23 ก.ย. เวลา 08:05 • ดนตรี เพลง

Return to Forever (1972): Chick Corea กับบทบันทึกแห่งการเดินทางทางดนตรีเหนือกาลเวลา

อัลบั้ม Return To Forever ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1972 ถือเป็นการปฏิวัติวงการแจ๊ส และเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความกล้าของ Chick Corea ในการออกเดินทางสู่ดินแดนดนตรีที่ไม่คุ้นเคย หลังจากร่วมงานกับ Miles Davis ในการสร้างสรรค์ In A Silent Way และ Bitches Brew เขาเลือกที่จะเดินออกมาจากความเข้มข้นและร้อนแรงของ Jazz Fusion แบบดั้งเดิม แล้วสร้างสิ่งที่อบอุ่น โปร่งใส และเต็มไปด้วยมิติทางจิตวิญญาณ
การรวมตัวกันของนักดนตรีในอัลบั้มนี้นับว่าเป็นทีมที่พิเศษอย่างยิ่ง นอกจาก Corea ที่ขับเคลื่อนด้วยเสียงไฟฟ้าอันโปร่งใสของ Fender Rhodes ยังมี Joe Farrell ผู้เติมเต็มความพลิ้วไหวด้วยเสียง Flute และ Soprano Sax, Flora Purim ที่ใช้เสียงร้องเป็นเสมือนเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่ง มากกว่าจะเป็นเพียงนักร้องทั่วไป
Airto Moreira ที่นำความหลากหลายของ Percussion และกลองแบบบราซิลมาหลอมรวม และ Stanley Clarke มือเบสหนุ่มที่ในเวลาต่อมาจะกลายเป็นตำนาน สิ่งเหล่านี้ทำให้อัลบั้มมีกลิ่นอายที่ไม่เหมือนวง Fusion ใด ๆ ในยุคเดียวกัน
ความพิเศษของ Return To Forever คือการเลือกทางดนตรีที่ต่างไปจาก Mahavishnu Orchestra หรือ Tony Williams Lifetime ที่มุ่งเน้นพลัง ความเร็ว และความดุดัน ในขณะที่ Corea และคณะกลับเลือกสร้างบรรยากาศที่เปรียบเสมือนสายลมทะเลเขตร้อน ดนตรีไม่เพียงแต่ฟังแล้วเคลิบเคลิ้ม แต่ยังมีโครงสร้างที่ซับซ้อนและเปี่ยมด้วยรายละเอียด อัลบั้มนี้เป็นดั่งบทสนทนาระหว่าง Jazz และ World Music โดยเฉพาะละตินและบราซิลเลียน ซึ่ง Airto และ Flora มีบทบาทชัดเจนในการขับเคลื่อน
Corea ในช่วงต้นทศวรรษ 1970s
เพลงเปิด "Return To Forever" แสดงเจตจำนงของ Corea ได้ชัดเจน ท่อนที่เขาและ Purim ขับเสียงประสานแบบไร้ถ้อยคำ ทำให้ผู้ฟังเหมือนกำลังเข้าสู่การสวดมนต์หรือการเดินทางในจักรวาลมากกว่าการฟังเพลงแจ๊สทั่วไป ความยาวกว่า 12 นาทีเต็มไปด้วยช่วงเปลี่ยนผ่านที่ร้อยเรียงอย่างลื่นไหล จนเหมือนเป็นการพาผู้ฟังล่องลอยไปในโลกอีกมิติหนึ่ง
ต่อมาความงดงามของ “Crystal Silence” ก็เผยให้เห็นความสามารถของ Corea ในการใช้ Rhodes อย่างบรรจง เนื้อเสียงโปร่งใสราวกับแสงคริสตัลสะท้อนบนผืนน้ำ เพลงนี้แม้ไม่ใช่เพลงที่ถูกพูดถึงบ่อย แต่กลับมีอิทธิพลยาวนานและต่อมาได้กลายเป็นมาตรฐานที่ Corea เล่นคู่กับ Gary Burton
ในอีกด้านหนึ่ง “What Game Shall We Play Today” กลับแสดงเสน่ห์ที่ต่างออกไป นี่คือเพลงที่มีโครงสร้างใกล้เคียงเพลงป็อปมากที่สุดในอัลบั้ม เต็มไปด้วยจังหวะ Samba สดใส เนื้อร้องง่าย ๆ และเมโลดี้ติดหู เป็นการผ่อนคลายอารมณ์ของอัลบั้มที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นและความลึกลับ แสดงให้เห็นว่า Corea ไม่ได้มอง Fusion ว่าต้องเป็นการทดลองที่ซับซ้อนเสมอไป แต่สามารถเปิดพื้นที่ให้ผู้ฟังทั่วไปเข้าถึงได้เช่นกัน
มหากาพย์ “Sometime Ago / La Fiesta” ปิดท้ายอัลบั้มด้วยความยิ่งใหญ่ ความยาวกว่า 23 นาทีของบทเพลงนี้เหมือนการเล่าเรื่องราวในหลายฉาก “Sometime Ago” เริ่มต้นด้วยบรรยากาศเนิบช้าและอิสระ ราวกับการคิดออกเสียง
ก่อนจะนำไปสู่ “La Fiesta” ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการเฉลิมฉลองแบบสเปนและเม็กซิกัน จังหวะ Castanets หรือ กรับสเปน และโหมด Flamenco ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางงานเทศกาล Stanley Clarke แสดงฝีมือการเล่นเบสไฟฟ้าที่ไม่เพียงรองรับ Harmony แต่ยังพาเพลงก้าวไปข้างหน้าอย่างทรงพลัง ในขณะที่ Airto เติมสีสันด้วย Percussion ที่ละเอียดและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ตลอดทั้งอัลบั้ม เสียง Flute ของ Joe Farrell ช่วยสร้างมิติที่เบา โปร่ง และลื่นไหล เป็นตัวเชื่อมระหว่างเสียง Rhodes และจังหวะบราซิลได้อย่างแนบเนียน ขณะที่เสียงร้องของ Flora Purim นั้นไม่ใช่เพียงการร้องเพลง แต่เป็นการใช้เสียงเหมือนอีกหนึ่งเครื่องดนตรี ทำให้ดนตรีทั้งหมดมีกลิ่นอาย Mystical และ Spiritual ที่ชัดเจน แม้อาจถูกมองว่าเป็นกลิ่นอายของยุค 70 ที่ฟังดู “เชย” ในบางมุม แต่ก็เป็นเสน่ห์เฉพาะที่ไม่มีใครเลียนแบบได้
สิ่งที่น่าสังเกตคือ อัลบั้มนี้ต่างจาก Fusion ของ Miles Davis อย่างเห็นได้ชัด Davis มักจะเน้นความดิบ ความเข้มข้น และแรงกดดัน แต่ Return To Forever เลือกจะพาผู้ฟังไปสู่ความอบอุ่น สว่าง และเมโลดี้ที่เข้าถึงง่ายกว่า บรรยากาศจึงใกล้เคียงกับการเดินทางภายในใจมากกว่าการต่อสู้หรือการทดลองที่โฉ่งฉ่าง
อีกแง่มุมที่ไม่อาจละเลยคือ อิทธิพลของแนวคิดจิตวิญญาณที่ Corea กำลังสนใจในช่วงนั้น เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับ Scientology และสิ่งนี้สะท้อนในชื่อเพลง เนื้อหา และการใช้เสียงที่เหมือนบทสวด การผสมผสานระหว่างความลึกลับกับความงามทางดนตรีทำให้อัลบั้มนี้กลายเป็นมากกว่าเพียงงานบันทึกเสียง แต่เป็นเสมือนบทบันทึกการค้นหาทางจิตใจของศิลปิน
ภาพการแสดงสดที่หายากของ Corea (ซ้ายสุด) ช่วงยุคก่อนวง Return to Forever ในตำนาน
แม้ Lineup ชุดนี้จะมีเพียงสองอัลบั้ม (Return To Forever และ Light As A Feather) แต่ก็เป็นรากฐานสำคัญที่ Corea ใช้ต่อยอดไปสู่วง Return To Forever รุ่นถัดมา ที่จะเปลี่ยนทิศทางสู่ Jazz-Rock ที่หนักแน่นและดุดันกว่าเดิมในช่วงกลางทศวรรษ 70 ทำให้แฟนเพลงมักแบ่ง Return To Forever ออกเป็นสองยุคใหญ่ ๆ คือยุคล่องลอยแห่งละติน และยุคโปรเกรสซีฟอันร้อนแรง
การที่ Return To Forever ถูกวางจำหน่ายในยุโรปก่อนและล่าช้าในสหรัฐ ทำให้มันถูกมองข้ามไปบ้างเมื่อเปรียบกับกระแส Jazz-Rock ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมองย้อนหลัง อัลบั้มนี้กลับยืนหยัดเป็นหนึ่งในงาน Fusion ที่สร้างสรรค์และมีเอกลักษณ์ที่สุด ด้วยการผลิตที่เน้นเสียงใสสะอาด โปร่ง และการจัดสมดุลระหว่างเครื่องดนตรีไฟฟ้าและอะคูสติกอย่างลงตัว
นักวิจารณ์อย่าง AllMusic ต่างยกย่องอัลบั้มนี้ว่าเป็นผลงานที่เปี่ยมด้วยจินตนาการและโดดเด่นในแง่การสร้างบรรยากาศ แม้จะไม่ได้มีพลังแบบ “High-Voltage” เหมือนวง Fusion อื่น แต่กลับมอบความประทับใจที่อบอุ่นและคงอยู่ในใจผู้ฟังได้ยาวนาน นี่คืออัลบั้มที่ทำให้ผู้ฟังอยากกลับมาเสมอ เพื่อสัมผัสความงดงามและความสงบที่ซ่อนอยู่
Return To Forever จึงไม่ใช่เพียงจุดเริ่มต้นของชื่อวงที่จะกลายเป็นตำนาน แต่ยังเป็นการประกาศถึงแนวคิดใหม่ที่ Chick Corea จะใช้เป็นเข็มทิศดนตรีตลอดชีวิต มันคือการผสมผสานระหว่าง Jazz, World Music และจิตวิญญาณในรูปแบบที่เหนือกาลเวลา ผู้ฟังจะได้รับทั้งความสุขแบบงานเฉลิมฉลองและความลึกซึ้งแบบการภาวนา เป็นอัลบั้มที่แม้จะผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษก็ยังคงสดใหม่ และสมควรถูกจดจำในฐานะผลงานชั้นครูของ Fusion ยุคคลาสสิก
Cr. Allmusic
---
โฆษณา