22 ก.ย. เวลา 10:58 • ดนตรี เพลง

It’s Album Time: จาก Inspector Norse ถึง Delorean Dynamite — การเดินทางของเสียงซินธ์ที่ไม่หยุดนิ่ง

It’s Album Time ที่เปิดตัวในปี 2014 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในเส้นทางดนตรีของ Todd Terje โปรดิวเซอร์และดีเจสาย Nu-disco จากนอร์เวย์ที่ก่อนหน้านี้มักถูกมองว่าเป็น “เจ้าพ่อเพลงซิงเกิล” มากกว่าศิลปินที่สามารถสร้างงานในรูปแบบอัลบั้มเต็มได้ ด้วยชื่อเสียงจากแทร็กฮิตอย่าง Inspector Norse และ Strandbar หลายคนสงสัยว่าเขาจะต่อยอดได้หรือไม่
แต่เมื่ออัลบั้มนี้วางจำหน่าย เสียงตอบรับจากทั้งนักวิจารณ์และผู้ฟังกลับสะท้อนอย่างชัดเจนว่า Terje ไม่เพียงแต่พิสูจน์ความสามารถของตนเอง แต่ยังขยายกรอบการทำงานทางดนตรีออกไปในมิติที่กว้างขวางกว่าที่คาดคิดไว้
หนึ่งในสิ่งที่โดดเด่นทันทีตั้งแต่ชื่ออัลบั้ม It’s Album Time คือการเล่นกับความหมายอย่างตรงไปตรงมาและขี้เล่นในเวลาเดียวกัน คำว่า “Album Time” เหมือนเป็นการประกาศว่าเขาพร้อมแล้วที่จะก้าวสู่สนามใหญ่ในการสร้างผลงานที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงซิงเกิลหรือ EP อีกต่อไป ชื่อที่ดูธรรมดาแต่กลับสะท้อนความมั่นใจ และมีนัยยะแบบ “Tongue-in-Cheek” (พูดติดตลก) ซึ่งสอดคล้องกับบุคลิกของ Terje เอง
ในเชิงดนตรี อัลบั้มนี้คือการสำรวจพื้นที่ที่อยู่ระหว่าง Disco Revival กับความเป็น Cosmic Lounge มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายยุค 70s–80s ทั้งเสียงสังเคราะห์ ฟังก์ จังหวะดิสโก้ที่พลิ้วไหว และการจัดวางที่มีกลิ่นอายงานสกอร์ภาพยนตร์ย้อนยุค Pitchfork ถึงกับเปรียบว่า Terje มีความเข้าใจด้านคอมโพสเหมือนนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ยุค 1960s มากกว่าการเป็นโปรดิวเซอร์แดนซ์ร่วมสมัยเสียอีก
เมื่อพิจารณาโครงสร้าง อัลบั้มนี้มีทั้งหมด 12 แทร็ก ซึ่งในนั้นมี 4 เพลงที่เคยถูกปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ แต่ Terje ไม่ได้เพียงนำมา “รีไซเคิล” ตามที่บางคนกังวล เขากลับทำให้แทร็กเหล่านี้เชื่อมโยงเข้ากับเพลงใหม่ ๆ ผ่านการจัดวางอินเตอร์ลูด (Interlude) และบรรยากาศ ทำให้ It’s Album Time ฟังต่อเนื่องราวกับการเดินทางที่มีจังหวะขึ้นลง Pitchfork ให้เหตุผลถึงการยกอัลบั้มนี้เป็น “Best New Music” เพราะความเป็น Linear, Cohesive feel หรือความรู้สึกที่ไหลลื่นและเป็นเรื่องราวเดียวกัน
Todd Terje
เพลงเปิดอัลบั้ม Intro (It’s Album Time) ทำหน้าที่เหมือนม่านเปิดของโชว์ มันมีความเป็นเพลงประกอบการแสดงคาบาเร่ต์หรือละครเวที มากกว่าการเป็นเพลงแดนซ์ทั่วไป เสียงเครื่องสายและบรรยากาศแบบ Lounge ทำให้ผู้ฟังถูกพาเข้าสู่โลกของ Terje ที่เต็มไปด้วยความวิจิตรแต่ขี้เล่นในเวลาเดียวกัน
หนึ่งในเพลงที่โดดเด่นที่สุดคือ Leisure Suit Preben และ Preben Goes to Acapulco ที่ใช้จังหวะและโทนเสียงซึ่งสะท้อนตัวละครสมมติ “Preben” ที่ Terje มักสร้างขึ้นในการแสดงสด มันคือความขี้เล่นแบบการ์ตูนผสมดิสโก้ ทำให้เพลงมีเอกลักษณ์เฉพาะและกลายเป็นส่วนสำคัญของการเล่าเรื่องในอัลบั้ม
นอกจากนี้ยังมีการคัฟเวอร์เพลง Johnny and Mary ของ Robert Palmer โดยได้ Bryan Ferry (แห่งวง Roxy Music) มาร่วมร้อง เพลงนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนของอัลบั้ม เพราะต่างจากแทร็กอื่นที่เต็มไปด้วยจังหวะและพลัง Johnny and Mary กลับนำเสนอความเศร้าละเมียด เสียงร้องของ Ferry ที่แผ่วเบาประกอบกับการเรียบเรียงที่ minimalist ทำให้เพลงนี้เป็นเหมือนหัวใจลึก ๆ ของอัลบั้ม และเป็นช่วงพักหายใจที่ให้มิติใหม่แก่ผู้ฟัง
ต่อด้วย Delorean Dynamite แทร็กที่ทรงพลังที่สุดของ It’s Album Time มันเต็มไปด้วยพลังงานแบบ Synth-Driven Disco ยุค 80s ที่ชวนให้นึกถึงความเร็วและอนาคต เสียงซินธ์ที่หมุนวนซ้ำ ๆ ค่อย ๆ ทับซ้อนกันทีละชั้นเหมือนการเร่งเครื่องยนต์ DeLorean ในตำนานจาก Back to the Future เพลงนี้ไม่มีเสียงร้อง แต่เล่าเรื่องด้วยโครงสร้างที่ชัดเจนและเข้มข้น
สิ่งที่ทำให้เพลงนี้โดดเด่นคือการคุมบรรยากาศ Terje ใช้ความซ้ำของซินธ์และเบสไลน์เพื่อสร้างแรงดันทางอารมณ์ แล้วค่อย ๆ ปลดปล่อยด้วยไคลแมกซ์ที่หนักแน่น มันเป็นทั้งเพลงแดนซ์สำหรับฟลอร์ และเป็นงานทดลองที่แสดงทักษะด้านการจัดวางเสียงที่พิถีพิถัน
แทร็กที่แฟนเพลงคุ้นเคยอย่าง Inspector Norse ยังคงทำหน้าที่เป็นไคลแมกซ์ของอัลบั้ม เพลงนี้แสดงถึงทักษะของ Terje ในการสร้างดิสโก้ที่ทั้งติดหูและเต็มไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทำให้มันยืนหยัดได้แม้ผ่านเวลาหลายปี ขณะเดียวกัน Strandbar และ Swing Star, Pt. 1-2 ก็ช่วยเสริมภาพลักษณ์ความสนุกสนานและความเป็น “Space Disco” ของเขา
นักวิจารณ์ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า Terje ทำได้ดีในการสร้างอัลบั้มที่ Eclectic หรือมีความหลากหลาย ทั้งด้านจังหวะ ภาพทางดนตรี และการใช้เสียงร้อง Consequence of Sound มองว่านี่คือการแสดงถึงความมั่นใจของ Terje ในการก้าวจากโปรดิวเซอร์ซิงเกิลมาสู่ศิลปินอัลบั้มเต็ม เป็นงานที่ “Thought-out” หรือผ่านการคิดและออกแบบมาอย่างรอบคอบ
Clash ชื่นชมความสว่างสดใสและพลังที่ Terje ถ่ายทอด โดยให้คะแนน 8/10 และอธิบายว่าแม้อัลบั้มนี้จะมีกลิ่นอาย 80s ที่ชัดเจน แต่ Terje ทำให้มันดูร่วมสมัยและไม่กลายเป็นเพียงความย้อนยุคไร้ชีวิตชีวา ในทางตรงกันข้าม มันคือการชุบชีวิตให้สไตล์เก่า ๆ กลับมามีความสดใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะประทับใจ Alexis Petridis จาก The Guardian วิจารณ์ในเชิงผสมว่า การที่ Terje พยายามออกนอกกรอบจากสไตล์ที่ทำให้เขาโด่งดังนั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ทิศทางใหม่ ๆ ที่เขาสำรวจกลับมีความซ้ำซากจำเจไปบ้าง ขณะที่ AllMusic แนะนำว่า Terje ควรมุ่งไปที่การสร้าง Electro-Disco หรือ Space Disco ที่เฉียบคมมากกว่า เพราะบางการทดลองในอัลบั้มนี้อาจทำให้เสียโฟกัสของความสนุกไป
ถึงกระนั้น ในภาพรวม It’s Album Time ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง อัลบั้มได้คะแนนเฉลี่ย 79 บน Metacritic ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็น “Generally Favorable Reviews” และที่สำคัญ Pitchfork ยังยกให้เป็นหนึ่งใน The 100 Best Albums of the Decade So Far (2014) และภายหลังจัดอันดับที่ #98 ใน The 200 Best Albums of the 2010s พร้อมนิยามว่าเป็น “Cosmic Cocktail-lounge Fantasia” คำบรรยายนี้สะท้อนแก่นแท้ของงานได้เป็นอย่างดี
นอกจากคำวิจารณ์เชิงเทคนิค อัลบั้มนี้ยังสร้างบทสนทนาเกี่ยวกับบทบาทของศิลปินโปรดิวเซอร์ในยุคดิจิทัล Todd Terje แสดงให้เห็นว่าศิลปินที่โด่งดังจากซิงเกิลและการเล่นสดสามารถสร้างงานที่เป็น Long-form Narrative หรือ รูปแบบการเล่าเรื่องที่ยาวกว่าปกติได้เช่นเดียวกับวงดนตรีดั้งเดิม การจัดวางแทร็ก การเล่นกับอารมณ์ และการสร้างบรรยากาศ ทำให้อัลบั้มนี้ไม่ใช่เพียง “การรวมเพลง” หรือรีมิกซ์ แต่เป็น “การเดินทาง”
เมื่อมองจากมิติประวัติศาสตร์ดนตรี It’s Album Time คือหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของกระแส Nu-Disco และ Space Disco ยุค 2010s ที่ชุบชีวิตเสียงสังเคราะห์แบบเก่าให้ออกมาใหม่สด ฟังแล้วทั้งคุ้นเคยและทันสมัย Terje ไม่ได้ปฏิเสธความเป็นดนตรีแดนซ์ที่ขับเคลื่อนผู้คนไปข้างหน้า แต่เลือกที่จะหยอดอารมณ์ขัน ความหรูหรา และบรรยากาศที่ไม่เหมือนใครเข้าไป
ในด้านภาพลักษณ์ Todd Terje ยังเสริมประสบการณ์ด้วยการสร้างตัวละคร “Preben” ที่กลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ประจำการแสดงสด นี่สะท้อนว่าเขามองอัลบั้มและโชว์ดนตรีในฐานะ “Performance Art” มากกว่าแค่การผลิตแทร็กลงคอมพิวเตอร์ นี่เองที่ทำให้ It’s Album Time มีเสน่ห์ทั้งในเชิงเสียงและภาพ
ท้ายที่สุด อัลบั้มนี้คือการยืนยันว่า Todd Terje ไม่ใช่แค่โปรดิวเซอร์มือฉมังที่ปล่อยซิงเกิลโดนใจ แต่เป็นศิลปินที่สามารถสร้างสรรค์อัลบั้มเต็มที่มีเอกภาพทางศิลปะ และยังมีความเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในฉากดนตรีอิเล็กทรอนิกส์โลกในทศวรรษที่ผ่านมา
Cr. Wikipedia / Pitchfork
---
โฆษณา