร์ต้องอดทน เช่น การมาสาย 15 นาที การตบหลังคิงชาร์ลส์ที่ 3 การบีบแขนและการตบไหล่เจ้าชายวิลเลียมอย่างเพื่อนสนิท ความผิดพลาดหลักของทรัมป์คือการเดินนำหน้ากษัตริย์และหันหลังให้ แต่คิงชาร์ลส์ก็ไม่ได้แสดงทีท่าไม่พอใจแต่อย่างใด
“กษัตริย์ก้มพระเศียรลงเพื่อแสดง 'การยอมจำนน' และริ้วรอยรอบดวงตาบ่งบอกว่าพระองค์กำลังยิ้มอย่างเปี่ยมล้นด้วย ความสุข” ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากายกล่าวกับเดลีเมล์ และระบุว่าปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวเต็มไปด้วยความรัก และแสดงให้เห็นว่าทั้งคู่เป็นสหายที่ดีต่อกัน [5]
“คุณทรัมป์ไม่ใช่ประธานาธิบดีจอมตลกที่เล่นละครน้ำเน่าอีกต่อไป เขาเป็นมหาอำนาจระดับโลกที่ดุดัน ไม่กลัวที่จะปล่อยอาวุธภาษีนำเข้า หรือบางครั้งก็ขู่ว่าจะทิ้งยุโรปตะวันออกให้ตกอยู่ภายใต้ความเมตตาของรัสเซีย เป้าหมายหลักของนโยบายต่างประเทศของอังกฤษคือการสนับสนุนยูเครนและโน้มน้าวให้ทรัมป์เพิ่มแรงกดดันต่อประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน” เดอะนิวยอร์กไทมส์แสดงความคิดเห็น [6]
เครดิตภาพ: Samir Hussein/WireImage
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่ออเมริกาเริ่มห่างเหินจากสงครามในยูเครนไปบ้าง บทบาทของอังกฤษจึงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และในสายตาของชาวอเมริกัน ความต้องการเข้ามามีอิทธิพลของอังกฤษในยูเครนก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทั้งสอง (อังกฤษ กับ อเมริกา) ก็เป็นญาติสายเลือดกันมาในอดีต แม้ว่าจะเกลียดชังกันบ้างก็ตาม
เรียบเรียงโดย Right Style
20 Sep 2025
  • อ้างอิง:
<เครดิตภาพปก: Alamy Stock Photo>
โฆษณา