26 ก.ย. เวลา 13:01 • ดนตรี เพลง

Leftoverture: จาก Heartland Prog สู่การปฏิวัติ Progressive Rock อเมริกาฯ

อัลบั้ม Leftoverture ของวง Kansas ที่ออกมาในปี 1976 ถือเป็นสิ่งที่ทำให้ชื่อของวงถูกจารึกอย่างมั่นคงในประวัติศาสตร์ดนตรีร็อก โดยเฉพาะในสาย Progressive Rock ที่ในเวลานั้นถูกครอบงำโดยวงจากอังกฤษอย่าง Genesis, Yes, Gentle Giant และ Emerson, Lake & Palmer แต่ Kansas สามารถสร้างเสียงของตนเองขึ้นมาได้ท่ามกลางกระแสดนตรีเหล่านั้น
1
Leftoverture จึงไม่เพียงแต่เป็นอัลบั้มที่ทำให้วงประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ หากยังเป็นตัวแทนของความพยายามสร้าง Progressive Rock ที่มีรากเหง้าแบบอเมริกันแท้ ๆ อีกด้วย
หากจะพูดถึงความเป็นอเมริกันที่ซ่อนอยู่ใน Leftoverture ก็คงต้องอธิบายคำว่า Bible Belt Sentiment เสียก่อน “Bible Belt” หมายถึงพื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาที่มีวัฒนธรรมเคร่งศาสนาคริสต์ และมีความศรัทธาเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิต เมื่อคำนี้ถูกนำมาเชื่อมกับดนตรีของ Kansas ก็หมายถึงการใส่อารมณ์ ความจริงใจ และโทนเสียงศักดิ์สิทธิ์บางอย่างที่สะท้อนรากฐานของพื้นที่นี้ลงไปในงานเพลงของพวกเขา
เสียงร้องประสานแบบเข้มข้น ลีลาที่เปี่ยมพลัง และบรรยากาศที่เหมือนการเทศนา ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดนตรีของ Kansas แตกต่างจากวง Progressive Rock ฝั่งยุโรปที่มักเต็มไปด้วยความเหนือจริงและการเล่าเรื่องแบบปรัชญา
อีกคำหนึ่งที่มักใช้เรียกดนตรีของ Kansas ในยุคนี้คือ Heartland Prog ซึ่งถ้าแปลตรงตัวก็คือ Progressive Rock จาก “ใจกลางผืนแผ่นดิน” หรือ Heartland ของอเมริกา ความหมายลึก ๆ คือการผสมผสานดนตรี Prog ที่ซับซ้อนเข้ากับกลิ่นอายของดนตรีพื้นบ้านรากเหง้าอเมริกัน
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไวโอลิน เสียงร้องแบบโฟล์กคันทรี่ หรือเมโลดี้ที่ฟังดูอบอุ่นและเข้าถึงง่าย สิ่งเหล่านี้ช่วยลดทอนความซับซ้อนที่อาจทำให้ผู้ฟังทั่วไปเบือนหน้าหนี แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาแกนกลางของ Progressive Rock เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน
Bible Belt หรือ พื้นที่ตอนกลางและใต้ของสหรัฐที่เคร่งศาสนา ที่ซึ่งวงก่อตั้งขึ้นมาใน Kansas ปี 1973
เพลงเปิดอย่าง “Carry On Wayward Son” คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการผสมผสานนี้ มันเริ่มต้นด้วยริฟฟ์กีตาร์ที่หนักแน่นทรงพลัง ก่อนจะก้าวเข้าสู่ท่อนประสานเสียงที่ยิ่งใหญ่และแฝงปรัชญา เนื้อหาพูดถึงการเดินทางของวิญญาณ การค้นหาความหมายในชีวิต และการยืนหยัดแม้จะมีความผิดพลาดติดตัว
เพลงนี้กลายเป็นทั้งเพลงฮิตติดหูและสัญลักษณ์ของความทะเยอทะยานแบบ Prog ที่ไม่ลืมความเป็นร็อกแบบตรงไปตรงมา เพลงนี้ทำหน้าที่เป็นทั้งประตูสู่ผู้ฟังวงกว้างและเป็นคำประกาศถึงสิ่งที่ทั้งอัลบั้มกำลังจะนำเสนอ
เมื่อเดินทางต่อไปในอัลบั้ม เราจะพบงานอย่าง “The Wall” ที่ใช้บรรยากาศลึกลับและทำนองที่มีความใกล้เคียงกับ Genesis ในยุค The Lamb Lies Down On Broadway แต่ยังคงผสมความเป็นอเมริกันไว้ชัดเจน ขณะที่ “What’s On My Mind” กลับเลือกใช้โครงสร้างที่เรียบง่ายกว่า แต่ยังคงความทะเยอทะยานเชิงเมโลดี้ไว้อย่างเข้มข้น
ด้าน “Miracles Out Of Nowhere” ถือเป็นเพลงที่สะท้อนความสามารถในการสร้างภาพทางดนตรีที่ทั้งอบอุ่นและอลังการ เสียงไวโอลินถูกนำมาใช้สร้างความลุ่มลึก ร่วมกับการเปลี่ยนท่อนดนตรีที่ทำให้เพลงมีพลังในเชิงอารมณ์มากขึ้น
ถึงแม้ Kansas จะไม่สามารถสร้างโลกเหนือจริงที่ละเอียดอ่อนแบบ Genesis หรือความยิ่งใหญ่เชิงเทคนิคแบบ Emerson, Lake & Palmer หรือแม้แต่การจัดเรียงอันสลับซับซ้อนแบบ Gentle Giant ได้ แต่สิ่งที่พวกเขามีคือความจริงใจและความมุ่งมั่น
อัลบั้มนี้อาจไม่ได้ไร้ที่ติในแง่ของโครงสร้างดนตรี ทว่าความตั้งใจที่สื่อออกมานั้นกลับชัดเจน และเป็นสิ่งที่จับใจผู้ฟังจำนวนมาก เสน่ห์ของ Leftoverture อยู่ตรงการเป็นงานที่ “ไม่สมบูรณ์แบบแต่จริงใจ” และความจริงใจนี้เองที่ทำให้มันยังคงถูกพูดถึงจนทุกวันนี้
เพลงปิดอย่าง “Magnum Opus” คือหัวใจหลักของอัลบั้ม ชื่อเพลงแปลได้ว่า “ผลงานชิ้นเอก” และนี่ก็เป็นความตั้งใจชัดเจนของวง เพลงนี้ยาวกว่า 8 นาทีและถูกแบ่งออกเป็นหลายภาคย่อย เช่น “Father Padilla Meets The Perfect Gnat” หรือ “Release The Beavers”
แม้ชื่อภาคเหล่านี้อาจฟังดูเล่น ๆ แต่ตัวเพลงกลับเป็นการรวบรวมพลังสร้างสรรค์ของวงทั้งหมด การเคลื่อนไหวของดนตรีจากความเข้มข้นไปสู่ความสงบและกลับมาระเบิดอีกครั้งคือสิ่งที่ทำให้เพลงนี้กลายเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่แฟน Rush หรือแฟน Prog โดยทั่วไปต่างชื่นชม
สมาชิกวงช่วงทศวรรษ 1970s
เสียงวิจารณ์ต่อ Leftoverture ก็มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ฝั่ง Allmusic มองว่าอัลบั้มนี้ทะเยอทะยานเกินความสามารถจริง แม้สมาชิกวงจะเก่งในเชิงเทคนิคแต่โครงสร้างหลายเพลงยังไม่ซับซ้อนเท่าที่ควร และยังมีรากฐานแบบ Boogie Rock อยู่ไม่น้อย ที่สำคัญคือไม่มีเพลงไหนสามารถสร้าง “Hooks” ที่แข็งแรงเทียบเท่ากับ “Carry On Wayward Son” ได้
ขณะที่ฝั่ง Progarchives เห็นว่าแม้มันจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เทียบเท่ายักษ์ใหญ่จากอังกฤษ แต่ Kansas ก็สามารถทำสิ่งที่มีไม่กี่วงจากอเมริกาทำได้สำเร็จ นั่นคือการสร้าง Progressive Rock ที่มีรากฐานจากอเมริกันได้อย่างแท้จริง และสามารถดึงดูดใจแฟนเพลงทั้งฝั่งร็อกทั่วไปและแฟน Prog ที่มักคาดหวังความซับซ้อนไว้ได้
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือความต่อเนื่องของอัลบั้ม Leftoverture ซึ่งถูกยกย่องว่าเป็นงานที่มีความเป็นเอกภาพที่สุดของ Kansas ก่อนจะไปถึง Point Of Know Return ในปี 1977 การฟังตั้งแต่ต้นจนจบเหมือนกับการอ่านบทกวีหรือนิยายหนึ่งเล่ม
แม้ว่าแนวคิดหลักของอัลบั้มจะไม่ชัดเจนแบบคอนเซ็ปต์อัลบั้ม (Concept Album) ระดับตำนานอย่าง The Lamb Lies Down On Broadway ของ Genesis หรือ Tales from Topographic Oceans ของ Yes แต่บรรยากาศที่สานต่อกันในแต่ละเพลง ก็ทำให้ผู้ฟังสัมผัสถึงการเดินทางได้อย่างต่อเนื่อง
ในเชิงอิทธิพล Leftoverture ไม่ได้เพียงแค่สร้างความสำเร็จให้ Kansas เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้วง Arena Rock อย่าง Boston, Foreigner หรือแม้แต่ Journey ในการใช้เมโลดี้ที่เข้าถึงง่ายควบคู่กับการแสดงสดที่ยิ่งใหญ่ จนสามารถพูดได้ว่าอัลบั้มนี้คือสะพานที่เชื่อม Progressive Rock เข้ากับ Arena Rock ในยุค 70 ได้อย่างลงตัว
องค์ประกอบที่ทำให้อัลบั้มนี้พิเศษอีกอย่างคือการใช้ไวโอลินเป็นแกนหลัก เสียงไวโอลินสร้างความรู้สึกกว้างขวางและมีมิติ ในขณะที่เสียงร้องประสานแบบโฟล์กและกีตาร์ที่ทรงพลังช่วยเติมเต็มบรรยากาศให้สมบูรณ์ ดนตรีของ Kansas จึงกลายเป็นประสบการณ์ที่ทั้งใกล้ชิดและยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกัน
สุดท้ายแล้ว Leftoverture อาจไม่ใช่อัลบั้มที่ปฏิวัติวงการแบบที่วงอังกฤษทำได้ แต่ในแง่ของดนตรีอเมริกัน มันคือการก้าวสำคัญที่ทำให้ Progressive Rock สามารถหยั่งรากลงในดินแดนที่ผู้คนเคยเชื่อว่ามีเพียง Blues และ Country เท่านั้น
ความไม่สมบูรณ์ ความจริงใจ และความทะเยอทะยานในอัลบั้มนี้รวมกันกลายเป็นเสน่ห์ที่ไม่เคยเสื่อมคลาย หากวงจากอังกฤษอย่าง Genesis หรือ Yes คือผู้สร้างโลกแห่งความฝันที่ลึกล้ำ Kansas ก็ทำหน้าที่เป็นนักเล่าเรื่องจากใจกลางทุ่งหญ้าอเมริกันที่กล้าฝันใหญ่ และผลลัพธ์ก็คือ Leftoverture ที่ยังคงเป็นตำนานจนถึงปัจจุบัน
Cr. Progarchives / Allmusic
---
โฆษณา