23 ก.ย. เวลา 00:30 • ข่าว

ทรัมป์ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า กีดกันแรงงานต่างชาติ เร่ขายฝันคนรวย

19 กันยายน 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในประกาศที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปี 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการสมัครวีซ่า H-1B ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ที่พึ่งพาแรงงานผู้ถือวีซ่า H-1B จากอินเดียและจีน มากกว่าภาคส่วนอื่นๆ ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมคำประกาศ ณ ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันศุกร์ที่ 19 กันยายน ภาพ: Aaron Schwartz/EPA
วีซ่า H-1B คืออะไร?
วีซ่า H-1B เป็นวีซ่าชั่วคราวที่อนุญาตให้นายจ้างในสหรัฐอเมริกาจ้างแรงงานต่างชาติในอาชีพเฉพาะทางเป็นการชั่วคราว โดยทั่วไปแล้วอาชีพเหล่านี้ต้องมีวุฒิปริญญาตรีหรือเทียบเท่าในสาขาเฉพาะทาง
.
วีซ่าสำหรับผู้ชำนาญงานพิเศษในแขนงต่างๆ หรือ H1-B กำหนดให้ผู้เป็นมืออาชีพเหล่านี้สามารถเดินทางเข้ามาในสหรัฐฯ เพื่อทำงานในตำแหน่งที่เขามีความสามารถในช่วงระยะเวลาหนึ่ง สาขาอาชีพที่จะได้รับการพิจารณาได้แก่ วิศวะกร พยาบาล ศาสตราจารย์ นักวิจัย หรือ นักคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
.
สำหรับวีซ่า H-1B จะได้รับสิทธิการอยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาเป็นระยะเวลาสามปีในเบื้องต้น แต่สามารถขยายเวลาได้แต่รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 6 ปี และเป็นเส้นทางนำไปสู่การได้รับถิ่นที่อยู่ถาวร (กรีนการ์ด)
ประชาชน 100 คนกำลังเข้าพิธีสาบานตนในพิธีมอบสัญชาติ ซึ่งจัดขึ้นโดยอุทยานประวัติศาสตร์แห่งชาติจิมมี คาร์เตอร์ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ณ เมืองเพลนส์ รัฐจอร์เจีย (ภาพโดย เมแกน วาร์เนอร์)
ประกาศของทรัมป์ ระบุว่า จากการศึกษาของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก พบว่าบัณฑิตจบใหม่ที่มีอายุระหว่าง 22 ถึง 27 ปี สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์และวิศวกรรมคอมพิวเตอร์กำลังเผชิญกับอัตราการว่างงานที่สูงที่สุดในประเทศ
.
รายงานยังระบุด้วยว่าบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันหลายแห่งได้เลิกจ้างแรงงานอเมริกันที่มีคุณสมบัติและทักษะสูง พร้อมกับจ้างแรงงาน H-1B หลายพันคนในเวลาเดียวกัน
.
นอกจากนี้ การใช้โปรแกรม H-1B ในทางที่ผิดยังก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ โดยเป็นการขัดขวางไม่ให้ชาวอเมริกันประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นผู้นำของอเมริกาในสาขาเหล่านี้
.
ในปีนี้ Amazon เป็นผู้รับวีซ่า H-1B สูงสุด โดยมีผู้ได้รับวีซ่ามากกว่า 10,000 ราย ตามมาด้วย Tata Consultancy, Microsoft, Apple และ Google
.
การขึ้นราคาค่าใช้จ่ายของวีซ่า H-1B สำหรับแรงงานทักษะสูงเพิ่มขึ้นจาก 215 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ อาจทำให้บริษัทต่างๆ ต้องย้ายงานที่มีมูลค่าสูงบางส่วนไปยังต่างประเทศ ส่งผลให้ตำแหน่งของอเมริกาในการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ที่มีเดิมพันสูงกับจีนลดลง
.
ค่าธรรมเนียมใหม่นี้อาจผลักดันให้ต้นทุนสำหรับบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กและบริษัทสตาร์ทอัพสูงขึ้นอย่างมาก
ในระยะสั้น วอชิงตันอาจได้รับผลกำไรก้อนโต ในระยะยาว สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะลดทอนความได้เปรียบด้านนวัตกรรม
เจเรมี โกลด์แมน นักวิเคราะห์ของ eMarketer กล่าว
โฮเวิร์ด ลัทนิค ยังอ้างว่า "บริษัทใหญ่ทั้งหมดก็ร่วมมือด้วย" ( รอยเตอร์: โทบี้ เมลวิลล์ )
ถ้าคุณจะฝึกอบรมใครสักคน คุณก็ต้องฝึกอบรมบัณฑิตจบใหม่จากมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งหนึ่งทั่วประเทศของเรา ฝึกอบรมชาวอเมริกัน หยุดดึงคนเข้ามาแย่งงานของเราไปได้แล้ว
นายโฮเวิร์ด ลัทนิค (Howard Lutnick)รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าว
โครงการ วีซ่า H-1B ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นการกีดกันชาวอเมริกันที่มีความสามารถ แต่สำหรับผู้สนับสนุนโครงการนี้เช่น อีลอน มัสก์ เห็นว่าโครงการนี้ดึงดูดแรงงานที่มีทักษะสูง ซึ่งจำเป็นต่อการเติมเต็มช่องว่างด้านความสามารถในการแข่งขันของบริษัทต่างๆ มัสก์ ซึ่งเป็นพลเมืองสหรัฐฯ ถือสัญชาติอเมริกันที่เกิดในแอฟริกาใต้ ก็เคยถือวีซ่า H-1B
.
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุญาตให้แรงงานที่มีทักษะสูง ซึ่งทำงานในสาขาที่คนอเมริกันไม่ได้ทำงานอยู่ สามารถเข้ามาในสหรัฐอเมริกาได้
.
รัฐบาลทรัมป์กล่าวว่าค่าธรรมเนียม 100,000 ดอลลาร์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แน่ใจว่าผู้คนที่นำเข้ามาในประเทศนั้นมี "ทักษะสูงมาก" และจะไม่เข้ามาแทนที่แรงงานชาวอเมริกัน มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องแรงงานชาวอเมริกัน และควบคุมการย้ายถิ่นฐานอย่างถูกกฎหมาย
.
โฮเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ในอดีต โปรแกรมกรีนการ์ดตามการจ้างงานจะรับคนเข้าได้ 281,000 คนต่อปี โดยบุคคลเหล่านี้มีรายได้เฉลี่ย 66,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่มีแนวโน้มที่จะขอรับสวัสดิการรัฐมากกว่ากลุ่มอื่นถึง 5 เท่า
เราจะหยุดทำแบบนั้น เราจะรับเฉพาะคนที่มีความสามารถพิเศษในระดับสูงสุด แทนที่จะรับคนที่พยายามแย่งงานจากชาวอเมริกัน พวกเขาจะสร้างธุรกิจและสร้างงานให้กับชาวอเมริกัน และโครงการนี้จะระดมทุนได้มากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา
โฮเวิร์ด ลัทนิค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว
คำสั่งของทรัมป์มีกำหนดจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 กันยายน 2568 โดยจะบังคับใช้เฉพาะคำขอใหม่เท่านั้น
โดนัลด์ ทรัมป์ และโฮเวิร์ด ลุทนิค เปิดตัววีซ่า "บัตรทอง" ใหม่( AP: อเล็กซ์ แบรนดอน )
🌻นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ประกาศโครงการวีซ่าใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดผู้มีฐานะร่ำรวยทั่วโลก ด้วยการเสนอสิทธิ์พำนักอาศัยในสหรัฐฯ ในราคาที่สูงลิ่ว ทรัมป์กล่าวขณะลงนามในคำสั่งที่ห้องทำงานรูปไข่ว่า "โครงการนี้จะระดมเงินหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะนำไปใช้ลดภาษี ชำระหนี้ และเพื่อประโยชน์อื่นๆ ของสหรัฐฯ"
.
โครงการนี้เรียกว่า โครงการวีซ่าโกลด์การ์ด (Gold Card Visa Program) ซึ่งอนุญาตให้บุคคลทั่วไปสามารถขอสิทธิ์พำนักอาศัยได้โดยการลงทุน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และผู้ลงทุนไม่สามารถขอเงินคืนได้
.
ส่วนบัตรทรัมป์คอร์ปอเรทโกลด์การ์ด (Trump Corporate Gold Card ) เป็นทางเลือกสำหรับองค์กร อนุญาตให้ธุรกิจต่างๆ สนับสนุนพนักงานต่างชาติได้ หากลงทุน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อพนักงานหนึ่งคน และอนุญาตให้โอนสิทธิ์การเข้าถึงจากพนักงานคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้
.
และโครงการ "แพลตินัมการ์ด" (Trump Platinum Card) ที่กำลังจะเปิดตัว ถูกระบุว่าเป็นข้อเสนอสุดพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก ออกแบบมาเพื่อดึงดูดผู้มีฐานะร่ำรวยจากต่างประเทศ จะเปลี่ยนโครงการจากโครงการที่เน้นการพำนักอาศัยเพียงอย่างเดียว ไปสู่กลยุทธ์ทางภาษี
.
ผู้ซื้อบัตรแพลตตินัมการ์ดมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สามารถพำนักอยู่ในสหรัฐอเมริกาได้นานถึง 270 วัน โดยไม่ต้องเสียภาษีสหรัฐฯ จากรายได้ที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ ทำให้เกิดสถานการณ์ที่บุคคลผู้มั่งคั่งสามารถได้รับสิทธิประโยชน์จากการพำนักอาศัยในสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเต็มที่
“ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนชาวอเมริกันและผู้เสียภาษีชาวอเมริกันจะได้รับประโยชน์จากระบบตรวจคนเข้าเมืองที่ถูกกฎหมายของเรา” ทรัมป์เขียนบน Truth Social
สหรัฐอเมริกากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการมีถิ่นพำนักอาศัยโดยการลงทุน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะระดมทุนมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่กระทรวงการคลัง และนโยบายขายสัญชาติของทรัมป์ครั้งนี้ กำลังจะเปลี่ยนความเชื่อใน American Dream ไปตลอดกาล.
โฆษณา